เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาผมได้ทำความฝันนึงของผมสำเร็จครับ นั่นคือการขึ้นเครื่องบิน
ผมเป็นเด็กคนนึงครับที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดห่างไกลจากการเดินทางด้วยเครื่องบินมากทั้งด้วยราคาและอะไรต่างๆ พูดตามตรงคือแทบจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสไอ้สิ่งที่เรียกว่า เครื่องบินเลย ตอนเด็กๆ ทั้งๆที่ผมจำได้และจากที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง ว่าเวลาผมได้ยินเสียงเครื่องบิน ผมจะทิ้งทุกอย่างแล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอกบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะออกไปแหงนมองเครื่องบินบินผ่านจนลับสายตา หรือไม่ก็เวลาผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วเห็นคอนเทลหรือไอ้ควันขาวๆยาวๆที่ออกจากเครื่องบินนั่นแหละครับ ผมจะมีเกมส์สนุกๆของผมคือมองหาเจ้านกยักษ์เจ้าของควันขาวๆนั้นให้เร็วที่สุด เวลาผมเดินทางไปกรุงเทพด้วยรถทัวร์ ในขณะที่รถเคลื่อนผ่านสนามบินดอนเมืองจะมีช่องเล็กๆที่ทำให้ผมเห็นเจ้านกยักษ์ช่วงแว๊บสั้นๆ ในใจภาวนาให้คนขับรถทัวร์ขับช้าๆหน่อย เพื่อผมจะได้เห็นมันอย่างชัดๆ จากคำบอกเล่าของพ่อผม ทันทีที่ผมเห็นเจ้านักยักษ์เหล่านั้น ผมจะตะโกนด้วยความตื่นเต้นออกมาทันทีอย่างไม่อายใครด้วยความไร้เดียงสาว่า “เครื่องบิน! เครื่องบิน! พ่อเห็นเครื่องบินมั้ย พ่อ!” เล่นเอาพ่อผมอายไปเลยล่ะครับ
และเมื่อเวลาผ่านไปด้วยภาระหน้าที่ของพ่อผมทำให้ผมได้ย้ายมายังจังหวัดที่มีสนามบินทำให้เจ้าเครื่องบินเล็กๆที่ผมเคยเห็นตอนผมพึ่งจำความได้ได้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเมื่อก่อน ไม่ว่าผมจะโตขนาดไหน ประถมปลาย มัธยมต้น ยันมัธยมปลาย ผมก็ยังคงวิ่งออกไปมองเครื่องบินเหมือนเดิมแหละครับ ในใจก็นึกสงสัยว่า ข้างบนจะเป็นไงนะ มองวิวจากข้างบนจะเห็นผมที่ยืนแหงนมองดูตัวเล็กขนาดไหน แล้วผมก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่า “ซักวันนึง ผมต้องพาตัวเองขึ้นไปอยู่ข้างบนนั้นให้ได้” เมื่อผมได้เข้ามหาวิทยาลัย ผมได้ยินเพื่อนพูดเรื่องประสบการณ์การขึ้นเครื่องบินให้ฟังมากมาย และผมจะตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นทุกครั้งเวลาฟังเรื่องนี้
ผมในวัย19 ปีขณะที่กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ปกติในหอพักนักศึกษา เมื่อ3ปีที่แล้ว ได้ปรากฏตั๋วโปรโมชั่นขึ้นบนหน้า facebook ของผม ผมลังเลซ้ำไปซ้ำมา และสุดท้ายผมก็กดยืนยันซื้อตั๋วนั้นด้วยความตื่นเต้น ผมกดจองตั๋วข้ามปีเพื่อไปบ้านยายของผมจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ คุณรู้มั้ยครับว่าตลอด 1 ปีมา มันคือ 1 ปีแห่งการรอคอย ผมเฝ้ารอแต่วันนั้น วันที่ผมจะได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกตัวคนเดียว แต่ละวันผ่านไปหมดไปกับการดูคลิปวิดีโอ เครื่องบิน take-off กับ landing ดูวีดีโอสาธิตความปลอดภัยบนเครื่อง อ่านวิธีและประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินของแต่ละคน ผมนับวันรอนับวันแล้วนับวันเล่า
และเมื่อการรอคอยสิ้นสุดลง วันนั้นก็มาถึง...
