เราเป็นคนนึงที่โตมาในยุคที่คำๆนึงพึ่งจะมีขึ้นเป็นครั้งแรก
เราเป็นคนนึงที่เคยทึ่งกับการเกิดคำใหม่นี้เพราะคิดว่า เห้ย! มันเป็นการประสมคำที่ลงตัว กระชับ และได้ใจความ
เราเป็นคนนึงที่ชื่นชอบบุคคลซึ่งเป็นที่มาของคำๆนี้
เราเป็นคนนึงที่เคยรู้สึกดีกับการเกิดขึ้นของคำนี้เพราะเชื่อว่ามันเป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบที่ดีของคนตั้งแต่เด็กเรื่อยไปจนถึงวัยรุ่นในยุคนั้น
เราเป็นคนนึงที่เคยรู้สึกว่ารูปธรรมของคำนี้มันสวยงามทั้งภายนอกและภายใน
เราว่าการได้มีชีวิตอยู่ในยุคที่คำใหม่คำนึงเกิดขึ้น ได้อินกับคำๆนั้นจนรู้สึกว่ามันคือช่วงนึงในชีวิตนี่เป็นอะไรที่โคตรเท่ห์เลย จะให้อธิบายก็คงเหมือนยุค '60 ที่ตายายยังหนุ่มยังสาว ท่านจะยิ้มและภูมิใจทุกครั้งที่เล่าว่าครั้งหนึ่งเคยฟังเพลงเอลวิส แต่งตัวแบบเจมส์ดีน
วันนึงที่เพื่อนเกือบจะทุกคนในห้องเรียนพอกลับบ้านมาแล้วก็เล่นอินเทอร์เน็ต เข้าเว็บไซต์ อ่านกระทู้จนกระทั่งกลายเป็นผู้ตั้งกระทู้
เรื่อยมาจนถึงวันที่ทุกคนสามารถสร้างตัวตน มีตัวตน ได้แสดงความเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นตัวเองจากตัวตนจริงๆที่ทุกคนรู้จักอยู่แล้วหรือตัวตนที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยากให้คนอื่นรู้จัก
' ฟังดูมันอาจเป็นการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ' ประโยคนี้มักไม่ใช่ประโยคที่เป็นไปในทิศทางที่ดี
ถ้าคำใหม่เมื่อวันนั้นยังเป็นเหมือนเดิม เราและหลายคนที่โตมากับมัน เห็นพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงในทุกช่วงของมันก็คงยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนไม่ว่าตอนนั้นเราจะเป็นป้าแก่วัยเกษียณที่เริ่มจะไม่มีแรงแล้วก็ตาม
จริงๆถ้าจะเริ่มนับตั้งแต่คำนี้เริ่มเกิดขึ้นจนกลายเป็นคำที่สื่อมักใช้เป็นพาดหัวข่าวเพื่ออรรถรสของเนื้อหา หรือแบรนด์สินค้าเริ่มเห็นช่องทางในการใช้คำนี้เพิ่มยอดขายให้สินค้าตัวเอง เราว่ามันก็น่าจะประมาณหนึ่งทศวรรษกับไม่เกินสามปี
มาถึงตอนนี้เราอยากจะบอกว่าเรารู้สึกกับมันมากกว่าแค่คำที่ถ้าพูดกันตามความจริงแล้ว คำก็คือสิ่งไม่มีชีวิต เรารู้สึกมากกว่านั้น เรารู้สึกว่ามันมีชีวิตและ
' มีชีวิตที่มีค่ามากกว่าหนึ่งชีวิต '
หากจะให้เปรียบคำนี้เป็นสี
เมื่อสิบกว่าปีก่อน คำนี้คือสีส้มที่สดใส หมายถึงความคิดสร้างสรรค์
ส่วนถ้าเป็นตอนนี้ คำนี้คือสีดำที่ไม่มีชีวิต
ถ้าย้อนกลับไปดูตามพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์บนแผงหรือข่าวออนไลน์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กบนหน้านิวส์ฟีดก็มักจะเห็นคำนี้อยู่บ่อยๆ
' เน็ตไอดอล ' บลา บลา บลา บลา
ถึงเราจะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาและผู้คนจะทำให้คำว่าเน็ตไอดอลที่เราเคยรู้สึกดีด้วยต้องกลายเป็นความรู้สึกขัดแย้ง
เรารู้สึกขัดแย้งทุกครั้งที่สื่อใช้คำว่าเน็ตไอดอลเพียงเพราะเค้าผู้นั้นมียอดfollowersหลักหมื่นหลักแสน
เรารู้สึกขัดแย้งทุกครั้งที่ต้องเห็นพาดหัวข่าวว่าเน็ตไอดอลบลาบลาบลาบลาประพฤติตัวไม่เหมาะสมบลาบลาบลาบลา
เรารู้สึกขัดแย้งทุกครั้งที่ต้องรับรู้ว่าเยาวชนซึ่งจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า เค้ามีต้นแบบเป็นเน็ตไอดอล(จริงๆเราก็ไม่ได้อยากใช้คำนี้สักเท่าไหร่) ที่เค้ากดติดตามใน facebook
เรารู้สึกดีที่เห็นเยาวชนเหล่านั้นเลือกทำตามส่วนที่ดีของบุคคลที่เค้าเห็นว่าเป็นต้นแบบ เช่นการขายของออนไลน์(ถึงแม้ว่าสินค้าเหล่านั้นมันอาจจะอันตราย)แต่เราก็จะมองไปในทางที่ดีว่าอย่างน้อยเค้าก็รู้จักหาเงินด้วยตัวเอง
แต่เราก็ยังอดรู้สึกขัดแย้งไม่ได้ที่เยาวชนเหล่านั้นยังหลงในคำว่าเน็ตไอดอลที่ไร้แก่นแท้ไม่เหมือนกับในอดีตที่มันเกิดขึ้นมาแรกๆ
เราอดเอะใจไม่ได้ที่เห็น comment ในทางสนับสนุน ชื่นชม ยกย่องใต้รูปหรือโพสต์ที่เป็นไปในทางที่ไม่เหมาะสมของคนดังในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ถึงแม้จะรู้ว่า followers ไม่น้อยของคนดังเหล่านั้นจะกดติดตามเค้าเพียงเพื่อความบันเทิง คลายเครียดก็ตาม
เราตั้งคำถามทุกครั้งที่เห็นสื่อใช้คำว่าเน็ตไอดอลกับการพาดหัวข่าวที่กล่าวถึงคนดังในโลกออนไลน์ เราเข้าใจสื่อว่านั่นคือการใช้คำเพื่อเพิ่มอรรถรส
เรารู้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหล่านั้นมันคือความแตกต่างกันทางความคิด ทัศนคติ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลดังในโลกออนไลน์ที่แสดงความเป็นตัวเองออกมา(อาจค่อนไปในทางที่ผิดหรือไม่ดี)แล้วดันไปตรงกับความคิดของเยาวชนที่กำลังเรียนรู้โลก มองว่าการปฏิบัติตัวแบบนั้นคือความเท่ห์ ทำแล้วได้รับการยอมรับในแก๊งเพื่อน ทำให้เข้าสังคม(ที่เขาอยู่)ได้
เราอดไม่ได้ทุกครั้งที่จะอ่าน comment ใต้พาดหัวข่าวที่มีคำว่า เน็ตไอดอล เพื่อจะทราบความคิดเห็นของคนอื่นว่าคิดเห็นอย่างไรกับการที่สื่อยังใช้คำนี้อยู่ ถึงแม้ว่าเราจะดีใจที่มีคนคิดแบบเดียวกับเราอยู่มากแต่นั่นกลับทำให้เรายิ่งสงสัยหนักไปอีกว่าทำไมสื่อยังคงใช้คำว่าเน็ตไอดอลอยู่ทั้งๆที่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่ดีกับการใช้คำว่าเน็ตไอดอลในความหมายที่คนรุ่นใหม่หลายคนให้คำจำกัดความไว้ หนำซ้ำหลายคนก็ยังเป็นบุคคลที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม
เรามองว่าปัญหานี้มันไม่ใช่แค่ปัญหาของคำที่มีความหมายเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและยุคสมัย
