สามก๊กภาคปลาย
๒.ผู้พิชิตที่แพ้ตนเอง
"เล่าเซี่ยงชุน"
เมื่อ พระเจ้าไต้งุยฮ่องเต้ หรือ โจยอย ราชบุตรของ พระเจ้าโจผี หลานปู่ของ โจโฉ ขึ้นครองราชบัลลังก์สืบราชวงศ์วุยเป็นองค์ ที่ ๒ และจัดการพระศพพระเจ้า โจผีเรียบร้อยแล้ว ก็ปรารภว่า เมืองเสเหลียงเป็นเมืองที่อยู่ติดกับเสฉวน ควรจะให้ผู้มีสติปัญญากล้าหาญไปรักษาไว้
เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายจ๊กก๊ก ยกทัพจากเสฉวนเข้ามา รุกรานได้ สุมาอี้ จึงขออาสาไปรักษาไว้เอง พระเจ้าโจยอยก็ไม่ขัดข้อง
ต่อมาขงเบ้งมหาอุปราชของจ๊กก๊ก ทำอุบายเล่ห์กลให้พระเจ้าโจยอยเชื่อว่าสุมาอี้จะเป็นขบถ จึงถอดออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองเสเหลียง เมื่อขงเบ้งยกทัพมารุกรานวุยก๊ก ก็ไม่มีมีทัพที่จะออกไปสู้รบป้องกันเมืองได้ พระเจ้าโจยอยจึงได้ตั้ง สุมาอี้ให้กลับมาเป็นแม่ทัพอีก
ขงเบ้งได้ยกทัพมาตีวุยก๊กถึงหกครั้งแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะสุมาอี้ หรือผ่านด่านหน้าเขากิสานมาได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว จนสิ้นบุญป่วยตายไปเอง
หลังจากที่ ขงเบ้ง มหาอุปราชของจ๊กก๊ก ต้องตายลงเมื่อเดือนสิบแรมแปดค่ำ พ.ศ.๗๗๗ แล้ว พระเจ้าโจยอย แห่งวุยก๊ก ก็ทรงสำราญพระทัยเพราะไม่มีศัตรูมารบกวนเป็นเวลาหลายปี จึงตั้งให้ สุมาอี้ เป็นมหาอุปราชและไปว่าราชการอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง
ส่วนพระองค์เองกลับไปประทับอยู่ที่เมืองฮูโต๋ แล้วก็ให้ปรับปรุงบ้านเมือง และ
ปราสาทราชวังเป็นการใหญ่ โดยใช้นายช่างถึงสามหมื่นและลูกมืออีกสามสิบหมื่น ในการซ่อมแซมค่ายคูประตูหอรบ กับให้สร้างปราสาทสูงยี่สิบวาที่เมืองลกเอี๋ยงขึ้นใหม่
ขุนนางเก่าแก่ชื่อ ตังสิม เห็นว่ามัวเอาคนตั้งมากมายมาทำงานก่อสร้างเสียเวลานาน ถ้าข้าศึกยกทัพมารุกราน ก็จะไม่มีทหารออกไปสู้รบ สมควรจะบำรุงไพร่บ้านพลเมือง และฝึกซ้อมทหารไว้ให้พร้อมรบจะดีกว่า
พระเจ้าโจยอยก็โกรธ แต่เมื่อมีผู้ยุยงให้ประหารตังสิมเสีย พระเจ้าโจยอยก็ไม่หลงเชื่อ เพราะเห็นว่าเป็นคนเก่ามีความชอบมามาก ถึงกระนั้นก็ให้ถอดออกเสียจากตำแหน่ง แล้วประกาศว่าต่อไปผู้ใดขัดขวางในการสร้างเมือง ก็จะตัดศีรษะเสีย