คืนก่อนวันเดินทางผมตื่นเต้นมากๆ แทบจะนอนไม่หลับเลยล่ะครับ ผมนอนพลิกตัวไปมาจินตนาการว่าตอนนั้นมันจะเป็นยังไงนะ มันจะน่ากลัวหรือเปล่า หรือเราจะไปทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเค้ามั้ยและผมก็เผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
เช้าวันรุ่งขึ้น.. พ่อผมพาผมไปส่งที่สนามบินก่อนเวลาถึง เกือบ 2 ชั่วโมง ทุกขั้นตอนผมตื่นเต้นตั้งแต่เช็คอิน ฝากกระเป๋า แล้วไปนั่งรอที่หน้าเกท ถึงเวลามันจะเหลืออีกเยอะ แต่ความตื่นเต้นของผมมันก็เพิ่มทวีคูณตามความฝันที่กำลังเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง ตามสนามบินต่างจังหวัดจะต้องเดินตากแดดไปขึ้นเครื่องเอง ทุกก้าวที่ผมเดินเข้าใกล้เครื่องบิน มันเป็นความตื่นเต้นที่บอกไม่ถูก ผมขึ้นไปบนเครื่องบิน ยิ้มให้แอร์โฮสเตส หาที่นั่งทำตัวให้เหมือนตัวเองขึ้นเครื่องมาเป็นร้อยครั้ง "นั่นไง 58A" ทำหน้าให้เรียบที่สุด ล็อคเข็มขัด แต่ด้วยความที่เป็นครั้งแรก ขณะที่แอร์โฮสเตสสาธิตความปลอดภัยผมไม่กล้าที่จะสบตาเลยครับ และเวลาที่รอคอยก็มาถึง หัวหน้าลูกเรือประกาศเตรียมพร้อมนำเครื่องขึ้น เครื่องตั้งตรง เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเร่งเครื่องเต็มกำลัง หลังติดเบาะ นาทีที่เครื่องวิ่งขึ้นผมแทบลืมหายใจ มันเป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นแบบอธิบายไม่ถูก จนเครื่องเหินฟ้าไต่ระดับ ผมมองออกมานอกหน้าต่าง ผมพูดกับตัวเอง
“นี่ไม่ใช่ความฝันใช่มั้ย”
“นี่เราทำความฝันสำเร็จแล้วจริงๆใช่มั้ย”
“ขอบคุณตัวเองที่พาตัวเองมาถึงตรงนี้ได้สำเร็จ ขอบคุณจริงๆ”
ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกภูมิใจกับตัวเองสุดๆ มันเป็นไฟล์ท 45 นาทีที่มีความสุขที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยครับ ผมนั่งมองท้องฟ้าสังเกตทุกอย่างทั้งในและนอกเครื่องบิน เสียงกัปตัน เสียงแอร์โฮสเตสฟังดูรื่นหูที่สุดเท่าที่เกิดมาเคยได้ยิน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆครับ กับอะไรที่เรารอคอยมา 1 ปี จริงๆแล้วมันใช้เวลามากกว่านั้นมากครับกับการสะสมแรงขับเคลื่อน แรงผลักดัน ผมในวัย 19 ปีตอนนั้นในใจรู้สึกกระโดดโลดเต้นไม่ต่างกับเด็กคนเดิมคนนั้นที่แหงนหน้ามองเครื่องบิน ตอนนี้เด็กคนนั้นทำได้แล้วครับ เครื่องถึงสนามบินดอนเมืองอย่างสวัสดิภาพ ผมเดินลงจากเครื่องบินเพื่อไปรับกระเป๋าเพื่อจะรอเดินทางในเที่ยวบินถัดไป วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกมีความสุขที่สุด
และผมอยากบอกเด็กซักคนที่กำลังแหงนมองเครื่องบินอยู่ตอนนั้นว่า
“นายต้องทำตามความฝันของตัวเองให้ได้นะ การที่ทำความฝันตัวเองสำเร็จมันมีความสุขแบบที่นายจะจินตนาการถึงมันไม่ออกเลยล่ะ”
เวลาผ่านมา 3 ปี ตอนนี้ผมได้ขึ้นเครื่องบินหลายครั้งเลยล่ะครับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การทำตามความฝันในครั้งนั้นนอกจากจะมีความสุขแล้ว มันยังทำให้ผมเกิดหลงรักการเดินทางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ แต่ทุกโมเมนต์ทุกความรู้สึกของวันนั้นผมยังจำได้ดีเสมอ มันเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากสำหรับผม ความฝันทำให้ผมมาไกลจริงๆ ผมมานั่งนึกๆดูวันนั้นทุกอย่างเกือบจะสมบูรณ์ ขาดอย่างนึงคือคนแชร์ความรู้สึกในขณะนั้น ตอนนี้ผมมีความฝันใหม่แล้วครับ ผมจะพาพ่อแม่น้องขึ้นเครื่องบินครั้งแรกให้ได้ ผมอยากจะเห็นสีหน้าและรอยยิ้มของพวกท่านตอนอยู่บนนั้นจังและผมต้องทำมันให้ได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายขอบคุณที่สละเวลามาอ่านประสบการณ์การพิชิตความฝันเล็กๆของผมนะครับ