แต่เรามองว่ามันคือการที่เราไม่เห็นความสำคัญกับความหมายของคำและนิ่งดูดายทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เยาวชน ลูกหลานหรือน้องของเราประพฤติตัวไปในทางที่ไม่ดีไม่เหมาะสมมากกว่า
เน็ตไอดอล
เน็ต + ไอดอล
อินเทอร์เน็ต + บุคคลต้นแบบ บุคคลซึ่งเป็นแรงบันดาลใจ
เราว่ามันตลกมากที่คำที่มีความหมายดีขนาดนี้ถูกใช้กับบุคคลที่ประพฤติตัวตรงข้ามกับคำนี้(เรากำลังหมายถึงคำนี้ในความหมายเมื่อสิบปีก่อน)โดยที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาคัดค้านอย่างจริงจัง จริงๆก็ไม่ต้องถึงกับคัดค้านหรอก แค่ลดการใช้และนำเสนอข่าวที่ไม่ดีที่คิดว่าจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เยาวชนดูก็พอแล้ว
ถ้าเข้าใจที่เราพูดจริงๆจะมองออกเลยว่าทั้งคำว่าเน็ตไอดอลก็ดี ทั้งปัญหาของเยาวชนไทยก็ดี สองสิ่งนี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น
เยาวชนที่มีแนวความคิดนิยมสไตล์เดียวกับคนดังในโลกออนไลน์ที่เรามักนึกถึงกันในสมัยนี้จะมองว่าสิ่งต่างๆที่บุคคลที่เขาชื่นชอบได้ประพฤติอยู่นั้นคือต้นแบบ และตัวอย่างที่เขาจะเดินรอยตาม เยาวชนบางคนไม่มองด้วยซ้ำว่านั่นคือสิ่งที่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม เขามองแค่ว่าเขาชอบแบบนี้ เขาปฏิบัติแบบนี้แล้วได้รับการยอมรับในกลุ่มเพื่อนฝูง มีหน้ามีตา มีสังคม หรือบางคนมองอาจไปถึงรายได้ที่แบรนด์สินค้าต่างๆจะติดต่อเข้ามาในอนาคตด้วยซ้ำ
เราจะไปโทษเยาวชนเหล่านั้นซะทีเดียวก็ไม่ถูก เพราะการที่เรายังใช้คำว่า เน็ตไอดอล กับคนดังในโลกออนไลน์ที่มีผู้ติดตามหลักหมื่นหลักแสนโดยไม่สนการประพฤติตัวที่ไม่เหมาะสมของบุคคลนั้น เรามองว่านี่เหมือนเป็นการสนับสนุนเล็กๆให้คำว่าบุคคลต้นแบบของชาวโซเชียลเป็นบุคคลที่พบได้มากมายตามพาดหัวข่าวที่ค่อนไปในทางที่ไม่ดี
ยุคที่ทุกคนในเกือบทุกพื้นที่ของโลกสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ เราว่ามันไม่ใช่แค่หน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ของเด็กแล้วที่จะสามารถสั่งสอน อบรม ตักเตือนให้เยาวชนเหล่านั้นรู้ถูกรู้ผิดได้ เราว่ามันเป็นหน้าที่ของสื่อด้วย ยิ่งสื่อเรายิ่งมองว่านั่นคือสิ่งที่มีอิทธิพลมากกว่าด้วยซ้ำ
ตราบใดที่สื่อยังใช้คำว่าเน็ตไอดอลกับคนดังที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ปัญหาที่คนดังเหล่านั้นยังหลงระเริงกับคำว่าเน็ตไอดอล และประพฤติตัวแบบไม่สนใจศีลธรรม ไม่สนใจการเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตของเด็กคนนึงก็จะยังดำรงอยู่ และที่ร้ายที่สุด ปัญหาที่เด็กไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี หรือสิ่งไหนเหมาะสม สิ่งไหนไม่เหมาะสม จนนำไปสู่ปัญหาสังคมมากมายก็จะยังเกิดอยู่และไม่สามารถแก้ไขได้ วันใดที่เด็กรุ่นใหม่ หรือผู้ใหญ่ในอนาคตชินกับความไม่ดีนี้และมองว่าสิ่งไม่ดีในวันนี้คือความปกติในวันนั้น เราไม่รู้เลยว่าสังคมเราจะเละเทะกันขนาดไหน