ยังมีขุนนางอีกคนหนึ่งชื่อ เตียวบ้อ สงสารไพร่พลที่มีความลำบากยากเข็ญในการก่อสร้างอันใหญ่โต ยอมเสี่ยงคัดค้านดู ก็เลยโดนประหารชีวิตไปตามคำปกาศิต
พระเจ้าโจยอยกลัวว่าจะก่อสร้างไม่เสร็จ จึงเสด็จมาประทับที่เมืองลกเอี๋ยง แล้วหาตัว ม้ากิ้น ผู้รับผิดชอบควบคุมการก่อสร้างมาถามว่าจะให้สร้างปราสาทสูงกว่านี้ได้หรือไม่ ม้ากิ้นก็ทูลว่าสมัย พระเจ้าฮั่นบู๊เต้ ก็มีการสร้างปราสาทสูงถึงสามสิบวา และมีเสาสูงเลยหลังคาขึ้นไปอีก มีรูปคนทำด้วยทองแดง ชูถาดรองน้ำค้างกลางหาว อยู่ที่เมืองเตียงฮัน พระเจ้าโจยอยจึงสั่งให้ม้ากิ้นดำเนินการรื้อเสาและรูปปั้นนั้น เอามาไว้ที่เมือง ลกเอี๋ยง
ม้ากิ้นก็คุมไพร่พลไปตามรับสั่ง แต่ขณะที่กำลังชักรอกเอารูปทองแดงนั้นลงจากปลายเสา ก็บังเอิญมีพายุใหญ่พัดหนัก ทั้งปราสาทและเสาทองแดงก็หักพังลงมาทับทหารลูกมือตายไปประมาณพันเศษ ม้ากิ้นก็เอารูปปั้นใส่เลื่อน มาถวายพระเจ้าโจยอย และทูลความตามที่เกิดขึ้น พระเจ้าโจยอยก็ให้ชักลากเสาที่ล้มนั้นมาด้วย แม้ว่าจะหนักถึง ร้อยหมื่นชั่งก็ตาม
ม้ากิ้นก็ใช้ความพยายาม ลากเอามาตั้งที่เมืองลกเอี๋ยงจนได้ พระเจ้าโจยอยก็ให้จัดทำเป็นสวนใหญ่ ประดับด้วยรูปปั้นที่เอามาจากเมืองเตียงฮัน และที่ได้จัดทำขึ้นใหม่กับปลูกต้นไม้ดอกไม้ผลและเลี้ยงสัตว์ให้เหมือนป่า สำหรับประพาสให้สบายพระทัย และตำหนักเล็กตำหนักน้อยที่สร้างไว้ในสวนนั้น ก็ให้เอาหญิงรูปงามมาอยู่เป็นอันมาก
พระเจ้าโจยอยมีมเหสีชื่อ นางมอซือ อยู่ด้วยกันมา ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ตอนหลังมีสนมอีกคนหนึ่งชื่อ นางโกยฮุยหยิน พระเจ้าโจยอยก็โปรดมากชวนกันไปอยู่ในสวนที่สร้างใหม่ จนมิได้ออกว่าราชการถึงเดือนเศษ นางโกยฮุยหยินถามว่าทำไมไม่เชิญนางมอซือมาเสพสุราชมสวนด้วย
พระเจ้าโจยอยก็ตอบว่า เห็นหน้านางมอซือแล้วคงเสพสุราไม่ลงคอ
วันนั้นนางมอซือเป็นห่วงว่า พระเจ้าโจยอยไม่ออกว่าราชการนานแล้ว จึงพานางสาวใช้ประมาณสิบสองคน ไปเยี่ยมที่ตำหนักซุยฮัวเหลา แต่พระเจ้าโจยอยไปอยู่ในสวน มีนางบำเรอขับร้องถวาย นางมอซือก็กลับไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ
ครั้นวันรุ่งขึ้น นางมอซือเดินอยู่ในวัง บังเอิญพบพระเจ้าโจยอยจึงเอ่ยสัพยอกว่า
"...เวลาวานนี้พระองค์เสด็จไปประพาสสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าเห็นจะมีความสุขสบายหาที่สุดมิได้...."
