เห็นหลายๆกระทู้เล่าเรื่องเครียดๆเกี่ยวกับตม.ละ อยากจะเล่าในส่วนที่เบาสมองดูบ้าง
เรื่องเกิดจากทริปนึงเมื่อปลายปี พาเพื่อนทั้งหมด 6 คนไปยังเมือง Street Art ที่ไม่ไกลจากบ้านเรา
เนื่องจากเป็นคนที่ค่อนข้างเชียวชาญทั้งเรื่องตั๋วเครื่องบิน และที่พัก จึงอาสาจัดการเรื่องนี้เองทั้งหมด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
เราเลือกไฟลท์ในประเทศจากกรุงเทพฯ เพื่อไปลงจังหวัดชายแดน แล้วนั่งรถตู้ไปยังจุดหมายอีก 4 ชม. เพื่อความประหยัด
ซึ่งต้องผ่านด่านตม.ที่ชายแดนก่อนเข้าประเทศ เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่ขาเข้าประเทศจุดหมาย
เราเดินผ่านเข้าไปในอาคารตม. ซึ่งตอนนั้นเปิดแค่ช่องเดียว ที่เราเจอเป็นตม.สาวสวมฮิญาบดูเรียบร้อย
เพื่อนคนนึงที่หน้าตาดีก็เดินเข้าไปก่อน ส่วนผมก็เข้าคิวหลังจากมัน
ตม.สาวก็ยิ้มแย้มให้กับเพื่อนอย่างเป็นมิตร พร้อมกับรับหนังสือเดินทางจากมือแล้วกล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษตามสำเนียงท้องถิ่น
(แปลเป็นไทยเพื่อให้ได้อรรถรส)
"เป็นลูกครึ่งเหรอ" ตม.สาวกล่าวทัก
"เปล่าครับ เป็นคนไทย" เพื่อนตอบพร้อมกับยิ้มหวานโปรยเสน่ห์
"หน้าตาดีแบบนี้เป็นดารารึเปล่า"
"เปล่าครับ" (จริงๆเพื่อนคนนี้ก็ทำงานวงการบันเทิงแขนงหนึ่ง แต่ไม่ได้ถึงกับเป็นดาราอาชีพ)
"น่าเสียดายจัง เธอน่าจะเป็นนายแบบนะ ทำไมไม่ลองล่ะ" ตม.กล่าวพร้อมกับยิ้มหวานสุดๆ
"เนี่ย ถ้าเธออยู่ที่นี่ เธอเป็นนายแบบได้สบายๆเลยนะ"
ถึงตอนนี้ ยังไม่ได้สแกนนิ้วกันเลยด้วยซ้ำ
ผมที่ยืน(แอบ)ฟังอยู่ข้างหลังก็เริ่มตะหงิดๆ ที่ไม่จบซักที พร้อมกับหันไปมองด้านหลังมีคนเริ่มทยอยเดินมาเข้าคิวยาวขึ้นละ
ยิ่งตอนนี้มีช่องเดียว ทั้งหนังสือเดินทางท้องถิ่น และต่างชาติต่างก็ต้องใช้ช่องเดียวกันนี่แหละ
พอหันกลับมาก็ยังชวนคุยต่อกันอี้กกก ผมก็เลยชะโงกหน้าไปมอง ว่ายังมีพวกกรูยืนเข้าคิวอยู่อีกนะโว้ย
ผมก็บ่นเบาๆเป็นภาษาไทย "ไม่แลกอีเมล์คุยกันไปเลยวะ"
เหมือนนางจะรู้ตัว ก็รีบให้เพื่อนสแกนนิ้ว พร้อมกับปั้มขาเข้าให้เพื่อน
ยัง ยังไม่จบ พอเพื่อนเดินผ่านเข้าไป ก็ถึงคิวผม ทีนี้นางหน้าเหวี่ยงใส่เลยจ้า สแกนนิ้ว+ปั๊มขาเข้าอย่างมีอารมณ์บูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด
"เหยดดด อารมณ์เปลี่ยนไวจังวะ ทีกรูนี่อย่างไว เมื่อกี้ยังดี๊ด๊าอยู่แหมบๆ เออกรูมันไม่ได้หล่อแบบไอ้เมื่อกี้สินะ" (อันนี้คิดในใจ)