' เป็นธรรมดาที่เมื่อคำๆนึงเกิดขึ้นมา ถ้าเราไม่ใช้มัน ในที่สุดมันก็จะตายจากโลกนี้ไปเอง '
ใครหลายคนอาจคิดเช่นนี้กับคำว่า ' เน็ตไอดอล '
พวกเค้ารอวันให้คำนี้หายไปจากสังคมไทย
ถ้าสมมติวันนึงมันไม่หายไป สิ่งที่เราจะขอก็คือ ขอให้ทุกคน ย้ำว่าทุกคน มองคำนี้เป็น เยี่ยงอย่าง ไม่ใช่ แบบอย่าง อย่างในวันแรกที่คำนี้เกิดขึ้นมา
เพราะเราไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนคำๆนี้มันจะเป็นอย่างที่เราขอในประโยคข้างบน และกว่าที่มันจะเป็นแบบนั้นมันได้ทำลายอนาคตของชาติไปมากเท่าไหร่แล้ว เราก็เลยอยากแก้ปัญหามันเสียแต่ตอนนี้
เราหวังว่าผู้ใหญ่ในวันนี้จะสอนผู้ใหญ่ในวันหน้าว่าใครคือเน็ตไอดอลอย่างแท้จริง และใครที่เป็นแค่คนดังบนโลกออนไลน์
เราหวังว่าข้อความนี้ของเราจะไปถึง ' สื่อ ' ผู้ใหญ่ในวันนี้ที่เราคิดว่ามีอิทธิพลอย่างมากกับผู้ใหญ่ในวันหน้า
เราเชื่อว่าถ้า ' สื่อ ' เปลี่ยนแปลงการใช้คำว่า ' เน็ตไอดอล ' เฉพาะกับข่าวที่เป็นไปในทางที่ดีได้ คำว่า ' เน็ตไอดอล ' เมื่อสิบกว่าปีก่อนก็จะกลับมาสดใสเหมือนเดิม
เรามีอะไรอยากบอก
เราเป็นคนนึงที่เคยทึ่งกับการเกิดคำใหม่นี้เพราะคิดว่า เห้ย! มันเป็นการประสมคำที่ลงตัว กระชับ และได้ใจความ
เราเป็นคนนึงที่ชื่นชอบบุคคลซึ่งเป็นที่มาของคำๆนี้
เราเป็นคนนึงที่เคยรู้สึกดีกับการเกิดขึ้นของคำนี้เพราะเชื่อว่ามันเป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบที่ดีของคนตั้งแต่เด็กเรื่อยไปจนถึงวัยรุ่นในยุคนั้น
เราเป็นคนนึงที่เคยรู้สึกว่ารูปธรรมของคำนี้มันสวยงามทั้งภายนอกและภายใน
เราว่าการได้มีชีวิตอยู่ในยุคที่คำใหม่คำนึงเกิดขึ้น ได้อินกับคำๆนั้นจนรู้สึกว่ามันคือช่วงนึงในชีวิตนี่เป็นอะไรที่โคตรเท่ห์เลย จะให้อธิบายก็คงเหมือนยุค '60 ที่ตายายยังหนุ่มยังสาว ท่านจะยิ้มและภูมิใจทุกครั้งที่เล่าว่าครั้งหนึ่งเคยฟังเพลงเอลวิส แต่งตัวแบบเจมส์ดีน
วันนึงที่เพื่อนเกือบจะทุกคนในห้องเรียนพอกลับบ้านมาแล้วก็เล่นอินเทอร์เน็ต เข้าเว็บไซต์ อ่านกระทู้จนกระทั่งกลายเป็นผู้ตั้งกระทู้
เรื่อยมาจนถึงวันที่ทุกคนสามารถสร้างตัวตน มีตัวตน ได้แสดงความเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นตัวเองจากตัวตนจริงๆที่ทุกคนรู้จักอยู่แล้วหรือตัวตนที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยากให้คนอื่นรู้จัก
