มีทริปจะไปญี่ปุ่น 8 วัน แวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง 9 ชม. เข้าไปเที่ยวระหว่างต่อเครื่องคะ
วันนี้ได้โทรไปถามกรมศุลกากรสุวรรณภูมิ อันดับแรกคือ ทำเรื่องของใช้ที่เรานำติดตัวไปก่อน เรานำกล้องกับมือถือไป ส่วนเพื่อนเรามีกล้อง ไอโฟน นาฬิกา ตัดสินใจกันทั้งสองคนว่า ไปทำเรื่องกันเหนียวขาออกไว้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหาตอนขากลับเข้ามา
พนง.ที่รับสายเป็นผู้หญิง เบอร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้021340378 พนง.สุภาพมากคะ ตอบคำถามชัดเจนดี ไม่ต้องกลัว เป็นกันเอง ใครมีปัญหาอะไรสงสัยเกี่ยวกับสินค้านำเข้านำออก ให้โทรถามเขาให้แน่ชัดเลย (ส่วนไหนดีก็ชมคะ เราจะไม่ว่าเหมา)
...เขาบอกว่าถ้าจะทำเรื่องสินค้าขาออกและเอากลับเข้ามาอีก ให้ทำหลักฐานดังนี้คือ
1. ถ่ายรูปซีเรียลนัมเบอร์ของกล้อง มือถือ นาฬิกา ถ่ายเป็นเอกสาร A4 เอาไว้ ถ้ามีใบเสร็จที่ซื้อถ่ายเอาไว้ด้วยก็ดี (เราโชคดีที่กล้อง เรายังเก็บใบเสร็จรับประกันอยู่เมื่อปี 2014 มีแสตมป์ปั้มว่าซื้อที่ไทย) ส่วนมือถือถึงมูลค่าไม่เกินสองหมื่น แต่เราไม่ได้เก็บใบเสร็จเอาไว้ (ซื้อปี 58) เราใช้วิธีถ่ายซีเรียลนัมเบอร์ที่กล่อง ให้เห็นสติเกอร์รายละเอียดบริษัทที่นำเข้า แล้วไปแคปเจอร์รุ่นราคาพร้อมวันวางจำหน่าย ว่ามือถือเราราคาไม่ถึง 2 หมื่นจริงๆ ถ่ายสำเนา A4 เอาไว้ ถ่ายทั้งเลข และตัวของใช้ทั้งหมดเอาไว้ ถ้าตรงไหนมีตำหนิให้ถ่ายเอาไว้ด้วย
2. กระเป๋า ถึงไม่ใช่แบรนด์เนม แต่เดี๋ยวนี้ได้ข่าวว่าแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ ถ้าขาออกเราไม่แจ้ง ขาเข้ามาเราอาจมีปัญหาได้ ถ้าเขาไม่เชื่อว่าเราซื้อมาจากไทย แต่เมื่อกระเป๋าเราไม่ใช่แบรนด์เนม ไม่มีใบเสร็จ มีสองใบที่ซื้อมานาน กับอีกใบซื้อให้ยังไม่ได้ใช้ เราใช้วิธีถ่ายรูปทั้งสองใบ คู่กับหนังสือพิมพ์ไทยฉบับวันนี้แทนคะ
เมื่อได้เอกสารครบถ้วนแล้ว ให้เราไปทำการเช็คอินแล้วเอาบอร์ดดิ้งพาสไปด้วย ที่ชั้น 4 ประตู 10 จะมี สนง.เปิด 24 ชม. ไปแสดงเพื่อกรอกแบบฟอร์ม ส่วนสินค้าไหนที่เราโหลดใส่กระเป๋าไป ก็ให้ทำสำเนาตามข้อ 1 เอาไว้มาด้วย (ถึงแม้ตามจริงอาจจะไม่น่ามีคนโหลดของมีค่าลงกระเป๋าก็ตาม แต่ถ้าเป็นพวกบอดี้กล้อง ขาตั้งกล้อง อาจต้องทำรายการตามข้อ 1 ไปด้วยคะ)
