ลิมชอง (๓) ๑๒ มี.ค.๖๐

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ลิมชอง.....อัศวินผู้อาภัพ

ตอนที่ ๓ จำใจไปเป็นโจร

" เล่าเซี่ยงชุน "

ลิมชองซึ่งเมาหมดสติอยู่นั้น ครั้นพวกชาวบ้านช่วยกันทุบตีคนละไม้คนละมือจนฟื้นคืนสติขึ้นมา หมดปัญญาที่จะป้องกันตนเองให้พ้นจากมือเท้าของพวกนั้นได้ ก็เลยร้องยุให้ล่อกันเข้าไปให้สบายเถิด

ขณะนั้นเจ้าของบ้านตื่นขึ้น ได้ยินเสียงอื้ออึงจึงเดินออกมาดูว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น ผู้เฒ่าหัวหน้ากลุ่มจึงแจ้งเรื่องที่ลิมชองมาแย่งเหล้ากิน ให้ฟังโดยตลอด แล้วว่าพรุ่งนี้เช้าพอสว่างดีแล้ว จะเอาตัวไปส่งที่เมืองชองจิว

เจ้าของบ้านนั้นที่แท้ก็คือชาจิน หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ชาตัวกัวหนัง บ้านนั้นก็เป็นบ้านพักผ่อนของชาจินในเวลาที่เข้าป่าล่าสัตว์ ชาจินเห็นหน้าลิมชองก็จำได้ ว่าเคยฝากฝังไว้กับผู้คุมใหญ่ในคุก จึงรีบเข้าไปแก้มัดออก แล้วไต่ถามว่าทำไมส่งตัวเข้าคุกไปแล้ว จึงมาก่อความวุ่นวายให้เขาจับได้ที่นี่

ลิมชองก็เล่าเรื่องที่ผู้กำกับคุกคิดร้าย โดยส่งตัวมารักษาโรงหญ้าแห้งและฉางถั่ว สำหรับเลี้ยงม้า แล้วให้ลิ่วล้อเอาไฟเผากะจะคลอกให้ตาย ตนหลบมาได้โดยบังเอิญ จึงได้ฆ่า เล็กเคียม เพื่อนทรยศ ฮูอัน ลูกน้องของ กอไทอวย นายเก่า และผู้คุม ตายหมดทั้งสามคน

ชาจินจึงว่ามันเป็นไปตามวาสนาจะทำอย่างไรได้ แล้วก็ให้ลิมชองพักอาศัยอยู่ในบ้านป่านี้ต่อไปก่อน แล้วค่อยคิดหาทางขยับขยายภายหลัง

ฝ่ายผู้กำกับคุกก็แจ้งให้เจ้าเมืองชองจิวทราบ ว่าลิมชองฆ่าผู้คุมและคนที่รับคำสั่ง กอไทอวยจากเมืองหลวงตายหมด และเผาโรงฟางฉางถั่วของหลวงเสียหายสิ้น เจ้าเมืองจึงสั่งให้วาดรูปประกาศจับโดยให้สินบนถึงสามพันตำลึง ส่งไปตามหัวเมืองต่าง ๆ

ลิมชองพักอยู่ที่บ้าน ชาจินได้ประมาณสิบวันก็รู้ข่าว และมีความวิตกกลัวความผิดจะมาถึงชาจินผู้มีคุณ จึงบอกกับ ชาจินว่า

".....ข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านหลายวันแล้ว ท่านรักใคร่เลี้ยงข้าพเจ้าไว้พระคุณเป็นที่ยิ่ง บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่า เขาเที่ยวค้นหาทุกวันทุกตำบลจะจับตัวข้าพเจ้า ถ้าเขามาพบปะข้าพเจ้าที่บ้านท่าน ก็จะพาท่านได้ความลำบากต่อไป ข้าพเจ้าจะลาท่านไปเที่ยวหาที่สำนักอาศัยใหม่ ซึ่งพระคุณของท่านที่ได้อุปถัมภ์ชุบเลี้ยงมานั้น ข้าพเจ้าหาลืมไม่ ถ้าตายไปเป็นโคและกระบือ ก็คงจะมาตอบแทนพระคุณ....."

ชาจินบอกว่าเมื่ออยากจะไปก็ตามใจ แต่เห็นมีสำนักอยู่แห่งหนึ่งพอจะอาศัยได้ จะมีหนังสือให้ถือไปเป็นสำคัญ ลิมชองถามว่าเป็นที่แห่งใด ชาจินบอกว่าจะให้ไปอาศัยอยู่ที่ตำบลเนียซัวเปาะอยู่ในแขวงเมืองเจ๋จิวฮู้ ซึ่งขึ้นกับเมืองซัวตังแซ และเล่าเพิ่มเติมว่า ตำบลเนียซัวเปาะนั้นเป็นเกาะอยู่กลางแม่น้ำกว้างโดยรอบถึงแปดร้อยลี้เศษ กลางเกาะมีกำแพงเมืองรอบเรียกว่าอวนจือเสีย มีแม่น้ำเลียวชิกังอยู่ในกำแพงถ้าจะไปเกาะนี้ต้องไปทางเรือ มีนายอยู่สามคนชื่อ เฮงหลุน โตวเซียน และ ซองบาน มีลิ่วล้อเจ็ดแปดร้อยคน ผู้ที่ต้องโทษหลวงถึงตาย หนีไปอยู่กับนายโจรทั้งสามที่เกาะเนียซัวเปาะเป็นอันมาก ไม่มีผู้ใดจับได้