' ฟังดูมันอาจเป็นการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ' ประโยคนี้มักไม่ใช่ประโยคที่เป็นไปในทิศทางที่ดี
ถ้าคำใหม่เมื่อวันนั้นยังเป็นเหมือนเดิม เราและหลายคนที่โตมากับมัน เห็นพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงในทุกช่วงของมันก็คงยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนไม่ว่าตอนนั้นเราจะเป็นป้าแก่วัยเกษียณที่เริ่มจะไม่มีแรงแล้วก็ตาม
จริงๆถ้าจะเริ่มนับตั้งแต่คำนี้เริ่มเกิดขึ้นจนกลายเป็นคำที่สื่อมักใช้เป็นพาดหัวข่าวเพื่ออรรถรสของเนื้อหา หรือแบรนด์สินค้าเริ่มเห็นช่องทางในการใช้คำนี้เพิ่มยอดขายให้สินค้าตัวเอง เราว่ามันก็น่าจะประมาณหนึ่งทศวรรษกับไม่เกินสามปี
มาถึงตอนนี้เราอยากจะบอกว่าเรารู้สึกกับมันมากกว่าแค่คำที่ถ้าพูดกันตามความจริงแล้ว คำก็คือสิ่งไม่มีชีวิต เรารู้สึกมากกว่านั้น เรารู้สึกว่ามันมีชีวิตและ
' มีชีวิตที่มีค่ามากกว่าหนึ่งชีวิต '
หากจะให้เปรียบคำนี้เป็นสี
เมื่อสิบกว่าปีก่อน คำนี้คือสีส้มที่สดใส หมายถึงความคิดสร้างสรรค์
ส่วนถ้าเป็นตอนนี้ คำนี้คือสีดำที่ไม่มีชีวิต
ถ้าย้อนกลับไปดูตามพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์บนแผงหรือข่าวออนไลน์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กบนหน้านิวส์ฟีดก็มักจะเห็นคำนี้อยู่บ่อยๆ
' เน็ตไอดอล ' บลา บลา บลา บลา
ถึงเราจะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาและผู้คนจะทำให้คำว่าเน็ตไอดอลที่เราเคยรู้สึกดีด้วยต้องกลายเป็นความรู้สึกขัดแย้ง
เรารู้สึกขัดแย้งทุกครั้งที่สื่อใช้คำว่าเน็ตไอดอลเพียงเพราะเค้าผู้นั้นมียอดfollowersหลักหมื่นหลักแสน
เรารู้สึกขัดแย้งทุกครั้งที่ต้องเห็นพาดหัวข่าวว่าเน็ตไอดอลบลาบลาบลาบลาประพฤติตัวไม่เหมาะสมบลาบลาบลาบลา
เรารู้สึกขัดแย้งทุกครั้งที่ต้องรับรู้ว่าเยาวชนซึ่งจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า เค้ามีต้นแบบเป็นเน็ตไอดอล(จริงๆเราก็ไม่ได้อยากใช้คำนี้สักเท่าไหร่) ที่เค้ากดติดตามใน facebook
เรารู้สึกดีที่เห็นเยาวชนเหล่านั้นเลือกทำตามส่วนที่ดีของบุคคลที่เค้าเห็นว่าเป็นต้นแบบ เช่นการขายของออนไลน์(ถึงแม้ว่าสินค้าเหล่านั้นมันอาจจะอันตราย)แต่เราก็จะมองไปในทางที่ดีว่าอย่างน้อยเค้าก็รู้จักหาเงินด้วยตัวเอง
แต่เราก็ยังอดรู้สึกขัดแย้งไม่ได้ที่เยาวชนเหล่านั้นยังหลงในคำว่าเน็ตไอดอลที่ไร้แก่นแท้ไม่เหมือนกับในอดีตที่มันเกิดขึ้นมาแรกๆ
เราอดเอะใจไม่ได้ที่เห็น comment ในทางสนับสนุน ชื่นชม ยกย่องใต้รูปหรือโพสต์ที่เป็นไปในทางที่ไม่เหมาะสมของคนดังในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ถึงแม้จะรู้ว่า followers ไม่น้อยของคนดังเหล่านั้นจะกดติดตามเค้าเพียงเพื่อความบันเทิง คลายเครียดก็ตาม