ส่วนเครื่องประดับ แก้วแหวนเงินทองมีราคา น้ำหอม เอาตามความเห็นเรานะคะ...ถ้าเว้นได้ก็อย่าใส่ไปเลย พวกน้ำหอม ครีมบำรุงแบรนด์เนมพกเป็นเซท อย่าเอาไปเลย เอาประมาณพกพาได้หลอดเล็กๆพอ น้ำหอมถ้ายังอยากใช้ พกใส่ขวดเล็กๆก้พอ ไม่ต้องไปคิดไฮโซหรอกว่าฉันต้องทาต้องใส่ทุกวัน ไม่งั้นหน้าจะแหกแตกริ้ว(มีคนแบบนี้จริงๆนะ คือพกครีมแพงเต็มเซท) ซื้อครีมพอนด์ซอง 12 บาท แค่ไม่กี่วันเองก็ทนหน่อย...คือมันจะมีปัญหาตอนกลับเข้ามาได้ ถ้าเลี่ยงได้เลี่ยงดีกว่าคะ (นาฬิกาเรายังไม่ใส่ ดูเวลาในมือถือเอา)
ทีนี้เราถาม จนท. ถึงคำถามขากลับเข้ามา ที่มันจะต้องมาพร้อมปะดามีของซื้อของฝาก
เราถามตามถ้าซื้อของไม่ถึง 20,000 บาท ไม่ต้องสำแดงใช่ไหม
คำตอบ :
ไม่ใช่คะ จนท. อธิบายในทีนี้ว่า เขาจะแยกสินค้าออกเป็นจำนวนราคา และ ปริมาณ(ที่แล้วแต่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่) นั้นหมายความว่า
ต่อให้สินค้าที่นำเข้ามา ไม่เกิน 20,000 บาท แต่มันมาในจำนวนที่มากเกินกว่าคนๆนึงจะใช้ได้ ก็ต้องโดนเรียกเก็บภาษี ซึ่งเราสอบถามว่างั้นช่วยยกตัวอย่างว่า ถ้าซื้อเสื้อผ้าคนเดียว มันไม่ควรจะเกินกี่ตัว จนท. เขาบอกว่าไม่เกิน 7 ตัว/คน กำลังดี (เราตีให้ว่าไม่ควรเกิน 10 ก็แล้วกัน) คละแบบ คือโอเคผ่าน...แต่ถ้าเจอแบบตัวซ้ำๆลายกันมากกว่า 4 ตัว อันนี้ต้องเรียกไปคุยกันหน่อย
คำถาม : ถ้าซื้อของในดิวตี้ฟรี ไม่เกิน 20,000 บาท จะถูกนำมารวมกับราคาของที่ซื้อจากข้างนอกไหม
คำตอบ : รวมคะ ต่อให้เป็นการซื้อในส่วนปลอดภาษี แต่มันถูกตีความว่าเป็น
'ของใช้' ที่จะซื้อนำออกจากด่านมาด้วย จะต้องนับไปรวมกับของที่ซื้อจากข้างนอกด้วย
เราก็เริ่มมึน ชักไม่มั่นใจแล้ว จนท.ก็แนะนำว่า ถ้าไม่มั่นใจ ให้เข้าช่องแดงดีกว่า เพื่อให้ จนท.พิจารณาโดยดุลยพินิจ ถ้าเราไม่ซื้อของมาเยอะมาก ก็ไม่ต้องกลัวอะไรขนาดนั้น ดีกว่าเราไปวัดดวงเข้าช่องเขียว แล้วถ้าถูกจับขึ้นมา สินค้าไม่เคลียร์ โทษมันจะหนักกว่า
จากนั้นเราก็ขอบคุณ และวางสายไป...