เกิดไปจี้จุดใจดำเข้าพระเจ้าโจยอยก็โกรธจัด ให้จับตัวนางสาวใช้ที่อยู่ในสวนไปฆ่าเสีย ฐานปากเสียไปบอกนางมอซือ เพราะได้กำชับไว้แล้ว นางมอซือเห็นเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาก็ตกใจรีบกลับที่อยู่
แต่พระเจ้าโจยอยยังไม่หายแค้น ให้ขันทีเอากระบี่และสุราผสมยาพิษกับแพรดำ ไปให้นางมอซือพร้อมกับสั่งว่า นางมอซือมีโทษผิดใหญ่หลวงนัก ให้เลือกลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่งตามชอบใจ ขันทีก็ไปจัดการตามประสงค์ นางมอซือก็ถึงแก่ความตายไป พระเจ้าโจยอยจึงยกนางโกยฮุยหยิน ขึ้นเป็นมเหสีเอกแทน
อีกไม่นานก็มีข่าวว่า กองซุนเอี๋ยน บุตร ก๋งซุน เจ้าเมืองเสียวตั๋งเป็นขบถ ยกตนเองเป็นเจ้าเอียนอ๋อง แล้วก็สร้างปราสาทเวียงวัง ค่ายคูประตูหอรบไว้เป็นมั่นคง และแต่งตั้งขุนนางน้อยใหญ่มากมาย กับรวบรวมทหารประมาณร้อยหมื่น จะยกมาตีเมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าโจยอยจึงปรึกษาสุมาอี้ว่าจะทำประการใด สุมาอี้ก็อาสาขอทหารสี่หมื่น จะยกไปปราบปรามกองซุนเอี๋ยนให้จงได้
พระเจ้าโจยอยก็หยั่งเสียงสุมาอี้ว่า กองซุนเอี๋ยนจะคิดอ่านรบพุ่งโดยวิธีการใด สุมาอี้จึงทูลว่า
"....แม้กองซุนเอี๋ยนทิ้งเมืองเสียหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ในป่า เห็นจะคิดการขัดสนด้วยไม่เจนทาง ข้อนี้เห็นว่ากองซุนเอี๋ยนคิดการศึกเป็นเอก ข้อหนึ่งถ้า กองซุนเอี๋ยนยกออกมาตั้งค่ายอยู่หน้าเมืองเสียวตั๋งนั้น เป็นความคิดโท ข้อหนึ่งแม้กองซุนเอี๋ยน ยกมาตั้งอยู่ ณ เมืองเซียงเป๋งเป็นแดนต่อแดนนั้น เป็นความคิดตรี เห็นจะจับกองซุนเอี๋ยนได้เป็น มั่นคง...."
พระเจ้าโจยอยก็ถามต่อไปว่า จะยกไปช้าเร็วสักเท่าใด สุมาอี้ก็ทูลว่า เส้นทางที่จะไปเมืองเสียวตั๋งนั้น ไกลถึงสิบหมื่นเส้นและกันดารนัก คงจะต้องเดินทางสักร้อยวัน ทำสงครามสักร้อยวัน เดินทางกลับอีกร้อยวัน และทั้งขาไปขากลับต้องหยุดพักสัก หกสิบวัน ครบหนึ่งปีพอดี
พระเจ้าโจยอยก็เป็นห่วงว่า เมื่อไปแล้วเผื่อเมืองเสฉวนหรือกังตั๋งยกมาจะทำอย่างไร สุมาอี้ก็ทูลว่าได้วางแผนรักษาเมืองลกเอี๋ยงไว้แล้วไม่ต้องวิตก แต่ประการใด พระเจ้า โจยอยก็ค่อยสบายพระทัยขึ้น
เมื่อสุมาอี้ยกทัพไปนั้น กองซุนเอี๋ยนยกกำลังมาตั้งรับ ที่เมืองเซียงเป๋ง สุมาอี้ก็เข้าล้อมเมืองไว้ แม้จะเป็นฤดูฝนมีฝนตกหนักทั้งกลางวันกลางคืนถึงเดือนเศษ น้ำท่วมแผ่นดินประมาณสองศอกเศษ ทั้งทหารและม้าในกองทัพของสุมาอี้ ได้รับความลำบากมาก ก็ไม่ยอยถอย ใครชักชวนให้ถอยก็ประหารชีวิตเสีย ส่วนเสบียงอาหารนั้นไม่ขาดแคลน เพราะได้รับจากเมืองลกเอี๋ยง แบบสะเทินน้ำสะเทินบกตามเวลา ตรงกันข้ามกับชาวเมือง ที่อดอยากอัตคัดอาหารการกิน จึงคิดจะขบถตัดศรีษะกองซุนเอี๋ยนมาให้ สุมาอี้
กองซุนเอี๋ยนรู้ตัวว่าขืนสู้ต่อไปก็ไม่รอด จึงให้ อองเกี๋ยน กับ ลิวฮู มาคำนับสุมาอี้เพื่อขออ่อนน้อม สุมาอี้ก็ให้เอาไปฆ่าเสีย กองซุนเอี๋ยนจึงให้ โอยเอี๋ยน ออกมาคำนับสุมาอี้อีก แจ้งว่าตนเองกับ กองซุนสิว บุตรชาย จะยอมออกมาอ่อนน้อมในวันรุ่งขึ้น สุมาอี้ก็ข่มขู่โอยเอี๋ยนว่า
".....อันธรรมดาการสงครามนี้มีอยู่ห้าประการ ประการ หนึ่งเห็นว่าจะต้านทานได้ ก็ให้คิดออกมารบพุ่งจงสามารถ ประการหนึ่งถ้าเห็นสู้มิได้ก็อย่าออกมารบพุ่ง ให้รักษาเมืองไว้จงมั่นคง ประการหนึ่งถ้ารักษาเมืองไว้ไม่ได้ ให้หนี เอาตัวรอด ประการหนึ่งแม้ไม่หนีก็ ให้ออกมาอ่อนน้อมโดยดีจะมีชีวิตสืบไป ประการหนึ่ง ถ้าไม่ออกมาอ่อนน้อมโดยดี ก็ควรที่จะตาย ....."