ตัดมาที่ขากลับ
รถตู้พาเรามาด่านตม.อีกด่าน ซึ่งด่านนี้เป็นด่านที่เพิ่งเปิดใหม่ คนยังไม่เยอะ(เพราะไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก)
บรรยากาศด่านนี้ก็ดีมาก เพราะอยู่บนเนินเขาพอดี

(ภาพประกอบจากเวป อบต.ของด่านนี้)
ด่านนี้เป็นด่านเล็ก มีจนท.เป็นคุณลุงแค่คนเดียวไม่ต้องใช้เชือกกั้นคิว ใครมาก่อนก็ยื่นหนังสือเดินทางยืนเข้าคิวกันเอง
เนื่องจากผมได้เข้าคิวเป็นคนแรกของกลุ่ม คุณลุงก็ดูใจดีกับคนไทยมาก ผมจึงผ่านได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากผมผ่านไปได้แล้ว ก็ไปยืนสูบบุหรี่ตรงที่จอดรถตู้ ผู้โดยสารคนอื่นๆก็ทยอยกันมาที่รถ......ยกเว้นเพื่อนของผม(อีกแล้ว)
ตอนแรกก็ยังไม่ได้คิดอะไร ก็ยืนรอตามปกติ ผ่านไปได้ 20 นาที "เฮ้ย ชักนานแล้วว่ะ"
ตอนนี้ผู้โดยสารบนรถต่างก็ต้องรอเพื่อนของผมอีก 3 คนที่ยังไม่ผ่านมาซักที
ซักพัก ไอ้หน้าหล่อคนเดิม ยืนขวักมือเรียกจากอาคารตม. เราก็ "เฮ้ย งานเข้าแล้วว่ะ ไอ้...มันติดตม."
ข้าพเจ้าก็รีบเดินจ้ำกลับไปที่อาคารเลยจ้า คิดว่าเพื่อนอีกคนต้องโดนกักตัวไม่ได้เข้าประเทศไทยแน่ๆ
พอเดินไปยังไม่ถึงตัวอาคารดี เพื่อนทั้ง 3 คนที่เหลือก็เดินออกมาให้เห็น ผมจึงโล่งใจ นึกว่าวันนี้จะไม่ได้กลับกรุงเทพฯกันซะแล้ว
พอรถออกจากด่านเพื่อเข้าเมืองที่เราต้องขึ้นเครื่องกลับ ผมจึงเริ่มสัมภาษณ์คนที่เหลือ ว่า"ทำไมนานจัง(วะ)"
"เปล่าพี่ คุณลุงเค้าชวนคุยเฉยๆ" น้องคนที่(คาดว่า)ติดตม.ตอบ
"อ้อ สงสัยลุงเค้าคงถามจับพิรุธล่ะมั้ง" ผมตอบ
"เปล่าพี่ เค้าปั้มให้ผมแล้วนะ แต่เค้าชวนคุยเรื่อง ที่เที่ยว-อาหาร-อากาศ บลาๆๆๆๆๆ"
"โอ้ย.. E ha คนทั้งรถเค้ารออยู่คนเดียว" ผมด่าไป
น้องเขาก็ตอบกลับมาว่า "ลุงเค้าคงเหงาอ่ะพี่ เหมือนเค้าไม่มีเพื่อนคุย จริงๆจิ๊บ(แฟน)ก็ดึงผมออกมาแล้วนะ แต่ผมบอกไปว่า ลุงเค้ากำลังสัมภาษณ์อยู่ เลยคุยกับแกต่อ"
โชคดี ที่ผมจองไฟลท์เผื่อเวลาไว้หลายชม. เผื่อกินข้าว,เดินเล่น,ช็อปปิ้งไว้ ไม่งั้นคงตาลีตาเหลือกกันน่าดู
แต่ยังไงก็เกรงใจผู้โดยสารคนอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มเรา ที่ต้องมานั่งรอรถออกพร้อมๆกัน
ปล.สุดท้าย น้องคนนี้ก็มีโอกาสไปเที่ยวกับครอบครัวตัวเอง แล้วข้ามพรมแดนแบบนี้อีกในจังหวัดใกล้ๆกัน แล้วก็เจอเหตุการณ์แบบเดียวกันเป๊ะ (คือเจอตม.ชวนคุยสัพเพเหระกันยาว)
พวกเราจึงยกฉายาให้ว่า "บุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์เรี่ยราด"