แล้วเราก็มาคุยกับเพื่อนสนิท ว่าเอาไงดี ของฝากเราจะไม่ใช่แบรนด์เนมคะ แต่เป็นพวกกล่องขนมพื้นถิ่น ประเมินคงราวๆ 5 กล่อง นอกจากนั้นจะเป็นพวกของของเราเอง พวกโมเดลเซเลอร์มูน เครื่องสำอางค์เซเลอร์มูนไม่น่าเกิน 10 ชิ้น (เราพวกสายการ์ตูน) เราประเมินราคาแล้ว รวมๆไม่เกิน 20,000 บาท คิดว่าน่าจะเข้าช่องเขียวก็ได้มั่ง
แต่เพื่อนบอกว่าพี่ที่รู้จัก ไปเกาหลี กลับมาซื้อขนมและของที่ไม่ใช่แบรนด์เนมยัดกระเป๋า เข้าช่องเขียว โดยปรับ 7,000 บาท
เราก็ร้องอ้าวเลยว่า ขนมโดนด้วยเรอะ ไหนตอนคุยกับ จนท. เขาบอกว่าขนมส่วนใหญ่จะไม่โดน
เพื่อนก็ว่าเราอย่าไปคิดมาก เข้าช่องเขียวเถอะ...แต่พอเราเจอเขาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ของๆเรานี่มันเข้าข่ายหมิ่นเหม่เลย แถมกระเป๋าที่จะเอาไป ก็ใหญ่ 28 นิ้ว ยัดคนเข้าไปได้ สียังเตะตาอีกต่างหาก มันจะรอดเรอะ
เพื่อนอีกคนว่า งั้นเข้าช่องแดงตาม จนท. แนะนำเถอะ อะไรไม่แน่ใจก็เข้าช่องแดงมันไว้ก่อน ถึงจะโดนเก็บภาษีขึ้นมา มันจะโดนแค่ % เอง ของก็ได้กลับด้วย ถ้ามีอะไรแย้ง เรายังป้องกันตัวได้ว่าเราบริสุทธิ์ใจเข้าช่องแดงให้ตรวจสอบ เขาจะเล่นงานเราได้ยาก
แต่ถ้าเข้าช่องเขียว แล้วเกิดโดนสุ่ม ไม่รอดขึ้นมา ทีนี้เราอ้างรอดยาก เพราะเราผ่านช่องเขียวมาแล้ว เขาจะเหมาตีเจตนาว่าเรารู้กฎหมายแล้ว คือเราเสียเปรียบป้องกันตัวยากกว่าช่องแดงแล้ว โดนปรับ 4 เท่า โดนดำเนินคดี ของไม่ได้คืนอีกถ้าไม่ซื้อคืน อย่างหลายกระทู้ประสบการณ์หลายคนที่เข้าช่องเขียวแล้วโดนจับ แทบจะได้ของคืนโดยไม่ซื้อคืนยากเลย
แต่พอเราไล่อ่านหลายกระทู้เกี่ยวกับศุลกากรในพันทิป มีท่านนึงบอกว่า...ต่อให้เข้าช่องแดง ถ้า จนท.ไม่ดี จ้องจะเอาให้ได้ ก็ไม่รอดเหมือนโดนจับที่ช่องเขียวอยู่ดี เหมือนเดินไปให้เขาจับ ฉะนั้นไปเข้าช่องเขียวเถอะ วัดดวงเอา ...แต่อันนั้นเป็นกระทู้ราวปี 55 นะคะ ไม่รู้การทำงานของปีนี้มันดีขึ้นไหม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2012/11/E12973554/E12973554.html
เราก็เริ่ม...มึนแล้ว จะเอายังไงกับชีวิตดีเนี่ย เราไม่กลัวการเข้าช่องแดงนะ แต่กลัวการปฏิบัติงานของ จนท. มากกว่า ว่าเขาจะมีบรรทัดฐานดีไหม ไม่ใช่ว่าเข้าช่องแดง แล้วเจอการปฏิบัติเหมือนโดนจับในช่องเขียว
