WHAT’S FOR DINNER, MOM?
13 เมษายน ในโรงภาพยนตร์

เจาะใจผู้กำกับ มิตสึฮิโตะ ชิราฮะ
= ประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศไต้หวันที่เป็นรูปธรรมที่สุดสำหรับผม เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์และอาหารครับ
ตอนอยู่เมืองโกเบ ที่นั่นมีร้านอาหารไต้หวันเก่า ๆ หลายร้าน ทุกวันนี้ผมก็ยังไปกินบ่อยๆ เพราะมันมีทั้งร้านที่คุณสามารถทานจุกทานจิกได้ในราคาประหยัด และร้านแนว อิซากายะ หรือร้านเหล้าที่มีอาหารเยอะแยะเสิร์ฟพร้อมเบียร์ เวลาได้กลิ่นของอาหารจีน มันชวนให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและอยากอาหารอยู่เสมอเลย
= สำหรับประสบการณ์ด้านหนังของผม เริ่มต้นจากการดู Dust in the Wind ของผู้กำกับ โหวเสี้ยวเฉียน ที่เข้าฉายในญี่ปุ่นเมื่อปี 1989 ทันทีที่ตกหลุมรักหนังเรื่องนั้น ผมก็ตั้งใจจะตามหาหนังไต้หวันมาดูอยู่เสมอ
= เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมพบเจอหนังไต้หวันดี ๆ ผมจะชอบเกิดความรู้สึกประทับใจแบบแปลก ๆ หนังตัดต่ออย่างค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยให้เวลาไหลไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คนดูไม่รู้สึกเบื่อ และคนดูจะรู้สึกจมจ่อมไปกับเหตุการณ์ในหนังราวกับว่ามันเกิดขึ้นในชีวิตจริง จนสัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจอันดังก้อง ผมยึดหลักการเหล่านี้มาใช้ในการทำหนังโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งเมื่อผมมาทำหนังเรื่อง What’s For Dinner, Mom? เรื่องนี้เอง
= ผมมีความคิดอยากสร้างหนังเกี่ยวกับไต้หวันมานานแล้ว ด้วยความหลงใหลในประเทศนี้ ผมอยู่ในช่วงลองผิดลองถูกซ้ำไปซ้ำมาก่อนจะได้อ่านบทความของคุณ ทาเอะ ฮิโตโตะ เรื่อง Watashi no Shanzu และ Moma Gohan Mada? เมื่อผมได้อ่าน ผมได้พบเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นและไต้หวัน เรื่องครอบครัว รวมถึงเรื่องของอาหารไต้หวันที่ผมรัก ผมตื่นเต้นมากที่เจองานที่เข้ากับใจความสำคัญในหนังของผม ช่วงเดือนกันยายน 2014 ผมไปหาคุณทาเอะ ฮิโตโตะ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่โตเกียวโดยไม่ได้นัดหมายเธอไว้ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ช่วงนั้นผมกำลังทำหนังเรื่อง Kobe Zaiju อยู่ในช่วง Post-Production แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