โอยเอี๋ยนตกใจกลัวจนตัวสั่น รีบกลับมาบอกกองซุนเอี๋ยนทุกประการ
ในคืนนั้นกองซุนเอี๋ยนจึงพากองซุนสิวกับทหารคนสนิทพันหนึ่ง เปิดประตูด้านทิศใต้ หนีไปทางทิศอาคเนย์ได้ประมาณร้อยเส้นก็เจอสุมาอี้กับ สุมาสู และ สุมาเจียว บุตรชายทั้งสองคนดักอยู่ ไม่สามารถตีฝ่าออกไปได้ จึงยอมลงจากหลังม้าคำนับสุมาอี้ แต่สุมาอี้ก็ให้เอาตัวไปฆ่าเสียทั้งสองคนพ่อลูก แล้วยกเข้าเมืองไปจับบุตรภรรยาพรรคพวก กองซุนเอี๋ยน ฆ่าเสียอีกประมาณเจ็ดสิบคนเศษ แล้วจึงยกทัพกลับ
ข้างพระเจ้าโจยอยอยุ่เมืองฮูโต๋ ก็ประชวรหนัก เพ้อเห็นนางมอซือกับ นางสนมที่ถูกฆ่าตายมาร้องทวงชีวิต ก็รู้ตัวว่าไม่รอดแล้วจึงอยากจะให้ โจฮอง ราชบุตร อายุแปดขวบขึ้นครองราชสมบัติ และขอให้ โจฮุย บุตรของ พระเจ้าโจผี ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ช่วยว่าราชการไปก่อนจนกว่าโจฮองจะเจริญอายุขึ้น แต่โจฮุยไม่ยอมรับ อ้างว่าสติปัญญาน้อย ไม่สามารถจะบริหารราชการแผ่นดินได้ ขุนนางก็เสนอให้ โจซอง บุตรของ โจจิ๋น ซึ่งได้ตายไปตั้งแต่คราวทำศึกกับขงเบ้งครั้งที่สี่ ได้เป็นแทน พระเจ้าโจยอยก็เห็นชอบด้วย
พอดีสุมาอี้กลับมาถึง พระเจ้าโจยอยก็ฝากฝังโจฮองไว้กับสุมาอี้ โดยขอร้องว่า
"......บัดนี้เราจะให้โจฮองครองราชสมบัติ ให้โจซองผู้เป็นพระราชวงศ์ ช่วยประคองว่าราชการไปกว่าอายุโจฮองจะจำเริญขึ้น ให้ท่านกับราชวงศ์และขุนนางทั้งปวง ช่วยทำนุบำรุงโจฮองสืบไป...."
แล้วบอกกับโจฮองว่า
"......บิดานี้กับสุมาอี้ก็เหมือนกันและบัดนี้บิดาก็จะถึงแก่ความตายแล้ว เจ้าจงฝากตัวคำนับสุมาอี้เหมือนบิดาด้วยเถิด....."
แล้วก็ส่งโจฮองให้สุมาอี้อุ้มไว้ โจฮองก็กอดคอสุมาอี้ไว้แน่น
พระเจ้าโจยอยหรือ พระเจ้าไต้งุยฮ่องเต้ ซึ่งเสวยราชสมบัติมาได้สิบสามปีและสามารถพิชิต ขงเบ้ง มหาอุปราชผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร ของ พระเจ้าเล่าเสี้ยน แห่งจ๊กก๊กลงได้อย่างไม่คาดฝัน
ก็ถึงกาลสิ้นสังขาร เพราะความหลงระเริงในกองกิเลสตัณหา จนสร้างบาปให้ฝังติดตรึงตราอยู่ในใจของตน ตราบนาทีสุดท้ายของชีวิต ลงแต่เพียงแค่นี้
ปล่อยให้ทายาทอายุแปดขวบ อยู่ในกำมือของมหาอุปราช อย่างที่ไม่อาจจะคาดเดาอนาคตได้.