สรุปเราควรที่จะไปเข้าช่องแดงเพื่อความมั่นใจในชีวิตไหมคะ จะว่าเราขี้กลัวเกินเหตุก็ได้...แต่เราไม่ชอบการต้องมาทำตัวตีเนียน เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองจะทำไม่รอดนะ มีดวงถูกโฉลกได้เจอการตรวจจับสุ่มทุกที ตอนเด็กๆนั่งรถขนเห็ดไปกับพ่อที่แม่สาย เจอตำรวจดักที่ด่าน ดึงกุญแจรถพ่อออกไปเลย เพราะด้านหลังรถกระบะมีกระสอบ เขานึกว่าขนยา...ล่าสุดนั่งรถทัวร์ไปเพชรบูรณ์ ดันโดนตำรวจดักด่านที่แพร่ สั่งให้รื้อกระเป๋าเป้ออก เหมือนจะหายา กลัวมากว่าเขาจะมายัดยาใส่อีก
ประสบการณ์หลังจากโทรสอบถามศุลกากร...แต่ยังชังใจว่าจะเข้าช่องแดงดีไหม
วันนี้ได้โทรไปถามกรมศุลกากรสุวรรณภูมิ อันดับแรกคือ ทำเรื่องของใช้ที่เรานำติดตัวไปก่อน เรานำกล้องกับมือถือไป ส่วนเพื่อนเรามีกล้อง ไอโฟน นาฬิกา ตัดสินใจกันทั้งสองคนว่า ไปทำเรื่องกันเหนียวขาออกไว้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหาตอนขากลับเข้ามา
พนง.ที่รับสายเป็นผู้หญิง เบอร์ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ พนง.สุภาพมากคะ ตอบคำถามชัดเจนดี ไม่ต้องกลัว เป็นกันเอง ใครมีปัญหาอะไรสงสัยเกี่ยวกับสินค้านำเข้านำออก ให้โทรถามเขาให้แน่ชัดเลย (ส่วนไหนดีก็ชมคะ เราจะไม่ว่าเหมา)
...เขาบอกว่าถ้าจะทำเรื่องสินค้าขาออกและเอากลับเข้ามาอีก ให้ทำหลักฐานดังนี้คือ
1. ถ่ายรูปซีเรียลนัมเบอร์ของกล้อง มือถือ นาฬิกา ถ่ายเป็นเอกสาร A4 เอาไว้ ถ้ามีใบเสร็จที่ซื้อถ่ายเอาไว้ด้วยก็ดี (เราโชคดีที่กล้อง เรายังเก็บใบเสร็จรับประกันอยู่เมื่อปี 2014 มีแสตมป์ปั้มว่าซื้อที่ไทย) ส่วนมือถือถึงมูลค่าไม่เกินสองหมื่น แต่เราไม่ได้เก็บใบเสร็จเอาไว้ (ซื้อปี 58) เราใช้วิธีถ่ายซีเรียลนัมเบอร์ที่กล่อง ให้เห็นสติเกอร์รายละเอียดบริษัทที่นำเข้า แล้วไปแคปเจอร์รุ่นราคาพร้อมวันวางจำหน่าย ว่ามือถือเราราคาไม่ถึง 2 หมื่นจริงๆ ถ่ายสำเนา A4 เอาไว้ ถ่ายทั้งเลข และตัวของใช้ทั้งหมดเอาไว้ ถ้าตรงไหนมีตำหนิให้ถ่ายเอาไว้ด้วย
2. กระเป๋า ถึงไม่ใช่แบรนด์เนม แต่เดี๋ยวนี้ได้ข่าวว่าแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ ถ้าขาออกเราไม่แจ้ง ขาเข้ามาเราอาจมีปัญหาได้ ถ้าเขาไม่เชื่อว่าเราซื้อมาจากไทย แต่เมื่อกระเป๋าเราไม่ใช่แบรนด์เนม ไม่มีใบเสร็จ มีสองใบที่ซื้อมานาน กับอีกใบซื้อให้ยังไม่ได้ใช้ เราใช้วิธีถ่ายรูปทั้งสองใบ คู่กับหนังสือพิมพ์ไทยฉบับวันนี้แทนคะ
