JJNY : นพดล แจง กม.ชี้ชัดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่เสียภาษี แถมเงิน 4.6 หมื่นล้านก็ถูดยึดแล้ว

“นพดล” ชี้ ประเด็นปมขายหุ้นชินคอร์ปฯประเด็นในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องอายุความ แต่หลักอยู่ที่การขายหุ้นทำผ่านตลาดหลักทรัพย์ ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ตามที่ผู้นำในรัฐบาลให้สัมภาษณ์ว่าจะมีการประเมินเรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เกี่ยวกับการขายหุ้นชิน คอร์ป ซึ่งคงหมายถึงหุ้นจำนวน 329.2 ล้านหุ้น ที่รวมขายให้แก่กลุ่มเทมาเส็กในปี 2549 นั้น ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการประเมินภาษีจากเงินได้ส่วนใด จากธุรกรรมตอนใด และจะอาศัยกฎหมายข้อใด ซึ่งในเบื้องต้นตนเห็นว่า

1.เคยมีคำพิพากษาซึ่งสรุปความตอนหนึ่งได้ว่าหุ้นในชินคอร์ปจำนวนดังกล่าวที่รวมขายให้กลุ่มเทมาเส็กในปี 2549 นั้น ดร.ทักษิณ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ บุคคลอื่นๆเป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทน ไม่ใช่เจ้าของหุ้น
2.การขายหุ้นดังกล่าวให้กลุ่มเทมาเส็กได้ขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่ได้ขายนอกตลาด
3.ตามกฎหมายไทย เงินได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นได้รับยกเว้นภาษีตามกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ข้อ 23 ที่ออกตามประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าวนี้ใช้มานานแล้ว และใช้บังคับเป็นการทั่วไปกับทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นการขายหุ้นชินคอร์ปผ่านตลาดหลักทรัพย์ก็อยู่ภายใต้กฎกระทรวงฉบับเดียวกันนี้ ตราบใดที่ไม่มีการแก้ไข และ 4.นอกจากเงินได้จากการขายหุ้นในตลาดจะได้รับยกเว้นภาษีแล้ว เงินได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปและเงินปันผลจากหุ้นประมาณ 46,000 ล้านบาทถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินไปตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว

นายนพดล กล่าวต่อว่า การขายหุ้นชินคอร์ปเกิดขึ้นมาสิบปีแล้ว ผ่านมาหลายรัฐบาล แม้แต่ท่านรองนายกรัฐมนตรีก็ยังให้สัมภาษณ์ในสื่อต่างๆว่า เรื่องนี้ยังไม่แน่ชัดว่าใครผิดใครถูก เพราะกรมสรรพากรระบุอาจดำเนินการไม่ได้ ตนว่าประเด็นในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องอายุความว่าจะขาดหรือไม่ แต่ประเด็นหลักคือการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้รับยกเว้นภาษีตามกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าจะมีการประเมินภาษีบนพื้นฐานข้อกฎหมายใด กรมสรรพากรซึ่งเป็นหน่วยงานจัดเก็บภาษีของประเทศเป็นผู้มีความรู้เรื่องกฎหมายภาษีเป็นอย่างดี ตนหวังว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและดำเนินการเรื่องนี้ตามกฎหมายและหลักนิติธรรม และยึดหลักความเท่าเทียมเสมอภาคกับทุกคน เชื่อว่า ถ้าทุกฝ่ายทำเช่นนั้น ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับการค้าและการลงทุนในประเทศได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่