##########
ผู้พิชิตที่แพ้ตนเอง ๑๕ มี.ค.๖๐
๒.ผู้พิชิตที่แพ้ตนเอง
"เล่าเซี่ยงชุน"
เมื่อ พระเจ้าไต้งุยฮ่องเต้ หรือ โจยอย ราชบุตรของ พระเจ้าโจผี หลานปู่ของ โจโฉ ขึ้นครองราชบัลลังก์สืบราชวงศ์วุยเป็นองค์ ที่ ๒ และจัดการพระศพพระเจ้า โจผีเรียบร้อยแล้ว ก็ปรารภว่า เมืองเสเหลียงเป็นเมืองที่อยู่ติดกับเสฉวน ควรจะให้ผู้มีสติปัญญากล้าหาญไปรักษาไว้
เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายจ๊กก๊ก ยกทัพจากเสฉวนเข้ามา รุกรานได้ สุมาอี้ จึงขออาสาไปรักษาไว้เอง พระเจ้าโจยอยก็ไม่ขัดข้อง
ต่อมาขงเบ้งมหาอุปราชของจ๊กก๊ก ทำอุบายเล่ห์กลให้พระเจ้าโจยอยเชื่อว่าสุมาอี้จะเป็นขบถ จึงถอดออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองเสเหลียง เมื่อขงเบ้งยกทัพมารุกรานวุยก๊ก ก็ไม่มีมีทัพที่จะออกไปสู้รบป้องกันเมืองได้ พระเจ้าโจยอยจึงได้ตั้ง สุมาอี้ให้กลับมาเป็นแม่ทัพอีก
ขงเบ้งได้ยกทัพมาตีวุยก๊กถึงหกครั้งแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะสุมาอี้ หรือผ่านด่านหน้าเขากิสานมาได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว จนสิ้นบุญป่วยตายไปเอง
หลังจากที่ ขงเบ้ง มหาอุปราชของจ๊กก๊ก ต้องตายลงเมื่อเดือนสิบแรมแปดค่ำ พ.ศ.๗๗๗ แล้ว พระเจ้าโจยอย แห่งวุยก๊ก ก็ทรงสำราญพระทัยเพราะไม่มีศัตรูมารบกวนเป็นเวลาหลายปี จึงตั้งให้ สุมาอี้ เป็นมหาอุปราชและไปว่าราชการอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง
ส่วนพระองค์เองกลับไปประทับอยู่ที่เมืองฮูโต๋ แล้วก็ให้ปรับปรุงบ้านเมือง และ
ปราสาทราชวังเป็นการใหญ่ โดยใช้นายช่างถึงสามหมื่นและลูกมืออีกสามสิบหมื่น ในการซ่อมแซมค่ายคูประตูหอรบ กับให้สร้างปราสาทสูงยี่สิบวาที่เมืองลกเอี๋ยงขึ้นใหม่
ขุนนางเก่าแก่ชื่อ ตังสิม เห็นว่ามัวเอาคนตั้งมากมายมาทำงานก่อสร้างเสียเวลานาน ถ้าข้าศึกยกทัพมารุกราน ก็จะไม่มีทหารออกไปสู้รบ สมควรจะบำรุงไพร่บ้านพลเมือง และฝึกซ้อมทหารไว้ให้พร้อมรบจะดีกว่า
พระเจ้าโจยอยก็โกรธ แต่เมื่อมีผู้ยุยงให้ประหารตังสิมเสีย พระเจ้าโจยอยก็ไม่หลงเชื่อ เพราะเห็นว่าเป็นคนเก่ามีความชอบมามาก ถึงกระนั้นก็ให้ถอดออกเสียจากตำแหน่ง แล้วประกาศว่าต่อไปผู้ใดขัดขวางในการสร้างเมือง ก็จะตัดศีรษะเสีย