เราตั้งคำถามทุกครั้งที่เห็นสื่อใช้คำว่าเน็ตไอดอลกับการพาดหัวข่าวที่กล่าวถึงคนดังในโลกออนไลน์ เราเข้าใจสื่อว่านั่นคือการใช้คำเพื่อเพิ่มอรรถรส
เรารู้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหล่านั้นมันคือความแตกต่างกันทางความคิด ทัศนคติ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลดังในโลกออนไลน์ที่แสดงความเป็นตัวเองออกมา(อาจค่อนไปในทางที่ผิดหรือไม่ดี)แล้วดันไปตรงกับความคิดของเยาวชนที่กำลังเรียนรู้โลก มองว่าการปฏิบัติตัวแบบนั้นคือความเท่ห์ ทำแล้วได้รับการยอมรับในแก๊งเพื่อน ทำให้เข้าสังคม(ที่เขาอยู่)ได้
เราอดไม่ได้ทุกครั้งที่จะอ่าน comment ใต้พาดหัวข่าวที่มีคำว่า เน็ตไอดอล เพื่อจะทราบความคิดเห็นของคนอื่นว่าคิดเห็นอย่างไรกับการที่สื่อยังใช้คำนี้อยู่ ถึงแม้ว่าเราจะดีใจที่มีคนคิดแบบเดียวกับเราอยู่มากแต่นั่นกลับทำให้เรายิ่งสงสัยหนักไปอีกว่าทำไมสื่อยังคงใช้คำว่าเน็ตไอดอลอยู่ทั้งๆที่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่ดีกับการใช้คำว่าเน็ตไอดอลในความหมายที่คนรุ่นใหม่หลายคนให้คำจำกัดความไว้ หนำซ้ำหลายคนก็ยังเป็นบุคคลที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม
เรามองว่าปัญหานี้มันไม่ใช่แค่ปัญหาของคำที่มีความหมายเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและยุคสมัย
แต่เรามองว่ามันคือการที่เราไม่เห็นความสำคัญกับความหมายของคำและนิ่งดูดายทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เยาวชน ลูกหลานหรือน้องของเราประพฤติตัวไปในทางที่ไม่ดีไม่เหมาะสมมากกว่า
เน็ตไอดอล
เน็ต + ไอดอล
อินเทอร์เน็ต + บุคคลต้นแบบ บุคคลซึ่งเป็นแรงบันดาลใจ
เราว่ามันตลกมากที่คำที่มีความหมายดีขนาดนี้ถูกใช้กับบุคคลที่ประพฤติตัวตรงข้ามกับคำนี้(เรากำลังหมายถึงคำนี้ในความหมายเมื่อสิบปีก่อน)โดยที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาคัดค้านอย่างจริงจัง จริงๆก็ไม่ต้องถึงกับคัดค้านหรอก แค่ลดการใช้และนำเสนอข่าวที่ไม่ดีที่คิดว่าจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เยาวชนดูก็พอแล้ว
ถ้าเข้าใจที่เราพูดจริงๆจะมองออกเลยว่าทั้งคำว่าเน็ตไอดอลก็ดี ทั้งปัญหาของเยาวชนไทยก็ดี สองสิ่งนี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น
เยาวชนที่มีแนวความคิดนิยมสไตล์เดียวกับคนดังในโลกออนไลน์ที่เรามักนึกถึงกันในสมัยนี้จะมองว่าสิ่งต่างๆที่บุคคลที่เขาชื่นชอบได้ประพฤติอยู่นั้นคือต้นแบบ และตัวอย่างที่เขาจะเดินรอยตาม เยาวชนบางคนไม่มองด้วยซ้ำว่านั่นคือสิ่งที่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม เขามองแค่ว่าเขาชอบแบบนี้ เขาปฏิบัติแบบนี้แล้วได้รับการยอมรับในกลุ่มเพื่อนฝูง มีหน้ามีตา มีสังคม หรือบางคนมองอาจไปถึงรายได้ที่แบรนด์สินค้าต่างๆจะติดต่อเข้ามาในอนาคตด้วยซ้ำ
