เป็กทำให้ผมคิดถึงสมัยตอนเป็นวัยรุ่น การแอบชอบใครสักคน
รีบไปโรงเรียนแต่เช้า แอบเอาจดหมายไปใส่ไว้ใต้โต๊ะเค้า
นั่งมองรอยยิ้มเค้าเวลาที่อ่าน ทั้งๆที่เค้าไม่รู้ว่าเป็นเรา
แล้ววันนึงผมอยากจะใกล้ชิดเค้ามากกว่าเดิม
ผมนัดเจอเค้าที่สวนหลังห้องสมุด มันตื่นเต้นว่าเค้าจะชอบเรามั้ย
ไม่รู้จะเอามือไปไว้ตรงไหน พูดจาติดขัด สุดท้ายผมอกหัก
เค้าชอบตัวหนังสือเรามากกว่าตัวตนเรา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเสียใจแบบหนักๆ
นั่นผมอกหักกับแค่คนๆเดียว แต่เป็กโดนคนหลายคนหักอกเมื่อคืน
ไม่รู้เค้าจะเสียใจมากขนาดไหน
เมื่อคุณอยู่เมืองนอก การด่าใครสักคนว่า ไอดำ ไออ้วน ไอหน้าแปลก
มันเป็นการดูถูกที่รุนแรง ใช่ครับ เราไม่ได้อยู่เมืองนอก
แต่การเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียมกัน ใช้ได้กับทุกที่บนโลก
บางทีเราลืมคิด การทวิตด่าใครสักคนไป สักพักเราก็ลืม
แต่คนโดนเค้าต้องอยู่กับความรู้สึกแบบนั้นไปอีกนาน
ด่าเค้าแล้วเราได้อะไร ด่าเค้าค่าพลังความสุขเราเพิ่มขึ้นมั้ย
หรือเค้าทำให้เราเจ็บตอนไหน หรือแค่เพราะเค้าไม่เหมือนเรา
"ยังชอบอยู่มั้ยตอนถอดหน้ากาก" นั่นคือคำถามที่ผมถามแฟน
"ยังไงก็ชอบ"
"ชอบเพราะอะไร" ผมถามต่อ
"เค้าร้องเพลงเพราะ"
"คนอื่นบอกเค้าไม่แมนนะ"
"ไม่รู้ดิ หนูไม่สนหรอก เป็นอะไรก็ได้ หนูชอบเสียงเค้า ชอบเพลงที่เค้าร้อง"
"เห็นบอกศัลยกรรมเยอะด้วย"
"หนูว่ามันเรื่องธรรมดา ใครๆก็อยากดูดีในสายตาคนอื่นทั้งนั้น"
ทุกๆเช้าหนูก็แต่งหน้าไปทำงาน พี่ก็ดูดิ ครีมบำรุงเยอะแยะที่ขายๆกัน
เราก็ซื้อเพื่อมาทำให้เราดูดีไม่ใช่เหรอ แค่เค้าใช้อะไรที่แพงกว่า เร็วกว่า
หนูไม่รู้จะเดือดร้อนทำไม ไม่ได้อิจฉาเค้าซะหน่อย
"เค้าพูดไม่ชัดแบบนี้นานแล้วเหรอ" ผมยังยิงคำถามเรื่อยๆ
"ก็ไม่นะ มีเมื่อคืนนี้แหล่ะ ที่มันไม่ชัดแบบผิดปกติ
หนูว่าเค้าเหนื่อย เค้าเป็นโรคโลหิตจางอ่ะ แล้วดูชุดดิ
คงร้อนมั้ง เห็นตอนพูดดูหอบๆ พี่จะถามอะไรนักหนาเนี่ย
มีญาติเป็นเอฟบีไออ่อ" ผมเลยต้องหยุดคำถามไว้แค่นั้น
สิ่งที่ผมเห็นคือเป็กพูดไม่ชัดมากกว่าทุกครั้ง ผมว่าเค้าพยายามนะ
พยายามเป็นให้เหมือนตอนใส่หน้ากาก ลึกๆเค้าคงอยากให้ทุกคนรักเค้า
เหมือนที่เคยรักหน้ากากจิงโจ้
วันนี้ผมบอกไม่ได้ว่าผมดีกว่าคนอื่น ผมเห็นคนอื่นวิจารณ์เค้า
แล้วผมก็มาวิจารณ์คนที่วิจาร์เค้าต่ออีกที ซึ่งมันไม่ต่างกัน
เราทุกคนมีหน้ากาก ทุกๆเช้าเรายืนอยู่หน้ากระจก เราเห็นตัวเอง
ที่ยังไม่ได้ใส่หน้ากาก บางครั้งเราใส่หน้ากากหมีดุตอนที่ขับรถ
เราใส่หน้ากากแมวเข้าหาเจ้านาย แต่ละวันเราหยิบหน้ากากมาใช้