= จู่ ๆ ผมก็บอกเขาว่า “ผมอยากเอาผลงานของคุณไปดัดแปลงเป็นหนัง” ซึ่งเธอก็ตอบตกลงทันที ผมจึงเริ่มปั่นบทในช่วงที่กำลังวุ่นอยู่กับ Kobe Zaiju เหตุผลที่งานเขียนของคุณทาเอะ ฮิโตโตะ นั้นลงตัวอย่างดีเพราะคุณทาเอะถือเป็นบุคคลสำคัญของเรื่องนี้ คุณแม่ของเขาก็รู้จักกับคนในเมืองโนโตะ จังหวัดอิชิคาว่า และมีเมืองที่ชื่อว่า ‘ฮิโตโตะ’ ในเมืองนาคาโมโต้ จังหวัดอิชิคาว่าอีกด้วย แม้ผมจะเคยไปนาคาโมโต้หลายครั้ง แต่ก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าครอบครัวของคุณฮิโตโตะมีความเกี่ยวข้องกับเมืองนี้จริง ๆ ผมคิดว่าผมสามารถนำประสบการณ์ของตนเองสมัยทำ Noto no Hanayome ในปี 2008 มาใช้ในหนังเรื่องนี้ได้
___ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2015 เราไปตามรอยเรื่องราวของคุณฮิโตโตะ ในนาคาโมโต้ เราได้รับความช่วยเหลือจากหลายๆ คนรวมทั้งท่านผู้ว่าซูกิโมโต้ แล้วยังได้ทุนจากโปรเจ็คงานครบรอบ 10 ปีของเมืองด้วย (Nakanoto 10th Anniversary Project) ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตอนผมกับผู้อำนวยการสร้างบินไปไต้หวัน ด้วยการช่วยเหลือของคุณทาเอะ ฮิโตโตะ เราเลยได้รับการช่วยเหลือจากคนในชุมชนและคนในวงการหนังอีกเยอะมากด้วยครับ
___วันหนึ่งขณะอยู่ในสตูดิโอถ่ายหนังชื่อ Modern Film เรากำลังทดลองถ่ายและตัดต่อหนังอยู่ จู่ ๆ เราก็ค้นเจอฟุตเตจที่ไม่รู้ว่าเป็นของหนังเรื่องอะไร มันมีทั้งหนังและซีรี่ส์ รวมถึงภาพภูมิประเทศด้วย แต่ถึงจะไม่รู้บริบทของภาพเหล่านี้ ผมยังสัมผัสได้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘การเดินทางของกาลเวลา’ แบบเดียวกับในหนังไต้หวันที่ผมเคยดู ผมดูฟุตเตจทั้งหมดแล้วจู่ๆ ผมก็สามารถไขปริศนาลึกลับที่ติดอยู่ในหัวผมมานานแสนนาน มันเป็นภาพที่บทกลอนภาษาจีนทับซ้อนกับภาพของชายคนหนึ่งที่อยู่ในท่าเรือ โอ้โห คนไต้หวันช่างมีอารมณ์สุนทรีย์อยู่ในสายเลือด พวกเขาเข้าใจสัจธรรมของกาลเวลา และยังเห็นแจ้งถึงชีวิต มีหนังไต้หวันเรื่องเยี่ยมอย่าง Yuyu ซึ่งสร้างมาจากบทกวีคลาสสิคของจีนซึ่งเต็มไปด้วยแนวคิดปรัชญาด้วย ผมจึงตัดสินใจว่าอยากสร้างหนังเรื่องนี้โดยดึงจุดนั้นมาเป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้บ้าง
อาหารไต้หวัน ถือเป็นโครงสร้างที่สำคัญมากในหนังเรื่องนี้
ผมขอคำแนะนำจากเพื่อนผม คุณ O จากสถาบันอาหารสึจิ (Tsuji Culinary Institute) เขาช่วยผมไว้ได้เยอะเลยครับในการทำหนังเรื่องนี้ เขาเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจีนมาให้ และเราก็ร่วมมือการปรุงอาหารจากสูตรของครอบครัวฮิโตโตะขึ้นมา