เมื่อได้เอกสารครบถ้วนแล้ว ให้เราไปทำการเช็คอินแล้วเอาบอร์ดดิ้งพาสไปด้วย ที่ชั้น 4 ประตู 10 จะมี สนง.เปิด 24 ชม. ไปแสดงเพื่อกรอกแบบฟอร์ม ส่วนสินค้าไหนที่เราโหลดใส่กระเป๋าไป ก็ให้ทำสำเนาตามข้อ 1 เอาไว้มาด้วย (ถึงแม้ตามจริงอาจจะไม่น่ามีคนโหลดของมีค่าลงกระเป๋าก็ตาม แต่ถ้าเป็นพวกบอดี้กล้อง ขาตั้งกล้อง อาจต้องทำรายการตามข้อ 1 ไปด้วยคะ)
ส่วนเครื่องประดับ แก้วแหวนเงินทองมีราคา น้ำหอม เอาตามความเห็นเรานะคะ...ถ้าเว้นได้ก็อย่าใส่ไปเลย พวกน้ำหอม ครีมบำรุงแบรนด์เนมพกเป็นเซท อย่าเอาไปเลย เอาประมาณพกพาได้หลอดเล็กๆพอ น้ำหอมถ้ายังอยากใช้ พกใส่ขวดเล็กๆก้พอ ไม่ต้องไปคิดไฮโซหรอกว่าฉันต้องทาต้องใส่ทุกวัน ไม่งั้นหน้าจะแหกแตกริ้ว(มีคนแบบนี้จริงๆนะ คือพกครีมแพงเต็มเซท) ซื้อครีมพอนด์ซอง 12 บาท แค่ไม่กี่วันเองก็ทนหน่อย...คือมันจะมีปัญหาตอนกลับเข้ามาได้ ถ้าเลี่ยงได้เลี่ยงดีกว่าคะ (นาฬิกาเรายังไม่ใส่ ดูเวลาในมือถือเอา)
ทีนี้เราถาม จนท. ถึงคำถามขากลับเข้ามา ที่มันจะต้องมาพร้อมปะดามีของซื้อของฝาก เราถามตามถ้าซื้อของไม่ถึง 20,000 บาท ไม่ต้องสำแดงใช่ไหม
คำตอบ : ไม่ใช่คะ จนท. อธิบายในทีนี้ว่า เขาจะแยกสินค้าออกเป็นจำนวนราคา และ ปริมาณ(ที่แล้วแต่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่) นั้นหมายความว่า ต่อให้สินค้าที่นำเข้ามา ไม่เกิน 20,000 บาท แต่มันมาในจำนวนที่มากเกินกว่าคนๆนึงจะใช้ได้ ก็ต้องโดนเรียกเก็บภาษี ซึ่งเราสอบถามว่างั้นช่วยยกตัวอย่างว่า ถ้าซื้อเสื้อผ้าคนเดียว มันไม่ควรจะเกินกี่ตัว จนท. เขาบอกว่าไม่เกิน 7 ตัว/คน กำลังดี (เราตีให้ว่าไม่ควรเกิน 10 ก็แล้วกัน) คละแบบ คือโอเคผ่าน...แต่ถ้าเจอแบบตัวซ้ำๆลายกันมากกว่า 4 ตัว อันนี้ต้องเรียกไปคุยกันหน่อย
คำถาม : ถ้าซื้อของในดิวตี้ฟรี ไม่เกิน 20,000 บาท จะถูกนำมารวมกับราคาของที่ซื้อจากข้างนอกไหม
คำตอบ : รวมคะ ต่อให้เป็นการซื้อในส่วนปลอดภาษี แต่มันถูกตีความว่าเป็น 'ของใช้' ที่จะซื้อนำออกจากด่านมาด้วย จะต้องนับไปรวมกับของที่ซื้อจากข้างนอกด้วย
เราก็เริ่มมึน ชักไม่มั่นใจแล้ว จนท.ก็แนะนำว่า ถ้าไม่มั่นใจ ให้เข้าช่องแดงดีกว่า เพื่อให้ จนท.พิจารณาโดยดุลยพินิจ ถ้าเราไม่ซื้อของมาเยอะมาก ก็ไม่ต้องกลัวอะไรขนาดนั้น ดีกว่าเราไปวัดดวงเข้าช่องเขียว แล้วถ้าถูกจับขึ้นมา สินค้าไม่เคลียร์ โทษมันจะหนักกว่า
จากนั้นเราก็ขอบคุณ และวางสายไป...