ตามแต่สถานการณ์ นั่นคือการปรับตัว แต่เราจะมีความสุขที่สุด
ที่ได้อยู่กับคนที่เราไม่ต้องใส่หน้ากากอะไรเลย เป็กคงสบายใจ
ที่ไม่ต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป เหมือนท่อนหนึ่งในเพลงที่เค้าร้องเมื่อคืน
There’s no reason to hide what we’re feelin’ inside right now
"ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเก็บซ่อนความรู้สึกใดๆ ข้างในแล้วตอนนี้"
the mask singer ทำให้ผลเป็นบวก การเป็นหน้ากากจิงโจ้
ทำให้คนที่เคยเกลียดอาจเปลี่ยนเป็นชอบ ทำให้คนที่ไม่รู้จัก
ได้รู้จักและเริ่มมาติดตาม แต่คงไม่มีใครเกลียดจิงโจ้เพิ่มมากขึ้นหรอกเนอะ
ผมคนนึง เคยฟังเพลงที่คุณร้องแล้วลืมมันไปนานแล้ว
วันนี้ผมกลับมาฟังเพลงคุณอีกครั้ง ได้รู้จักผู้ชายอ่อนน้อมถ่อมตน
ขอบคุณแฟนเพลงทุกครั้งที่ร้องเพลงจบ ไม่ว่าจะมีใครว่ายังไง
ก็ไม่เคยว่ากลับ คุณไม่ได้ทำร้ายอะไรผม ผมคงละอายใจ
ถ้าจะว่าอะไรคุณ ดีใจเหอะ วันนี้คุณได้แฟนเพลงเพิ่มขึ้นอีกคน
"ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร" เสียงเพลงคุณมันยังคงดังอยู่ในหัว
ไม่มีใครรู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง แต่สิ่งที่คุณทำวันนี้ คุณทำดีแล้ว
"ภายใต้หน้ากากจิงโจ้ หรือแค่เพราะเค้าไม่เหมือนเรา"
รีบไปโรงเรียนแต่เช้า แอบเอาจดหมายไปใส่ไว้ใต้โต๊ะเค้า
นั่งมองรอยยิ้มเค้าเวลาที่อ่าน ทั้งๆที่เค้าไม่รู้ว่าเป็นเรา
แล้ววันนึงผมอยากจะใกล้ชิดเค้ามากกว่าเดิม
ผมนัดเจอเค้าที่สวนหลังห้องสมุด มันตื่นเต้นว่าเค้าจะชอบเรามั้ย
ไม่รู้จะเอามือไปไว้ตรงไหน พูดจาติดขัด สุดท้ายผมอกหัก
เค้าชอบตัวหนังสือเรามากกว่าตัวตนเรา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเสียใจแบบหนักๆ
นั่นผมอกหักกับแค่คนๆเดียว แต่เป็กโดนคนหลายคนหักอกเมื่อคืน
ไม่รู้เค้าจะเสียใจมากขนาดไหน
เมื่อคุณอยู่เมืองนอก การด่าใครสักคนว่า ไอดำ ไออ้วน ไอหน้าแปลก
มันเป็นการดูถูกที่รุนแรง ใช่ครับ เราไม่ได้อยู่เมืองนอก
แต่การเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียมกัน ใช้ได้กับทุกที่บนโลก
บางทีเราลืมคิด การทวิตด่าใครสักคนไป สักพักเราก็ลืม
แต่คนโดนเค้าต้องอยู่กับความรู้สึกแบบนั้นไปอีกนาน
ด่าเค้าแล้วเราได้อะไร ด่าเค้าค่าพลังความสุขเราเพิ่มขึ้นมั้ย
หรือเค้าทำให้เราเจ็บตอนไหน หรือแค่เพราะเค้าไม่เหมือนเรา
"ยังชอบอยู่มั้ยตอนถอดหน้ากาก" นั่นคือคำถามที่ผมถามแฟน
"ยังไงก็ชอบ"
"ชอบเพราะอะไร" ผมถามต่อ
"เค้าร้องเพลงเพราะ"