= ขั้นตอนนี้ถือว่าท้าทายมากทีเดียวเพราะในสูตรระบุถึงวัตถุดิบที่หากไม่มีอยู่ในญี่ปุ่น ก็เป็นของที่แพงเอามากๆ คุณ S จากสถาบันอาหารสึจิ มอบรายชื่อวัตถุดิบให้ผมแล้วบอกให้ไปหาที่ไต้หวัน ผมเลยต้องบินไปตะลุยตลาดและซูเปอร์มาร์เก็ตกับทีมงานซึ่งเป็นคนท้องถิ่น ถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่ามาก ๆ ครับ และมันแสดงให้เห็นถึงความหลงใหลอันแรงกล้าของชาวไต้หวันที่มีต่ออาหารเหล่านี้
_____เราเริ่มถ่ายทำหนังในวันที่ 21 มกราคม 2016 ที่เมืองโชฟุ ในโตเกียว ช่วงนั้นมีแดดจ้าทีเดียว ทีมงานในกองถ่ายส่วนใหญ่แล้วอายุน้อยกว่าผมแต่เราก็ร่วมทีมกันได้เข้าขาดี และสามารถถ่ายทำทุกอย่างได้เป็นระเบียบเรียบร้อย พอเสร็จจากโตเกียว ผมเดินทางไปเมืองไถหนัน ที่ไต้หวันต่อเลย ผมเคยมาบ่อยจึงรู้ว่าที่นี่มีช่วงฤดูร้อนยาวนาน ในหนังสือคู่มือระบุว่า เดือนมกราคมนั้นจะมีบรรยากาศใกล้เคียงกับช่วงฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่น แต่ว่าตอนนั้นจู่ๆ อากาศหนาวก็เข้าปกคลุมไต้หวันเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี แม้กระทั่งที่ไถหนันก็มีอุณหภูมิอยู่ที่ 0 องศาเซลเซียส แถมโรงแรมที่นี่ก็ไม่มีเครื่องทำความร้อน ทีมงานทุกคนจึงต้องอดทนฟันฝ่าคืนอันยาวนานไปให้ได้
_____วันที่ 27 มกราคม เราเดินทางจากไถหนันกลับมาคานาซาว่าที่ญี่ปุ่น พอทีมงานไปถึงคานาซาว่าแล้วอุทานออกมาเลยว่า “มันโคตรอุ่นเลย” แล้วตอนเราไปที่นาคาโนโต้ ภารกิจแรกที่เราต้องทำคือเก็บภาพหิมะ ก่อนที่เราจะลงเอยด้วยการได้ภาพของเมืองที่สวยงามมาก ๆ ครับ
_____วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เรากลับไปที่โชฟุอีกครั้ง เราเริ่มถ่ายฉากครัวของบ้านฮิโตโตะ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ ทีมงานจากสถาบันอาหารสึจิได้ทีแผลงอิทธิฤทธิ์ พวกเขาจัดสรรพื้นที่ทำครัวเพื่อทำอาหารหลากหลายแบบให้กับหนัง พวกเขาขะมักเขม้นกับการทำขาหมู เกี๊ยว หัวไชเท้า และอื่น ๆ อีกมากมาย มีฉากนึงที่ต้องทำซุปอกไก่ เมื่อถ่ายเสร็จแล้ว คุณคิมูระของสถาบันสึจิก็ไปซื้อหมี่เตี๊ยวเพื่อเอามารับประทานคู่กับซุป ทุกวันนี้ผมยังไม่ลืมรสชาติของอาหารมื้อนั้นเลย
= ในวันสุดท้ายของการถ่ายทำ เราต้องใช้เกี๊ยวในปริมาณที่เยอะมาก ทีมกล้องและทีมแสงทำงานได้ดีมาก พวกเขาสามารถขับเน้นให้เห็นภาพของไอร้อนออกมาจากเกี๊ยวได้งดงามมาก
= การถ่ายทำเป็นไปอย่างยาวนานจนถึงวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ พวกเราฉลองปิดกล้องด้วยการซดเบียร์พร้อมกับกินเกี๊ยวเป็นกับแกล้มจนอิ่มหนำทีเดียว
ในเมื่อตอนนี้หนังก็ถ่ายทำเสร็จสิ้นแล้ว ผมจะสามารถแสดงให้คนดูได้เห็นถึง ‘ช่วงเวลาอันละเมียดละไมของชีวิต’ ได้ไหม? อันนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนดูในการพิสูจน์แล้วล่ะครับ...