ขอบคุณครับ
ความฝัน และการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของผม
ผมเป็นเด็กคนนึงครับที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดห่างไกลจากการเดินทางด้วยเครื่องบินมากทั้งด้วยราคาและอะไรต่างๆ พูดตามตรงคือแทบจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสไอ้สิ่งที่เรียกว่า เครื่องบินเลย ตอนเด็กๆ ทั้งๆที่ผมจำได้และจากที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง ว่าเวลาผมได้ยินเสียงเครื่องบิน ผมจะทิ้งทุกอย่างแล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอกบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะออกไปแหงนมองเครื่องบินบินผ่านจนลับสายตา หรือไม่ก็เวลาผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วเห็นคอนเทลหรือไอ้ควันขาวๆยาวๆที่ออกจากเครื่องบินนั่นแหละครับ ผมจะมีเกมส์สนุกๆของผมคือมองหาเจ้านกยักษ์เจ้าของควันขาวๆนั้นให้เร็วที่สุด เวลาผมเดินทางไปกรุงเทพด้วยรถทัวร์ ในขณะที่รถเคลื่อนผ่านสนามบินดอนเมืองจะมีช่องเล็กๆที่ทำให้ผมเห็นเจ้านกยักษ์ช่วงแว๊บสั้นๆ ในใจภาวนาให้คนขับรถทัวร์ขับช้าๆหน่อย เพื่อผมจะได้เห็นมันอย่างชัดๆ จากคำบอกเล่าของพ่อผม ทันทีที่ผมเห็นเจ้านักยักษ์เหล่านั้น ผมจะตะโกนด้วยความตื่นเต้นออกมาทันทีอย่างไม่อายใครด้วยความไร้เดียงสาว่า “เครื่องบิน! เครื่องบิน! พ่อเห็นเครื่องบินมั้ย พ่อ!” เล่นเอาพ่อผมอายไปเลยล่ะครับ
และเมื่อเวลาผ่านไปด้วยภาระหน้าที่ของพ่อผมทำให้ผมได้ย้ายมายังจังหวัดที่มีสนามบินทำให้เจ้าเครื่องบินเล็กๆที่ผมเคยเห็นตอนผมพึ่งจำความได้ได้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเมื่อก่อน ไม่ว่าผมจะโตขนาดไหน ประถมปลาย มัธยมต้น ยันมัธยมปลาย ผมก็ยังคงวิ่งออกไปมองเครื่องบินเหมือนเดิมแหละครับ ในใจก็นึกสงสัยว่า ข้างบนจะเป็นไงนะ มองวิวจากข้างบนจะเห็นผมที่ยืนแหงนมองดูตัวเล็กขนาดไหน แล้วผมก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่า “ซักวันนึง ผมต้องพาตัวเองขึ้นไปอยู่ข้างบนนั้นให้ได้” เมื่อผมได้เข้ามหาวิทยาลัย ผมได้ยินเพื่อนพูดเรื่องประสบการณ์การขึ้นเครื่องบินให้ฟังมากมาย และผมจะตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นทุกครั้งเวลาฟังเรื่องนี้
ผมในวัย19 ปีขณะที่กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ปกติในหอพักนักศึกษา เมื่อ3ปีที่แล้ว ได้ปรากฏตั๋วโปรโมชั่นขึ้นบนหน้า facebook ของผม ผมลังเลซ้ำไปซ้ำมา และสุดท้ายผมก็กดยืนยันซื้อตั๋วนั้นด้วยความตื่นเต้น ผมกดจองตั๋วข้ามปีเพื่อไปบ้านยายของผมจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ คุณรู้มั้ยครับว่าตลอด 1 ปีมา มันคือ 1 ปีแห่งการรอคอย ผมเฝ้ารอแต่วันนั้น วันที่ผมจะได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกตัวคนเดียว แต่ละวันผ่านไปหมดไปกับการดูคลิปวิดีโอ เครื่องบิน take-off กับ landing ดูวีดีโอสาธิตความปลอดภัยบนเครื่อง อ่านวิธีและประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินของแต่ละคน ผมนับวันรอนับวันแล้วนับวันเล่า
