ยิ่งคุยกับคนขับ Uber เท่าไร ยิ่งเห็นเลยว่าทำไมคนถึงอยากใช้ Uber มากขึ้นเท่านั้น ตัวผมเองยังอยากไปขับ Uber เลย ถ้าผมไม่ใช่คนประเภทไม่ชอบนั่งอยู่ในรถนานๆ เพราะ Uber มันเหมือนออกแบบมาให้ตรงกับไลฟ์สไตล์วิธีคิด วิธีการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่
วิธีคิดเดิม แบบกรมขนส่ง ซึ่งก็ยังคิดแบบนี้อยู่นะ คือคิดว่าการบริการที่ดีได้เกิดจากการมีคนขับปฏิบัติได้ตามกฎระเบียบที่ตัวเองวางไว้ คือ คิดว่าทุกอย่างจะดี ถ้าคนขับแท็กซี่ปฏิบัติตามอยู่ในกรอบที่ตัวเองกำหนดหรือกำกับ ซึ่งกฎระเบียบทุกอย่างที่เคยออกมาไม่เคยใช้ได้ผลในการปฏิบัติจริง มันก็คงเหมือนหลายๆ อย่างในประเทศนี้ยิ่งเพิ่มโทษ ยิ่งออกกฎระเบียบมาเยอะแยะ ก็ไม่ได้เคยช่วยแก้ปัญหาได้ ยาเสพติดก็ยังอยู่ ทุจริตก็ไม่ลดลง
แต่ Uber คิดต่างออกไป Uber ควบคุมคุณภาพและการบริการโดยหัวใจหลัก วัดจากความพึงพอใจผู้บริโภคเป็นเกณฑ์ ถ้าผู้โดยสารไม่ Happy Uber
Uber ก็อยู่ไม่ได้!!!
ความสัมพันธ์ของคนขับ กับ Uber ถ้าเอามาเปรียบเทียบบางทีก็เหมือนๆ กับ Friend with Benefit ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรเยอะแยะ คือมีมันมีอยู่นะ แต่สุดท้ายวัดกันที่ความพึงพอใจมากกว่า
แต่ผมก็ไม่บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างกรมขนส่งกับคนขับแท็กซี่ เป็นเหมือนคนเป็นแฟนกันซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งออกกฎระเบียบนู้นนี่มาให้ปฏิบัติตามกฎอะไรมากมาย ห้ามนู้นห้ามนี่อะไรเยอะแยะ ห้ามกลับบ้านหลังกี่ทุ่ม คอยโทรเช็คทุกๆ ชั่วโมง คอยต้องเช็คโทรศัพท์มือถือ
เพราะความสัมพันธ์ของคนขับแท็กซี่กับกรมขนส่งผมว่ามันเหมือนคุณครูกับลูกศิษย์มากกว่า แต่กรมขนส่งเป็นเหมือนคุณครู อาจารย์ที่ถือไม้เรียวตลอดเวลา (ซึ่งบางทีจะตีไม่ตีบางครั้งไม่ได้อยู่ที่ทำผิดไม่ผิด)
ซึ่งคุณครูที่ใช้ไม้เรียวสำหรับผม คือคุณครูที่ไม่มีจิตวิทยาในการสอนหนังสือ
ถ้าถามว่าคนมาขับ Uber คือคนประเภทไหน ตอบได้ง่าย 2 ประเภท 1.คนขับที่มีงานประจำอยู่แล้วแต่อยากได้รายได้เสริม อันนี้ตรง Concept คนยุคใหม่ แน่นอนคนประเภทนี้คงไม่อยากต้องไปขึ้นลงทะเบียนอะไรยุ่งยากเหมือนรถสาธารณะทั่วไปแน่
2.คนที่มาขับเป็นอาชีพหลัก ซึ่งกลุ่มนี้คือคนที่เคยทำงานประจำ และอยากทำอาชีพอิสระ หรือ รายได้เพิ่มขึ้น เพราะถ้าขับทำรอบได้เยอะๆ เผลอๆ จะได้รายได้สูงกว่างานประจำเดิมเสียอีก
ส่วนผู้โดยสาร Uber คือใคร คำตอบง่ายๆ คือผู้คนที่ไม่พึงพอใจการใช้บริการแท็กซี่ที่เป็นอยู่
Uber ถ้าไม่มองเพียวๆ ว่าก็คือแอพพลิเคชั่นหนึ่ง เป็นตัวกลางระหว่างคนขับรถ กับผู้โดยสาร ถ้ามองให้ลึกลงไป มันก็คือ แอพพลิเคชั่นที่ตอบสนองความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย โดยมีแอพพลิเคชั่นมาเป็นฉากกั้น ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองฝั่งที่ใช้ชื่อว่าผู้โดยสาร กับ คนขับ
ดังนั้นคำถามที่ว่าเราจะควบคุมคนขับแท็กซี่อย่างไร หรือเราจะเอาอะไรไปสู้กับ Uber หรือทำอย่างไรให้เป็นเหมือน Uber
บางทีอาจจะเริ่มจากตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราจะเลือกแนวทางไหน ระหว่างเราจะเป็นครูที่มีจิตวิทยาในการสอนหนังสือ หรือ คุณครูที่ถือไม้เรียว
เพราะถ้าเลือกคุณครูที่มีจิตวิทยาในการสอนมันยากหน่อยนะ เพราะ เก่ง ฉลาด อย่างเดียวไม่พอ ต้องเข้าใจ เข้าถึงด้วย และที่สำคัญกว่านั้น คือ ต้อง ‘กล้าหาญ’
เพราะมันอาจหมายถึงว่าเราต้องทำอะไรในที่ไม่เคยทำ หรือเดินในเส้นทางที่ไม่เคยเดิน
รวมถึงทุบทำลายสิ่งที่ตัวเองเคยเชื่อว่าดี
คิดอย่างไรกับ Uber กับ Grab Car ที่ถูกเรียกว่า ผิดกฎหมาย
วิธีคิดเดิม แบบกรมขนส่ง ซึ่งก็ยังคิดแบบนี้อยู่นะ คือคิดว่าการบริการที่ดีได้เกิดจากการมีคนขับปฏิบัติได้ตามกฎระเบียบที่ตัวเองวางไว้ คือ คิดว่าทุกอย่างจะดี ถ้าคนขับแท็กซี่ปฏิบัติตามอยู่ในกรอบที่ตัวเองกำหนดหรือกำกับ ซึ่งกฎระเบียบทุกอย่างที่เคยออกมาไม่เคยใช้ได้ผลในการปฏิบัติจริง มันก็คงเหมือนหลายๆ อย่างในประเทศนี้ยิ่งเพิ่มโทษ ยิ่งออกกฎระเบียบมาเยอะแยะ ก็ไม่ได้เคยช่วยแก้ปัญหาได้ ยาเสพติดก็ยังอยู่ ทุจริตก็ไม่ลดลง
แต่ Uber คิดต่างออกไป Uber ควบคุมคุณภาพและการบริการโดยหัวใจหลัก วัดจากความพึงพอใจผู้บริโภคเป็นเกณฑ์ ถ้าผู้โดยสารไม่ Happy Uber
Uber ก็อยู่ไม่ได้!!!