ยังมีขุนนางอีกคนหนึ่งชื่อ เตียวบ้อ สงสารไพร่พลที่มีความลำบากยากเข็ญในการก่อสร้างอันใหญ่โต ยอมเสี่ยงคัดค้านดู ก็เลยโดนประหารชีวิตไปตามคำปกาศิต
พระเจ้าโจยอยกลัวว่าจะก่อสร้างไม่เสร็จ จึงเสด็จมาประทับที่เมืองลกเอี๋ยง แล้วหาตัว ม้ากิ้น ผู้รับผิดชอบควบคุมการก่อสร้างมาถามว่าจะให้สร้างปราสาทสูงกว่านี้ได้หรือไม่ ม้ากิ้นก็ทูลว่าสมัย พระเจ้าฮั่นบู๊เต้ ก็มีการสร้างปราสาทสูงถึงสามสิบวา และมีเสาสูงเลยหลังคาขึ้นไปอีก มีรูปคนทำด้วยทองแดง ชูถาดรองน้ำค้างกลางหาว อยู่ที่เมืองเตียงฮัน พระเจ้าโจยอยจึงสั่งให้ม้ากิ้นดำเนินการรื้อเสาและรูปปั้นนั้น เอามาไว้ที่เมือง ลกเอี๋ยง
ม้ากิ้นก็คุมไพร่พลไปตามรับสั่ง แต่ขณะที่กำลังชักรอกเอารูปทองแดงนั้นลงจากปลายเสา ก็บังเอิญมีพายุใหญ่พัดหนัก ทั้งปราสาทและเสาทองแดงก็หักพังลงมาทับทหารลูกมือตายไปประมาณพันเศษ ม้ากิ้นก็เอารูปปั้นใส่เลื่อน มาถวายพระเจ้าโจยอย และทูลความตามที่เกิดขึ้น พระเจ้าโจยอยก็ให้ชักลากเสาที่ล้มนั้นมาด้วย แม้ว่าจะหนักถึง ร้อยหมื่นชั่งก็ตาม
ม้ากิ้นก็ใช้ความพยายาม ลากเอามาตั้งที่เมืองลกเอี๋ยงจนได้ พระเจ้าโจยอยก็ให้จัดทำเป็นสวนใหญ่ ประดับด้วยรูปปั้นที่เอามาจากเมืองเตียงฮัน และที่ได้จัดทำขึ้นใหม่กับปลูกต้นไม้ดอกไม้ผลและเลี้ยงสัตว์ให้เหมือนป่า สำหรับประพาสให้สบายพระทัย และตำหนักเล็กตำหนักน้อยที่สร้างไว้ในสวนนั้น ก็ให้เอาหญิงรูปงามมาอยู่เป็นอันมาก
พระเจ้าโจยอยมีมเหสีชื่อ นางมอซือ อยู่ด้วยกันมา ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ตอนหลังมีสนมอีกคนหนึ่งชื่อ นางโกยฮุยหยิน พระเจ้าโจยอยก็โปรดมากชวนกันไปอยู่ในสวนที่สร้างใหม่ จนมิได้ออกว่าราชการถึงเดือนเศษ นางโกยฮุยหยินถามว่าทำไมไม่เชิญนางมอซือมาเสพสุราชมสวนด้วย
พระเจ้าโจยอยก็ตอบว่า เห็นหน้านางมอซือแล้วคงเสพสุราไม่ลงคอ
วันนั้นนางมอซือเป็นห่วงว่า พระเจ้าโจยอยไม่ออกว่าราชการนานแล้ว จึงพานางสาวใช้ประมาณสิบสองคน ไปเยี่ยมที่ตำหนักซุยฮัวเหลา แต่พระเจ้าโจยอยไปอยู่ในสวน มีนางบำเรอขับร้องถวาย นางมอซือก็กลับไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ
ครั้นวันรุ่งขึ้น นางมอซือเดินอยู่ในวัง บังเอิญพบพระเจ้าโจยอยจึงเอ่ยสัพยอกว่า
"...เวลาวานนี้พระองค์เสด็จไปประพาสสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าเห็นจะมีความสุขสบายหาที่สุดมิได้...."