คืนก่อนวันเดินทางผมตื่นเต้นมากๆ แทบจะนอนไม่หลับเลยล่ะครับ ผมนอนพลิกตัวไปมาจินตนาการว่าตอนนั้นมันจะเป็นยังไงนะ มันจะน่ากลัวหรือเปล่า หรือเราจะไปทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเค้ามั้ยและผมก็เผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
เช้าวันรุ่งขึ้น.. พ่อผมพาผมไปส่งที่สนามบินก่อนเวลาถึง เกือบ 2 ชั่วโมง ทุกขั้นตอนผมตื่นเต้นตั้งแต่เช็คอิน ฝากกระเป๋า แล้วไปนั่งรอที่หน้าเกท ถึงเวลามันจะเหลืออีกเยอะ แต่ความตื่นเต้นของผมมันก็เพิ่มทวีคูณตามความฝันที่กำลังเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง ตามสนามบินต่างจังหวัดจะต้องเดินตากแดดไปขึ้นเครื่องเอง ทุกก้าวที่ผมเดินเข้าใกล้เครื่องบิน มันเป็นความตื่นเต้นที่บอกไม่ถูก ผมขึ้นไปบนเครื่องบิน ยิ้มให้แอร์โฮสเตส หาที่นั่งทำตัวให้เหมือนตัวเองขึ้นเครื่องมาเป็นร้อยครั้ง "นั่นไง 58A" ทำหน้าให้เรียบที่สุด ล็อคเข็มขัด แต่ด้วยความที่เป็นครั้งแรก ขณะที่แอร์โฮสเตสสาธิตความปลอดภัยผมไม่กล้าที่จะสบตาเลยครับ และเวลาที่รอคอยก็มาถึง หัวหน้าลูกเรือประกาศเตรียมพร้อมนำเครื่องขึ้น เครื่องตั้งตรง เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเร่งเครื่องเต็มกำลัง หลังติดเบาะ นาทีที่เครื่องวิ่งขึ้นผมแทบลืมหายใจ มันเป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นแบบอธิบายไม่ถูก จนเครื่องเหินฟ้าไต่ระดับ ผมมองออกมานอกหน้าต่าง ผมพูดกับตัวเอง
“ขอบคุณตัวเองที่พาตัวเองมาถึงตรงนี้ได้สำเร็จ ขอบคุณจริงๆ”
ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกภูมิใจกับตัวเองสุดๆ มันเป็นไฟล์ท 45 นาทีที่มีความสุขที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยครับ ผมนั่งมองท้องฟ้าสังเกตทุกอย่างทั้งในและนอกเครื่องบิน เสียงกัปตัน เสียงแอร์โฮสเตสฟังดูรื่นหูที่สุดเท่าที่เกิดมาเคยได้ยิน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆครับ กับอะไรที่เรารอคอยมา 1 ปี จริงๆแล้วมันใช้เวลามากกว่านั้นมากครับกับการสะสมแรงขับเคลื่อน แรงผลักดัน ผมในวัย 19 ปีตอนนั้นในใจรู้สึกกระโดดโลดเต้นไม่ต่างกับเด็กคนเดิมคนนั้นที่แหงนหน้ามองเครื่องบิน ตอนนี้เด็กคนนั้นทำได้แล้วครับ เครื่องถึงสนามบินดอนเมืองอย่างสวัสดิภาพ ผมเดินลงจากเครื่องบินเพื่อไปรับกระเป๋าเพื่อจะรอเดินทางในเที่ยวบินถัดไป วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกมีความสุขที่สุด
“นายต้องทำตามความฝันของตัวเองให้ได้นะ การที่ทำความฝันตัวเองสำเร็จมันมีความสุขแบบที่นายจะจินตนาการถึงมันไม่ออกเลยล่ะ”
เวลาผ่านมา 3 ปี ตอนนี้ผมได้ขึ้นเครื่องบินหลายครั้งเลยล่ะครับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การทำตามความฝันในครั้งนั้นนอกจากจะมีความสุขแล้ว มันยังทำให้ผมเกิดหลงรักการเดินทางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ แต่ทุกโมเมนต์ทุกความรู้สึกของวันนั้นผมยังจำได้ดีเสมอ มันเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากสำหรับผม ความฝันทำให้ผมมาไกลจริงๆ ผมมานั่งนึกๆดูวันนั้นทุกอย่างเกือบจะสมบูรณ์ ขาดอย่างนึงคือคนแชร์ความรู้สึกในขณะนั้น ตอนนี้ผมมีความฝันใหม่แล้วครับ ผมจะพาพ่อแม่น้องขึ้นเครื่องบินครั้งแรกให้ได้ ผมอยากจะเห็นสีหน้าและรอยยิ้มของพวกท่านตอนอยู่บนนั้นจังและผมต้องทำมันให้ได้อย่างแน่นอน