FWD มาจาก line : เรื่อง เกี่ยวกับเสียน้อยเสียยาก

กระทู้สนทนา
"เสียน้อยเสียยาก"..... อย่านะๆๆ

แม็กซ์ เบเซอร์แมน เป็นศาสตราจารย์คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  วันแรกของชั้นเรียน เขาชวนนักศึกษาทำกิจกรรมอย่างหนึ่งซึ่งง่ายมาก นั่นคือ ประมูลธนบัตร 20 ดอลลาร์ในมือของเขา

กติกานั้นมี 2 ข้อเท่านั้น  ข้อแรก นักศึกษาต้องเสนอราคาเพิ่มขึ้นครั้งละ 1 ดอลลาร์ ข้อที่สอง ผู้ที่ให้ราคาสูงสุดเป็นผู้ชนะการประมูล ได้รับธนบัตรไป  แต่คนที่เสนอราคามากเป็นอันดับสองจะต้องจ่ายเงินจำนวนนั้นโดยไม่ได้รับอะไรเลย

ตอนเริ่มประมูล นักศึกษาทั้งห้องพากันยกมือเสนอราคา จาก 1 ดอลลาร์  ตัวเลขไต่ขึ้นอย่างรวดเร็ว  เมื่อราคาประมูลมาถึง 16 ดอลลาร์ หลายคนหยุดประมูล แต่ก็ยังมีคนสู้อยู่  ครั้นตัวเลขแตะ 20 ดอลลาร์  การแข่งขันก็ยังดำเนินต่อไป ตัวเลขเพิ่มเป็น 21, 22 และ 23 ดอลลาร์  แต่ก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้น กว่าการประมูลจะสิ้นสุด ตัวเลขก็สูงถึง 100 ดอลลาร์
  
เบเซอร์แมนทำกิจกรรมนี้หลายครั้งกับคนหลายกลุ่ม มีทั้งนักศึกษาและผู้บริหารระดับสูง เขามีแต่ได้กำไร เพราะราคาประมูลเกิน 20 ดอลลาร์ทุกครั้ง   อีกทั้งเกินกว่าราคาจริงของธนบัตรหลายเท่าด้วย  สถิติสูงสุดคือ 204 ดอลลาร์!

คำถามก็คือ ทำไมนักศึกษาปัญญาชนเหล่านี้จึงพากันเสนอตัวเลขที่สูงกว่าราคาธนบัตรหลายเท่าตัว เป็นเพราะเขาต้องการชนะคู่ต่อสู้เอามากๆ จนลืมตัวกระนั้นหรือ?...ดูเผินๆ ก็เป็นเช่นนั้น แต่ที่จริงเป็นเพราะผู้ประมูล (ซึ่งมักจะเหลือแค่ 2 คนเมื่อตัวเลขใกล้ 20 ดอลลาร์) ไม่อยากจ่ายเงินต่างหาก เนื่องจากกติการะบุว่าคนที่เสนอราคาสูงสุดเป็นอันดับสอง นอกจากไม่ได้ธนบัตรแล้ว ยังต้องจ่ายเงินที่ตนเองเสนอด้วย ไม่มีใครอยากเป็นที่สองหรือผู้แพ้จึงต้องสู้ต่อไปเรื่อยๆ

แทบทุกครั้งก็ว่าได้ เมื่อราคาประมูลแตะที่ระดับ 16 ดอลลาร์  ผู้ประมูลจะเหลือแค่ 2 คน นั่นคือคนที่ให้ราคาสูงสุด และรองลงมา สองคนนี้เลิกไม่ได้ เพราะถ้าเลิกก็ต้องจ่ายเงิน คนรองจึงต้องเสนอ 17 ดอลลาร์ ซึ่งบังคับให้อีกคนต้องเสนอ 18 ดอลลาร์ ถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งหยุดเพียงเท่านั้น ก็จ่ายแค่ 17 หรือ 18 ดอลลาร์ แต่เป็นเพราะเสียดายเงิน สุดท้ายก็ต้องจ่ายถึง 100 หรือ 200 ดอลลาร์

นี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมดังกล่าวเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของผู้คนเป็นอันมาก เป็นเพราะกลัวสูญเสีย หลายคนจึงลงเอยด้วยการสูญเสียหนักกว่าเดิม เช่น คนที่หมดตัวเพราะการพนัน ใช่หรือไม่ว่าเขาทำใจไม่ได้ที่ต้องเสียเงินนับพันบาท จึงเล่นต่อ หรือแทงหนักกว่าเดิม เพราะหวังว่าจะได้เงินพันกลับคืนมา แต่สุดท้ายกลับเสียเงินหมื่น ด้วยความเสียดายเงินหมื่นจึงเล่นต่อ แล้วก็เสียเงินแสน ยิ่งเสียหนักก็ยิ่งเลิกยาก สุดท้ายจึงกลายเป็นเสียเงินล้านหรือถึงกับหมดตัว

คนเป็นอันมากเมื่อพบว่าหุ้นของตนราคาตก ทั้งๆ ที่มีแนวโน้มว่าหุ้นจะตกยิ่งกว่านี้ แทนที่จะรีบขายในราคาที่ขาดทุน กลับเก็บเอาไว้ด้วยความเสียดายเงินที่หดหายไป เฝ้าแต่หวังว่าหุ้นจะราคาขึ้น ครั้นหุ้นตกลงอีก ก็ยิ่งไม่อยากขายเพราะจะขาดทุนหนักกว่าเดิม สุดท้ายหุ้นของเขากลายเป็นไร้ค่า แทนที่จะเสียแค่ล้าน ก็เสียเป็นสิบล้านหรือร้อยล้าน

"เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" เป็นภาษิตที่สะท้อนถึงธรรมชาติของมนุษย์ ที่กลัวการสูญเสีย จึงทำในสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนยิ่งกว่าเดิม    

ความกลัวสูญเสียนั้นมีประโยชน์ เป็นสัญชาตญาณที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ แต่ถ้าปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ จนขาดสติ ปัญญาก็จะไม่ทำงาน สุดท้ายก็กลับทำให้สูญเสียหนักกว่าเดิม

ใช่หรือไม่ว่าบางครั้งเราก็ต้องพร้อมจะสูญเสียบ้าง เพื่อจะได้ไม่สูญเสียหนักกว่าเดิม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่