"คนอื่นบอกเค้าไม่แมนนะ"
"ไม่รู้ดิ หนูไม่สนหรอก เป็นอะไรก็ได้ หนูชอบเสียงเค้า ชอบเพลงที่เค้าร้อง"
"เห็นบอกศัลยกรรมเยอะด้วย"
"หนูว่ามันเรื่องธรรมดา ใครๆก็อยากดูดีในสายตาคนอื่นทั้งนั้น"
ทุกๆเช้าหนูก็แต่งหน้าไปทำงาน พี่ก็ดูดิ ครีมบำรุงเยอะแยะที่ขายๆกัน
เราก็ซื้อเพื่อมาทำให้เราดูดีไม่ใช่เหรอ แค่เค้าใช้อะไรที่แพงกว่า เร็วกว่า
หนูไม่รู้จะเดือดร้อนทำไม ไม่ได้อิจฉาเค้าซะหน่อย
"เค้าพูดไม่ชัดแบบนี้นานแล้วเหรอ" ผมยังยิงคำถามเรื่อยๆ
"ก็ไม่นะ มีเมื่อคืนนี้แหล่ะ ที่มันไม่ชัดแบบผิดปกติ
หนูว่าเค้าเหนื่อย เค้าเป็นโรคโลหิตจางอ่ะ แล้วดูชุดดิ
คงร้อนมั้ง เห็นตอนพูดดูหอบๆ พี่จะถามอะไรนักหนาเนี่ย
มีญาติเป็นเอฟบีไออ่อ" ผมเลยต้องหยุดคำถามไว้แค่นั้น
สิ่งที่ผมเห็นคือเป็กพูดไม่ชัดมากกว่าทุกครั้ง ผมว่าเค้าพยายามนะ
พยายามเป็นให้เหมือนตอนใส่หน้ากาก ลึกๆเค้าคงอยากให้ทุกคนรักเค้า
เหมือนที่เคยรักหน้ากากจิงโจ้
วันนี้ผมบอกไม่ได้ว่าผมดีกว่าคนอื่น ผมเห็นคนอื่นวิจารณ์เค้า
แล้วผมก็มาวิจารณ์คนที่วิจาร์เค้าต่ออีกที ซึ่งมันไม่ต่างกัน
เราทุกคนมีหน้ากาก ทุกๆเช้าเรายืนอยู่หน้ากระจก เราเห็นตัวเอง
ที่ยังไม่ได้ใส่หน้ากาก บางครั้งเราใส่หน้ากากหมีดุตอนที่ขับรถ
เราใส่หน้ากากแมวเข้าหาเจ้านาย แต่ละวันเราหยิบหน้ากากมาใช้
ตามแต่สถานการณ์ นั่นคือการปรับตัว แต่เราจะมีความสุขที่สุด
ที่ได้อยู่กับคนที่เราไม่ต้องใส่หน้ากากอะไรเลย เป็กคงสบายใจ
ที่ไม่ต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป เหมือนท่อนหนึ่งในเพลงที่เค้าร้องเมื่อคืน
There’s no reason to hide what we’re feelin’ inside right now
"ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเก็บซ่อนความรู้สึกใดๆ ข้างในแล้วตอนนี้"
the mask singer ทำให้ผลเป็นบวก การเป็นหน้ากากจิงโจ้
ทำให้คนที่เคยเกลียดอาจเปลี่ยนเป็นชอบ ทำให้คนที่ไม่รู้จัก
ได้รู้จักและเริ่มมาติดตาม แต่คงไม่มีใครเกลียดจิงโจ้เพิ่มมากขึ้นหรอกเนอะ
ผมคนนึง เคยฟังเพลงที่คุณร้องแล้วลืมมันไปนานแล้ว
วันนี้ผมกลับมาฟังเพลงคุณอีกครั้ง ได้รู้จักผู้ชายอ่อนน้อมถ่อมตน
ขอบคุณแฟนเพลงทุกครั้งที่ร้องเพลงจบ ไม่ว่าจะมีใครว่ายังไง
ก็ไม่เคยว่ากลับ คุณไม่ได้ทำร้ายอะไรผม ผมคงละอายใจ
ถ้าจะว่าอะไรคุณ ดีใจเหอะ วันนี้คุณได้แฟนเพลงเพิ่มขึ้นอีกคน
"ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร" เสียงเพลงคุณมันยังคงดังอยู่ในหัว
ไม่มีใครรู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง แต่สิ่งที่คุณทำวันนี้ คุณทำดีแล้ว