เราจะไปโทษเยาวชนเหล่านั้นซะทีเดียวก็ไม่ถูก เพราะการที่เรายังใช้คำว่า เน็ตไอดอล กับคนดังในโลกออนไลน์ที่มีผู้ติดตามหลักหมื่นหลักแสนโดยไม่สนการประพฤติตัวที่ไม่เหมาะสมของบุคคลนั้น เรามองว่านี่เหมือนเป็นการสนับสนุนเล็กๆให้คำว่าบุคคลต้นแบบของชาวโซเชียลเป็นบุคคลที่พบได้มากมายตามพาดหัวข่าวที่ค่อนไปในทางที่ไม่ดี
ยุคที่ทุกคนในเกือบทุกพื้นที่ของโลกสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ เราว่ามันไม่ใช่แค่หน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ของเด็กแล้วที่จะสามารถสั่งสอน อบรม ตักเตือนให้เยาวชนเหล่านั้นรู้ถูกรู้ผิดได้ เราว่ามันเป็นหน้าที่ของสื่อด้วย ยิ่งสื่อเรายิ่งมองว่านั่นคือสิ่งที่มีอิทธิพลมากกว่าด้วยซ้ำ
ตราบใดที่สื่อยังใช้คำว่าเน็ตไอดอลกับคนดังที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ปัญหาที่คนดังเหล่านั้นยังหลงระเริงกับคำว่าเน็ตไอดอล และประพฤติตัวแบบไม่สนใจศีลธรรม ไม่สนใจการเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตของเด็กคนนึงก็จะยังดำรงอยู่ และที่ร้ายที่สุด ปัญหาที่เด็กไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี หรือสิ่งไหนเหมาะสม สิ่งไหนไม่เหมาะสม จนนำไปสู่ปัญหาสังคมมากมายก็จะยังเกิดอยู่และไม่สามารถแก้ไขได้ วันใดที่เด็กรุ่นใหม่ หรือผู้ใหญ่ในอนาคตชินกับความไม่ดีนี้และมองว่าสิ่งไม่ดีในวันนี้คือความปกติในวันนั้น เราไม่รู้เลยว่าสังคมเราจะเละเทะกันขนาดไหน
' เป็นธรรมดาที่เมื่อคำๆนึงเกิดขึ้นมา ถ้าเราไม่ใช้มัน ในที่สุดมันก็จะตายจากโลกนี้ไปเอง '
ใครหลายคนอาจคิดเช่นนี้กับคำว่า ' เน็ตไอดอล '
พวกเค้ารอวันให้คำนี้หายไปจากสังคมไทย
ถ้าสมมติวันนึงมันไม่หายไป สิ่งที่เราจะขอก็คือ ขอให้ทุกคน ย้ำว่าทุกคน มองคำนี้เป็น เยี่ยงอย่าง ไม่ใช่ แบบอย่าง อย่างในวันแรกที่คำนี้เกิดขึ้นมา
เพราะเราไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนคำๆนี้มันจะเป็นอย่างที่เราขอในประโยคข้างบน และกว่าที่มันจะเป็นแบบนั้นมันได้ทำลายอนาคตของชาติไปมากเท่าไหร่แล้ว เราก็เลยอยากแก้ปัญหามันเสียแต่ตอนนี้
เราหวังว่าผู้ใหญ่ในวันนี้จะสอนผู้ใหญ่ในวันหน้าว่าใครคือเน็ตไอดอลอย่างแท้จริง และใครที่เป็นแค่คนดังบนโลกออนไลน์
เราหวังว่าข้อความนี้ของเราจะไปถึง ' สื่อ ' ผู้ใหญ่ในวันนี้ที่เราคิดว่ามีอิทธิพลอย่างมากกับผู้ใหญ่ในวันหน้า
เราเชื่อว่าถ้า ' สื่อ ' เปลี่ยนแปลงการใช้คำว่า ' เน็ตไอดอล ' เฉพาะกับข่าวที่เป็นไปในทางที่ดีได้ คำว่า ' เน็ตไอดอล ' เมื่อสิบกว่าปีก่อนก็จะกลับมาสดใสเหมือนเดิม