ลิงค์ตัวอย่าง SUB THAI
Credit : Mongkol Cinema
+ เจาะลึกผู้กำกับ "มิตสึฮิโตะ ชิราฮะ" กับผลงานของเขา "WHAT’S FOR DINNER, MOM?" 13 เมษายน ในโรงภาพยนตร์ +
13 เมษายน ในโรงภาพยนตร์
เจาะใจผู้กำกับ มิตสึฮิโตะ ชิราฮะ
= ประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศไต้หวันที่เป็นรูปธรรมที่สุดสำหรับผม เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์และอาหารครับ
ตอนอยู่เมืองโกเบ ที่นั่นมีร้านอาหารไต้หวันเก่า ๆ หลายร้าน ทุกวันนี้ผมก็ยังไปกินบ่อยๆ เพราะมันมีทั้งร้านที่คุณสามารถทานจุกทานจิกได้ในราคาประหยัด และร้านแนว อิซากายะ หรือร้านเหล้าที่มีอาหารเยอะแยะเสิร์ฟพร้อมเบียร์ เวลาได้กลิ่นของอาหารจีน มันชวนให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและอยากอาหารอยู่เสมอเลย
= สำหรับประสบการณ์ด้านหนังของผม เริ่มต้นจากการดู Dust in the Wind ของผู้กำกับ โหวเสี้ยวเฉียน ที่เข้าฉายในญี่ปุ่นเมื่อปี 1989 ทันทีที่ตกหลุมรักหนังเรื่องนั้น ผมก็ตั้งใจจะตามหาหนังไต้หวันมาดูอยู่เสมอ
= เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมพบเจอหนังไต้หวันดี ๆ ผมจะชอบเกิดความรู้สึกประทับใจแบบแปลก ๆ หนังตัดต่ออย่างค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยให้เวลาไหลไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คนดูไม่รู้สึกเบื่อ และคนดูจะรู้สึกจมจ่อมไปกับเหตุการณ์ในหนังราวกับว่ามันเกิดขึ้นในชีวิตจริง จนสัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจอันดังก้อง ผมยึดหลักการเหล่านี้มาใช้ในการทำหนังโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งเมื่อผมมาทำหนังเรื่อง What’s For Dinner, Mom? เรื่องนี้เอง
= ผมมีความคิดอยากสร้างหนังเกี่ยวกับไต้หวันมานานแล้ว ด้วยความหลงใหลในประเทศนี้ ผมอยู่ในช่วงลองผิดลองถูกซ้ำไปซ้ำมาก่อนจะได้อ่านบทความของคุณ ทาเอะ ฮิโตโตะ เรื่อง Watashi no Shanzu และ Moma Gohan Mada? เมื่อผมได้อ่าน ผมได้พบเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นและไต้หวัน เรื่องครอบครัว รวมถึงเรื่องของอาหารไต้หวันที่ผมรัก ผมตื่นเต้นมากที่เจองานที่เข้ากับใจความสำคัญในหนังของผม ช่วงเดือนกันยายน 2014 ผมไปหาคุณทาเอะ ฮิโตโตะ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่โตเกียวโดยไม่ได้นัดหมายเธอไว้ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ช่วงนั้นผมกำลังทำหนังเรื่อง Kobe Zaiju อยู่ในช่วง Post-Production แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