เกิดไปจี้จุดใจดำเข้าพระเจ้าโจยอยก็โกรธจัด ให้จับตัวนางสาวใช้ที่อยู่ในสวนไปฆ่าเสีย ฐานปากเสียไปบอกนางมอซือ เพราะได้กำชับไว้แล้ว นางมอซือเห็นเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาก็ตกใจรีบกลับที่อยู่
แต่พระเจ้าโจยอยยังไม่หายแค้น ให้ขันทีเอากระบี่และสุราผสมยาพิษกับแพรดำ ไปให้นางมอซือพร้อมกับสั่งว่า นางมอซือมีโทษผิดใหญ่หลวงนัก ให้เลือกลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่งตามชอบใจ ขันทีก็ไปจัดการตามประสงค์ นางมอซือก็ถึงแก่ความตายไป พระเจ้าโจยอยจึงยกนางโกยฮุยหยิน ขึ้นเป็นมเหสีเอกแทน
อีกไม่นานก็มีข่าวว่า กองซุนเอี๋ยน บุตร ก๋งซุน เจ้าเมืองเสียวตั๋งเป็นขบถ ยกตนเองเป็นเจ้าเอียนอ๋อง แล้วก็สร้างปราสาทเวียงวัง ค่ายคูประตูหอรบไว้เป็นมั่นคง และแต่งตั้งขุนนางน้อยใหญ่มากมาย กับรวบรวมทหารประมาณร้อยหมื่น จะยกมาตีเมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าโจยอยจึงปรึกษาสุมาอี้ว่าจะทำประการใด สุมาอี้ก็อาสาขอทหารสี่หมื่น จะยกไปปราบปรามกองซุนเอี๋ยนให้จงได้
พระเจ้าโจยอยก็หยั่งเสียงสุมาอี้ว่า กองซุนเอี๋ยนจะคิดอ่านรบพุ่งโดยวิธีการใด สุมาอี้จึงทูลว่า
"....แม้กองซุนเอี๋ยนทิ้งเมืองเสียหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ในป่า เห็นจะคิดการขัดสนด้วยไม่เจนทาง ข้อนี้เห็นว่ากองซุนเอี๋ยนคิดการศึกเป็นเอก ข้อหนึ่งถ้า กองซุนเอี๋ยนยกออกมาตั้งค่ายอยู่หน้าเมืองเสียวตั๋งนั้น เป็นความคิดโท ข้อหนึ่งแม้กองซุนเอี๋ยน ยกมาตั้งอยู่ ณ เมืองเซียงเป๋งเป็นแดนต่อแดนนั้น เป็นความคิดตรี เห็นจะจับกองซุนเอี๋ยนได้เป็น มั่นคง...."
พระเจ้าโจยอยก็ถามต่อไปว่า จะยกไปช้าเร็วสักเท่าใด สุมาอี้ก็ทูลว่า เส้นทางที่จะไปเมืองเสียวตั๋งนั้น ไกลถึงสิบหมื่นเส้นและกันดารนัก คงจะต้องเดินทางสักร้อยวัน ทำสงครามสักร้อยวัน เดินทางกลับอีกร้อยวัน และทั้งขาไปขากลับต้องหยุดพักสัก หกสิบวัน ครบหนึ่งปีพอดี
พระเจ้าโจยอยก็เป็นห่วงว่า เมื่อไปแล้วเผื่อเมืองเสฉวนหรือกังตั๋งยกมาจะทำอย่างไร สุมาอี้ก็ทูลว่าได้วางแผนรักษาเมืองลกเอี๋ยงไว้แล้วไม่ต้องวิตก แต่ประการใด พระเจ้า โจยอยก็ค่อยสบายพระทัยขึ้น
เมื่อสุมาอี้ยกทัพไปนั้น กองซุนเอี๋ยนยกกำลังมาตั้งรับ ที่เมืองเซียงเป๋ง สุมาอี้ก็เข้าล้อมเมืองไว้ แม้จะเป็นฤดูฝนมีฝนตกหนักทั้งกลางวันกลางคืนถึงเดือนเศษ น้ำท่วมแผ่นดินประมาณสองศอกเศษ ทั้งทหารและม้าในกองทัพของสุมาอี้ ได้รับความลำบากมาก ก็ไม่ยอยถอย ใครชักชวนให้ถอยก็ประหารชีวิตเสีย ส่วนเสบียงอาหารนั้นไม่ขาดแคลน เพราะได้รับจากเมืองลกเอี๋ยง แบบสะเทินน้ำสะเทินบกตามเวลา ตรงกันข้ามกับชาวเมือง ที่อดอยากอัตคัดอาหารการกิน จึงคิดจะขบถตัดศรีษะกองซุนเอี๋ยนมาให้ สุมาอี้
กองซุนเอี๋ยนรู้ตัวว่าขืนสู้ต่อไปก็ไม่รอด จึงให้ อองเกี๋ยน กับ ลิวฮู มาคำนับสุมาอี้เพื่อขออ่อนน้อม สุมาอี้ก็ให้เอาไปฆ่าเสีย กองซุนเอี๋ยนจึงให้ โอยเอี๋ยน ออกมาคำนับสุมาอี้อีก แจ้งว่าตนเองกับ กองซุนสิว บุตรชาย จะยอมออกมาอ่อนน้อมในวันรุ่งขึ้น สุมาอี้ก็ข่มขู่โอยเอี๋ยนว่า
".....อันธรรมดาการสงครามนี้มีอยู่ห้าประการ ประการ หนึ่งเห็นว่าจะต้านทานได้ ก็ให้คิดออกมารบพุ่งจงสามารถ ประการหนึ่งถ้าเห็นสู้มิได้ก็อย่าออกมารบพุ่ง ให้รักษาเมืองไว้จงมั่นคง ประการหนึ่งถ้ารักษาเมืองไว้ไม่ได้ ให้หนี เอาตัวรอด ประการหนึ่งแม้ไม่หนีก็ ให้ออกมาอ่อนน้อมโดยดีจะมีชีวิตสืบไป ประการหนึ่ง ถ้าไม่ออกมาอ่อนน้อมโดยดี ก็ควรที่จะตาย ....."