ตม.กับ"บุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์เรี่ยราด"
เรื่องเกิดจากทริปนึงเมื่อปลายปี พาเพื่อนทั้งหมด 6 คนไปยังเมือง Street Art ที่ไม่ไกลจากบ้านเรา
เนื่องจากเป็นคนที่ค่อนข้างเชียวชาญทั้งเรื่องตั๋วเครื่องบิน และที่พัก จึงอาสาจัดการเรื่องนี้เองทั้งหมด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
เราเลือกไฟลท์ในประเทศจากกรุงเทพฯ เพื่อไปลงจังหวัดชายแดน แล้วนั่งรถตู้ไปยังจุดหมายอีก 4 ชม. เพื่อความประหยัด
ซึ่งต้องผ่านด่านตม.ที่ชายแดนก่อนเข้าประเทศ เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่ขาเข้าประเทศจุดหมาย
เราเดินผ่านเข้าไปในอาคารตม. ซึ่งตอนนั้นเปิดแค่ช่องเดียว ที่เราเจอเป็นตม.สาวสวมฮิญาบดูเรียบร้อย
เพื่อนคนนึงที่หน้าตาดีก็เดินเข้าไปก่อน ส่วนผมก็เข้าคิวหลังจากมัน
ตม.สาวก็ยิ้มแย้มให้กับเพื่อนอย่างเป็นมิตร พร้อมกับรับหนังสือเดินทางจากมือแล้วกล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษตามสำเนียงท้องถิ่น
(แปลเป็นไทยเพื่อให้ได้อรรถรส)
"เป็นลูกครึ่งเหรอ" ตม.สาวกล่าวทัก
"เปล่าครับ เป็นคนไทย" เพื่อนตอบพร้อมกับยิ้มหวานโปรยเสน่ห์
"หน้าตาดีแบบนี้เป็นดารารึเปล่า"
"เปล่าครับ" (จริงๆเพื่อนคนนี้ก็ทำงานวงการบันเทิงแขนงหนึ่ง แต่ไม่ได้ถึงกับเป็นดาราอาชีพ)
"น่าเสียดายจัง เธอน่าจะเป็นนายแบบนะ ทำไมไม่ลองล่ะ" ตม.กล่าวพร้อมกับยิ้มหวานสุดๆ
"เนี่ย ถ้าเธออยู่ที่นี่ เธอเป็นนายแบบได้สบายๆเลยนะ"
ถึงตอนนี้ ยังไม่ได้สแกนนิ้วกันเลยด้วยซ้ำ
ผมที่ยืน(แอบ)ฟังอยู่ข้างหลังก็เริ่มตะหงิดๆ ที่ไม่จบซักที พร้อมกับหันไปมองด้านหลังมีคนเริ่มทยอยเดินมาเข้าคิวยาวขึ้นละ
ยิ่งตอนนี้มีช่องเดียว ทั้งหนังสือเดินทางท้องถิ่น และต่างชาติต่างก็ต้องใช้ช่องเดียวกันนี่แหละ
พอหันกลับมาก็ยังชวนคุยต่อกันอี้กกก ผมก็เลยชะโงกหน้าไปมอง ว่ายังมีพวกกรูยืนเข้าคิวอยู่อีกนะโว้ย
ผมก็บ่นเบาๆเป็นภาษาไทย "ไม่แลกอีเมล์คุยกันไปเลยวะ"
เหมือนนางจะรู้ตัว ก็รีบให้เพื่อนสแกนนิ้ว พร้อมกับปั้มขาเข้าให้เพื่อน
ยัง ยังไม่จบ พอเพื่อนเดินผ่านเข้าไป ก็ถึงคิวผม ทีนี้นางหน้าเหวี่ยงใส่เลยจ้า สแกนนิ้ว+ปั๊มขาเข้าอย่างมีอารมณ์บูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด
"เหยดดด อารมณ์เปลี่ยนไวจังวะ ทีกรูนี่อย่างไว เมื่อกี้ยังดี๊ด๊าอยู่แหมบๆ เออกรูมันไม่ได้หล่อแบบไอ้เมื่อกี้สินะ" (อันนี้คิดในใจ)