= จู่ ๆ ผมก็บอกเขาว่า “ผมอยากเอาผลงานของคุณไปดัดแปลงเป็นหนัง” ซึ่งเธอก็ตอบตกลงทันที ผมจึงเริ่มปั่นบทในช่วงที่กำลังวุ่นอยู่กับ Kobe Zaiju เหตุผลที่งานเขียนของคุณทาเอะ ฮิโตโตะ นั้นลงตัวอย่างดีเพราะคุณทาเอะถือเป็นบุคคลสำคัญของเรื่องนี้ คุณแม่ของเขาก็รู้จักกับคนในเมืองโนโตะ จังหวัดอิชิคาว่า และมีเมืองที่ชื่อว่า ‘ฮิโตโตะ’ ในเมืองนาคาโมโต้ จังหวัดอิชิคาว่าอีกด้วย แม้ผมจะเคยไปนาคาโมโต้หลายครั้ง แต่ก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าครอบครัวของคุณฮิโตโตะมีความเกี่ยวข้องกับเมืองนี้จริง ๆ ผมคิดว่าผมสามารถนำประสบการณ์ของตนเองสมัยทำ Noto no Hanayome ในปี 2008 มาใช้ในหนังเรื่องนี้ได้
___ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2015 เราไปตามรอยเรื่องราวของคุณฮิโตโตะ ในนาคาโมโต้ เราได้รับความช่วยเหลือจากหลายๆ คนรวมทั้งท่านผู้ว่าซูกิโมโต้ แล้วยังได้ทุนจากโปรเจ็คงานครบรอบ 10 ปีของเมืองด้วย (Nakanoto 10th Anniversary Project) ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตอนผมกับผู้อำนวยการสร้างบินไปไต้หวัน ด้วยการช่วยเหลือของคุณทาเอะ ฮิโตโตะ เราเลยได้รับการช่วยเหลือจากคนในชุมชนและคนในวงการหนังอีกเยอะมากด้วยครับ
___วันหนึ่งขณะอยู่ในสตูดิโอถ่ายหนังชื่อ Modern Film เรากำลังทดลองถ่ายและตัดต่อหนังอยู่ จู่ ๆ เราก็ค้นเจอฟุตเตจที่ไม่รู้ว่าเป็นของหนังเรื่องอะไร มันมีทั้งหนังและซีรี่ส์ รวมถึงภาพภูมิประเทศด้วย แต่ถึงจะไม่รู้บริบทของภาพเหล่านี้ ผมยังสัมผัสได้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘การเดินทางของกาลเวลา’ แบบเดียวกับในหนังไต้หวันที่ผมเคยดู ผมดูฟุตเตจทั้งหมดแล้วจู่ๆ ผมก็สามารถไขปริศนาลึกลับที่ติดอยู่ในหัวผมมานานแสนนาน มันเป็นภาพที่บทกลอนภาษาจีนทับซ้อนกับภาพของชายคนหนึ่งที่อยู่ในท่าเรือ โอ้โห คนไต้หวันช่างมีอารมณ์สุนทรีย์อยู่ในสายเลือด พวกเขาเข้าใจสัจธรรมของกาลเวลา และยังเห็นแจ้งถึงชีวิต มีหนังไต้หวันเรื่องเยี่ยมอย่าง Yuyu ซึ่งสร้างมาจากบทกวีคลาสสิคของจีนซึ่งเต็มไปด้วยแนวคิดปรัชญาด้วย ผมจึงตัดสินใจว่าอยากสร้างหนังเรื่องนี้โดยดึงจุดนั้นมาเป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้บ้าง
ผมขอคำแนะนำจากเพื่อนผม คุณ O จากสถาบันอาหารสึจิ (Tsuji Culinary Institute) เขาช่วยผมไว้ได้เยอะเลยครับในการทำหนังเรื่องนี้ เขาเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจีนมาให้ และเราก็ร่วมมือการปรุงอาหารจากสูตรของครอบครัวฮิโตโตะขึ้นมา