แล้วเราก็มาคุยกับเพื่อนสนิท ว่าเอาไงดี ของฝากเราจะไม่ใช่แบรนด์เนมคะ แต่เป็นพวกกล่องขนมพื้นถิ่น ประเมินคงราวๆ 5 กล่อง นอกจากนั้นจะเป็นพวกของของเราเอง พวกโมเดลเซเลอร์มูน เครื่องสำอางค์เซเลอร์มูนไม่น่าเกิน 10 ชิ้น (เราพวกสายการ์ตูน) เราประเมินราคาแล้ว รวมๆไม่เกิน 20,000 บาท คิดว่าน่าจะเข้าช่องเขียวก็ได้มั่ง
แต่เพื่อนบอกว่าพี่ที่รู้จัก ไปเกาหลี กลับมาซื้อขนมและของที่ไม่ใช่แบรนด์เนมยัดกระเป๋า เข้าช่องเขียว โดยปรับ 7,000 บาท
เราก็ร้องอ้าวเลยว่า ขนมโดนด้วยเรอะ ไหนตอนคุยกับ จนท. เขาบอกว่าขนมส่วนใหญ่จะไม่โดน
เพื่อนก็ว่าเราอย่าไปคิดมาก เข้าช่องเขียวเถอะ...แต่พอเราเจอเขาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ของๆเรานี่มันเข้าข่ายหมิ่นเหม่เลย แถมกระเป๋าที่จะเอาไป ก็ใหญ่ 28 นิ้ว ยัดคนเข้าไปได้ สียังเตะตาอีกต่างหาก มันจะรอดเรอะ
เพื่อนอีกคนว่า งั้นเข้าช่องแดงตาม จนท. แนะนำเถอะ อะไรไม่แน่ใจก็เข้าช่องแดงมันไว้ก่อน ถึงจะโดนเก็บภาษีขึ้นมา มันจะโดนแค่ % เอง ของก็ได้กลับด้วย ถ้ามีอะไรแย้ง เรายังป้องกันตัวได้ว่าเราบริสุทธิ์ใจเข้าช่องแดงให้ตรวจสอบ เขาจะเล่นงานเราได้ยาก
แต่ถ้าเข้าช่องเขียว แล้วเกิดโดนสุ่ม ไม่รอดขึ้นมา ทีนี้เราอ้างรอดยาก เพราะเราผ่านช่องเขียวมาแล้ว เขาจะเหมาตีเจตนาว่าเรารู้กฎหมายแล้ว คือเราเสียเปรียบป้องกันตัวยากกว่าช่องแดงแล้ว โดนปรับ 4 เท่า โดนดำเนินคดี ของไม่ได้คืนอีกถ้าไม่ซื้อคืน อย่างหลายกระทู้ประสบการณ์หลายคนที่เข้าช่องเขียวแล้วโดนจับ แทบจะได้ของคืนโดยไม่ซื้อคืนยากเลย
แต่พอเราไล่อ่านหลายกระทู้เกี่ยวกับศุลกากรในพันทิป มีท่านนึงบอกว่า...ต่อให้เข้าช่องแดง ถ้า จนท.ไม่ดี จ้องจะเอาให้ได้ ก็ไม่รอดเหมือนโดนจับที่ช่องเขียวอยู่ดี เหมือนเดินไปให้เขาจับ ฉะนั้นไปเข้าช่องเขียวเถอะ วัดดวงเอา ...แต่อันนั้นเป็นกระทู้ราวปี 55 นะคะ ไม่รู้การทำงานของปีนี้มันดีขึ้นไหม[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราก็เริ่ม...มึนแล้ว จะเอายังไงกับชีวิตดีเนี่ย เราไม่กลัวการเข้าช่องแดงนะ แต่กลัวการปฏิบัติงานของ จนท. มากกว่า ว่าเขาจะมีบรรทัดฐานดีไหม ไม่ใช่ว่าเข้าช่องแดง แล้วเจอการปฏิบัติเหมือนโดนจับในช่องเขียว
สรุปเราควรที่จะไปเข้าช่องแดงเพื่อความมั่นใจในชีวิตไหมคะ จะว่าเราขี้กลัวเกินเหตุก็ได้...แต่เราไม่ชอบการต้องมาทำตัวตีเนียน เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองจะทำไม่รอดนะ มีดวงถูกโฉลกได้เจอการตรวจจับสุ่มทุกที ตอนเด็กๆนั่งรถขนเห็ดไปกับพ่อที่แม่สาย เจอตำรวจดักที่ด่าน ดึงกุญแจรถพ่อออกไปเลย เพราะด้านหลังรถกระบะมีกระสอบ เขานึกว่าขนยา...ล่าสุดนั่งรถทัวร์ไปเพชรบูรณ์ ดันโดนตำรวจดักด่านที่แพร่ สั่งให้รื้อกระเป๋าเป้ออก เหมือนจะหายา กลัวมากว่าเขาจะมายัดยาใส่อีก