ความสัมพันธ์ของคนขับ กับ Uber ถ้าเอามาเปรียบเทียบบางทีก็เหมือนๆ กับ Friend with Benefit ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรเยอะแยะ คือมีมันมีอยู่นะ แต่สุดท้ายวัดกันที่ความพึงพอใจมากกว่า
แต่ผมก็ไม่บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างกรมขนส่งกับคนขับแท็กซี่ เป็นเหมือนคนเป็นแฟนกันซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งออกกฎระเบียบนู้นนี่มาให้ปฏิบัติตามกฎอะไรมากมาย ห้ามนู้นห้ามนี่อะไรเยอะแยะ ห้ามกลับบ้านหลังกี่ทุ่ม คอยโทรเช็คทุกๆ ชั่วโมง คอยต้องเช็คโทรศัพท์มือถือ
เพราะความสัมพันธ์ของคนขับแท็กซี่กับกรมขนส่งผมว่ามันเหมือนคุณครูกับลูกศิษย์มากกว่า แต่กรมขนส่งเป็นเหมือนคุณครู อาจารย์ที่ถือไม้เรียวตลอดเวลา (ซึ่งบางทีจะตีไม่ตีบางครั้งไม่ได้อยู่ที่ทำผิดไม่ผิด)
ซึ่งคุณครูที่ใช้ไม้เรียวสำหรับผม คือคุณครูที่ไม่มีจิตวิทยาในการสอนหนังสือ
ถ้าถามว่าคนมาขับ Uber คือคนประเภทไหน ตอบได้ง่าย 2 ประเภท 1.คนขับที่มีงานประจำอยู่แล้วแต่อยากได้รายได้เสริม อันนี้ตรง Concept คนยุคใหม่ แน่นอนคนประเภทนี้คงไม่อยากต้องไปขึ้นลงทะเบียนอะไรยุ่งยากเหมือนรถสาธารณะทั่วไปแน่
2.คนที่มาขับเป็นอาชีพหลัก ซึ่งกลุ่มนี้คือคนที่เคยทำงานประจำ และอยากทำอาชีพอิสระ หรือ รายได้เพิ่มขึ้น เพราะถ้าขับทำรอบได้เยอะๆ เผลอๆ จะได้รายได้สูงกว่างานประจำเดิมเสียอีก
ส่วนผู้โดยสาร Uber คือใคร คำตอบง่ายๆ คือผู้คนที่ไม่พึงพอใจการใช้บริการแท็กซี่ที่เป็นอยู่
Uber ถ้าไม่มองเพียวๆ ว่าก็คือแอพพลิเคชั่นหนึ่ง เป็นตัวกลางระหว่างคนขับรถ กับผู้โดยสาร ถ้ามองให้ลึกลงไป มันก็คือ แอพพลิเคชั่นที่ตอบสนองความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย โดยมีแอพพลิเคชั่นมาเป็นฉากกั้น ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองฝั่งที่ใช้ชื่อว่าผู้โดยสาร กับ คนขับ
ดังนั้นคำถามที่ว่าเราจะควบคุมคนขับแท็กซี่อย่างไร หรือเราจะเอาอะไรไปสู้กับ Uber หรือทำอย่างไรให้เป็นเหมือน Uber
บางทีอาจจะเริ่มจากตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราจะเลือกแนวทางไหน ระหว่างเราจะเป็นครูที่มีจิตวิทยาในการสอนหนังสือ หรือ คุณครูที่ถือไม้เรียว
เพราะถ้าเลือกคุณครูที่มีจิตวิทยาในการสอนมันยากหน่อยนะ เพราะ เก่ง ฉลาด อย่างเดียวไม่พอ ต้องเข้าใจ เข้าถึงด้วย และที่สำคัญกว่านั้น คือ ต้อง ‘กล้าหาญ’
เพราะมันอาจหมายถึงว่าเราต้องทำอะไรในที่ไม่เคยทำ หรือเดินในเส้นทางที่ไม่เคยเดิน
รวมถึงทุบทำลายสิ่งที่ตัวเองเคยเชื่อว่าดี