โอยเอี๋ยนตกใจกลัวจนตัวสั่น รีบกลับมาบอกกองซุนเอี๋ยนทุกประการ
ในคืนนั้นกองซุนเอี๋ยนจึงพากองซุนสิวกับทหารคนสนิทพันหนึ่ง เปิดประตูด้านทิศใต้ หนีไปทางทิศอาคเนย์ได้ประมาณร้อยเส้นก็เจอสุมาอี้กับ สุมาสู และ สุมาเจียว บุตรชายทั้งสองคนดักอยู่ ไม่สามารถตีฝ่าออกไปได้ จึงยอมลงจากหลังม้าคำนับสุมาอี้ แต่สุมาอี้ก็ให้เอาตัวไปฆ่าเสียทั้งสองคนพ่อลูก แล้วยกเข้าเมืองไปจับบุตรภรรยาพรรคพวก กองซุนเอี๋ยน ฆ่าเสียอีกประมาณเจ็ดสิบคนเศษ แล้วจึงยกทัพกลับ
ข้างพระเจ้าโจยอยอยุ่เมืองฮูโต๋ ก็ประชวรหนัก เพ้อเห็นนางมอซือกับ นางสนมที่ถูกฆ่าตายมาร้องทวงชีวิต ก็รู้ตัวว่าไม่รอดแล้วจึงอยากจะให้ โจฮอง ราชบุตร อายุแปดขวบขึ้นครองราชสมบัติ และขอให้ โจฮุย บุตรของ พระเจ้าโจผี ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ช่วยว่าราชการไปก่อนจนกว่าโจฮองจะเจริญอายุขึ้น แต่โจฮุยไม่ยอมรับ อ้างว่าสติปัญญาน้อย ไม่สามารถจะบริหารราชการแผ่นดินได้ ขุนนางก็เสนอให้ โจซอง บุตรของ โจจิ๋น ซึ่งได้ตายไปตั้งแต่คราวทำศึกกับขงเบ้งครั้งที่สี่ ได้เป็นแทน พระเจ้าโจยอยก็เห็นชอบด้วย
พอดีสุมาอี้กลับมาถึง พระเจ้าโจยอยก็ฝากฝังโจฮองไว้กับสุมาอี้ โดยขอร้องว่า
"......บัดนี้เราจะให้โจฮองครองราชสมบัติ ให้โจซองผู้เป็นพระราชวงศ์ ช่วยประคองว่าราชการไปกว่าอายุโจฮองจะจำเริญขึ้น ให้ท่านกับราชวงศ์และขุนนางทั้งปวง ช่วยทำนุบำรุงโจฮองสืบไป...."
แล้วบอกกับโจฮองว่า
"......บิดานี้กับสุมาอี้ก็เหมือนกันและบัดนี้บิดาก็จะถึงแก่ความตายแล้ว เจ้าจงฝากตัวคำนับสุมาอี้เหมือนบิดาด้วยเถิด....."
แล้วก็ส่งโจฮองให้สุมาอี้อุ้มไว้ โจฮองก็กอดคอสุมาอี้ไว้แน่น
พระเจ้าโจยอยหรือ พระเจ้าไต้งุยฮ่องเต้ ซึ่งเสวยราชสมบัติมาได้สิบสามปีและสามารถพิชิต ขงเบ้ง มหาอุปราชผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร ของ พระเจ้าเล่าเสี้ยน แห่งจ๊กก๊กลงได้อย่างไม่คาดฝัน
ก็ถึงกาลสิ้นสังขาร เพราะความหลงระเริงในกองกิเลสตัณหา จนสร้างบาปให้ฝังติดตรึงตราอยู่ในใจของตน ตราบนาทีสุดท้ายของชีวิต ลงแต่เพียงแค่นี้
ปล่อยให้ทายาทอายุแปดขวบ อยู่ในกำมือของมหาอุปราช อย่างที่ไม่อาจจะคาดเดาอนาคตได้.
##########