ตัดมาที่ขากลับ
รถตู้พาเรามาด่านตม.อีกด่าน ซึ่งด่านนี้เป็นด่านที่เพิ่งเปิดใหม่ คนยังไม่เยอะ(เพราะไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก)
บรรยากาศด่านนี้ก็ดีมาก เพราะอยู่บนเนินเขาพอดี
ด่านนี้เป็นด่านเล็ก มีจนท.เป็นคุณลุงแค่คนเดียวไม่ต้องใช้เชือกกั้นคิว ใครมาก่อนก็ยื่นหนังสือเดินทางยืนเข้าคิวกันเอง
เนื่องจากผมได้เข้าคิวเป็นคนแรกของกลุ่ม คุณลุงก็ดูใจดีกับคนไทยมาก ผมจึงผ่านได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากผมผ่านไปได้แล้ว ก็ไปยืนสูบบุหรี่ตรงที่จอดรถตู้ ผู้โดยสารคนอื่นๆก็ทยอยกันมาที่รถ......ยกเว้นเพื่อนของผม(อีกแล้ว)
ตอนแรกก็ยังไม่ได้คิดอะไร ก็ยืนรอตามปกติ ผ่านไปได้ 20 นาที "เฮ้ย ชักนานแล้วว่ะ"
ตอนนี้ผู้โดยสารบนรถต่างก็ต้องรอเพื่อนของผมอีก 3 คนที่ยังไม่ผ่านมาซักที
ซักพัก ไอ้หน้าหล่อคนเดิม ยืนขวักมือเรียกจากอาคารตม. เราก็ "เฮ้ย งานเข้าแล้วว่ะ ไอ้...มันติดตม."
ข้าพเจ้าก็รีบเดินจ้ำกลับไปที่อาคารเลยจ้า คิดว่าเพื่อนอีกคนต้องโดนกักตัวไม่ได้เข้าประเทศไทยแน่ๆ
พอเดินไปยังไม่ถึงตัวอาคารดี เพื่อนทั้ง 3 คนที่เหลือก็เดินออกมาให้เห็น ผมจึงโล่งใจ นึกว่าวันนี้จะไม่ได้กลับกรุงเทพฯกันซะแล้ว
พอรถออกจากด่านเพื่อเข้าเมืองที่เราต้องขึ้นเครื่องกลับ ผมจึงเริ่มสัมภาษณ์คนที่เหลือ ว่า"ทำไมนานจัง(วะ)"
"เปล่าพี่ คุณลุงเค้าชวนคุยเฉยๆ" น้องคนที่(คาดว่า)ติดตม.ตอบ
"อ้อ สงสัยลุงเค้าคงถามจับพิรุธล่ะมั้ง" ผมตอบ
"เปล่าพี่ เค้าปั้มให้ผมแล้วนะ แต่เค้าชวนคุยเรื่อง ที่เที่ยว-อาหาร-อากาศ บลาๆๆๆๆๆ"
"โอ้ย.. E ha คนทั้งรถเค้ารออยู่คนเดียว" ผมด่าไป
น้องเขาก็ตอบกลับมาว่า "ลุงเค้าคงเหงาอ่ะพี่ เหมือนเค้าไม่มีเพื่อนคุย จริงๆจิ๊บ(แฟน)ก็ดึงผมออกมาแล้วนะ แต่ผมบอกไปว่า ลุงเค้ากำลังสัมภาษณ์อยู่ เลยคุยกับแกต่อ"
โชคดี ที่ผมจองไฟลท์เผื่อเวลาไว้หลายชม. เผื่อกินข้าว,เดินเล่น,ช็อปปิ้งไว้ ไม่งั้นคงตาลีตาเหลือกกันน่าดู
แต่ยังไงก็เกรงใจผู้โดยสารคนอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มเรา ที่ต้องมานั่งรอรถออกพร้อมๆกัน
ปล.สุดท้าย น้องคนนี้ก็มีโอกาสไปเที่ยวกับครอบครัวตัวเอง แล้วข้ามพรมแดนแบบนี้อีกในจังหวัดใกล้ๆกัน แล้วก็เจอเหตุการณ์แบบเดียวกันเป๊ะ (คือเจอตม.ชวนคุยสัพเพเหระกันยาว)
พวกเราจึงยกฉายาให้ว่า "บุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์เรี่ยราด"