= ขั้นตอนนี้ถือว่าท้าทายมากทีเดียวเพราะในสูตรระบุถึงวัตถุดิบที่หากไม่มีอยู่ในญี่ปุ่น ก็เป็นของที่แพงเอามากๆ คุณ S จากสถาบันอาหารสึจิ มอบรายชื่อวัตถุดิบให้ผมแล้วบอกให้ไปหาที่ไต้หวัน ผมเลยต้องบินไปตะลุยตลาดและซูเปอร์มาร์เก็ตกับทีมงานซึ่งเป็นคนท้องถิ่น ถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่ามาก ๆ ครับ และมันแสดงให้เห็นถึงความหลงใหลอันแรงกล้าของชาวไต้หวันที่มีต่ออาหารเหล่านี้
_____เราเริ่มถ่ายทำหนังในวันที่ 21 มกราคม 2016 ที่เมืองโชฟุ ในโตเกียว ช่วงนั้นมีแดดจ้าทีเดียว ทีมงานในกองถ่ายส่วนใหญ่แล้วอายุน้อยกว่าผมแต่เราก็ร่วมทีมกันได้เข้าขาดี และสามารถถ่ายทำทุกอย่างได้เป็นระเบียบเรียบร้อย พอเสร็จจากโตเกียว ผมเดินทางไปเมืองไถหนัน ที่ไต้หวันต่อเลย ผมเคยมาบ่อยจึงรู้ว่าที่นี่มีช่วงฤดูร้อนยาวนาน ในหนังสือคู่มือระบุว่า เดือนมกราคมนั้นจะมีบรรยากาศใกล้เคียงกับช่วงฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่น แต่ว่าตอนนั้นจู่ๆ อากาศหนาวก็เข้าปกคลุมไต้หวันเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี แม้กระทั่งที่ไถหนันก็มีอุณหภูมิอยู่ที่ 0 องศาเซลเซียส แถมโรงแรมที่นี่ก็ไม่มีเครื่องทำความร้อน ทีมงานทุกคนจึงต้องอดทนฟันฝ่าคืนอันยาวนานไปให้ได้
_____วันที่ 27 มกราคม เราเดินทางจากไถหนันกลับมาคานาซาว่าที่ญี่ปุ่น พอทีมงานไปถึงคานาซาว่าแล้วอุทานออกมาเลยว่า “มันโคตรอุ่นเลย” แล้วตอนเราไปที่นาคาโนโต้ ภารกิจแรกที่เราต้องทำคือเก็บภาพหิมะ ก่อนที่เราจะลงเอยด้วยการได้ภาพของเมืองที่สวยงามมาก ๆ ครับ
_____วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เรากลับไปที่โชฟุอีกครั้ง เราเริ่มถ่ายฉากครัวของบ้านฮิโตโตะ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ ทีมงานจากสถาบันอาหารสึจิได้ทีแผลงอิทธิฤทธิ์ พวกเขาจัดสรรพื้นที่ทำครัวเพื่อทำอาหารหลากหลายแบบให้กับหนัง พวกเขาขะมักเขม้นกับการทำขาหมู เกี๊ยว หัวไชเท้า และอื่น ๆ อีกมากมาย มีฉากนึงที่ต้องทำซุปอกไก่ เมื่อถ่ายเสร็จแล้ว คุณคิมูระของสถาบันสึจิก็ไปซื้อหมี่เตี๊ยวเพื่อเอามารับประทานคู่กับซุป ทุกวันนี้ผมยังไม่ลืมรสชาติของอาหารมื้อนั้นเลย
= ในวันสุดท้ายของการถ่ายทำ เราต้องใช้เกี๊ยวในปริมาณที่เยอะมาก ทีมกล้องและทีมแสงทำงานได้ดีมาก พวกเขาสามารถขับเน้นให้เห็นภาพของไอร้อนออกมาจากเกี๊ยวได้งดงามมาก
= การถ่ายทำเป็นไปอย่างยาวนานจนถึงวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ พวกเราฉลองปิดกล้องด้วยการซดเบียร์พร้อมกับกินเกี๊ยวเป็นกับแกล้มจนอิ่มหนำทีเดียว
ในเมื่อตอนนี้หนังก็ถ่ายทำเสร็จสิ้นแล้ว ผมจะสามารถแสดงให้คนดูได้เห็นถึง ‘ช่วงเวลาอันละเมียดละไมของชีวิต’ ได้ไหม? อันนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนดูในการพิสูจน์แล้วล่ะครับ...
ลิงค์ตัวอย่าง SUB THAI
Credit : Mongkol Cinema