ลิมชองก็ตกลงแต่จะเล็ดลอดออกจากเมืองชองจิวได้โดยวิธีใด

ชาจินก็จัดการเขียนหนังสือถึงเฮงหลุน และเอาเงินใส่ห่อเสื้อผ้าของลิมชอง ให้คนใช้ถือไปคอยอยู่นอกด่าน พอรุ่งเช้าชาจินพร้อมด้วยบริวารยี่สิบคนขึ้นม้ายกขบวนถือเกาทัณฑ์ออกไปล่าสัตว์นอกเมือง ให้ลิมชองปะปนอยู่กับพวกลูกน้อง

เมื่อจะผ่านด่านก็ยินดีให้นายด่านตรวจค้นขบวนได้ แต่นายด่านเชื่อถือ ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ตรวจค้น จนเลยด่านมาไกลแล้วพบกับคนใช้ที่คอยอยู่ ลิมชองก็ลงจากม้ารับห่อผ้าของตน คำนับลาชาจินเดินทางต่อไป

ลิมชองเดินทางฝ่าความหนาวไปได้สิบเจ็ดวันถึงแม่น้ำใหญ่ มีโรงขายสุราอยู่ริมแม่น้ำ จึงเข้าไปพักและขอซื้อสุราอาหารมากิน ขณะนั้นเห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่หนวดเหลืองมีลักษณะดียืนอยู่ที่หน้าโรง แล้วถามเจ้าของร้านสุราว่าผู้ใดมา เจ้าของร้านบอกว่าไม่รู้จัก ชายผู้นั้นก็ยังยืนดูอยู่

ลิมชองจึงเรียกเจ้าของร้านมาถามว่า จากที่นี่ไปเนียซัวเปาะใกล้หรือไกลสักเท่าใด เจ้าของร้านบอกว่าหนทางประมาณสามสี่ลี้แต่ต้องมีเรือจึงจะไปได้ ลิมชองขอให้ว่าเช่าเรือให้ลำหนึ่ง ค่าเช่าเท่าใดก็ได้ เจ้าของร้านก็ว่า ขณะนี้อากาศหนาวมากหมอกลงหนัก คงจะหาเรือไม่ได้

ลิมชองกลุ้มใจกินสุรามากชักเมาได้ที่ ก็ขอยืมพู่กันมาเขียนโคลงไว้ที่ข้างฝาแปดคำ ความว่าตนเองเป็นคนดี มีใจสัตย์ซื่อมั่นคง ตั้งใจจะทำงานเป็นครูทหารอยู่เมืองหลวง ถ้าสืบไปภายหน้ามีวาสนาแล้ว ก็จะกลับไปอยู่เมืองหลวง

ชายหนวดเหลืองอ่านคำโคลงแล้ว ก็เข้ามาตบหลังลิมชองแล้วพูดขึ้นว่า

"....ท่านนี้ช่างกล้านัก มาจนถึงที่นี่ ท่านฆ่าคนตายกับเอาไฟเผาของหลวงที่เมืองชองจิวเสีย บัดนี้เขาบนจับตัวท่านถึงสามพันตำลึงยังไม่รู้หรือ....."

ลิมชองตกใจปฏิเสธว่าไม่ใช่ตน ชายผู้นั้นก็หัวเราะบอกว่าที่เขียนโคลงไว้นี้หมายถึงผู้ใดเล่า ลิมชองจึงยอมจำนน ถามว่าจะมาจับหรือ ชายผู้นั้นตอบว่าจะจับไปทำไม แล้วก็ชวนกันดื่มสุราต่อไป พร้อมกับบอกว่าถ้าจะไปอยู่ที่เนียซัวเปาะ จะต้องมีผู้ฝากฝังจึงจะอยู่ได้

ลิมชองก็ว่า ชาจินที่ตำบลบ้านเฮงไฮฮู้ มีหนังสือฝากฝังมาแล้ว ชายผู้นั้นจึงว่าชาจินกับนายโจรทั้งสามนั้นชอบพอรักใคร่กันมาก มีหนังสือมาถึงกันมิได้ขาด เพราะชาจินเคยเอื้อเฟื้อเกื้อหนุนเงินทองมีคุณมาแต่ก่อน

ลิมชองก็ลุกขึ้นคำนับถามชื่อแซ่ ชายหนวดเหลืองบอกว่าตนชื่อ จูกุย เป็นชาวบ้านกิจิวกุ้ยเมืองกิจิว เป็นลูกน้องของเฮงหลุน นายใหญ่ให้มาตั้งโรงสุราอยู่ริมฝั่งคอยสืบข่าวคราวผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา ถ้าเป็นพ่อค้าใหญ่มีเงินทองมาก ต้องไปบอกเฮงหลุนให้ยกพวกมาจัดการ ถ้าเดินมาตัวคนเดียวก็เอายาพิษใส่สุราให้กิน จะได้เอาทรัพย์สิ่งของ ถ้าลิมชองไม่ได้ถามถึงเนียซัวเปาะก็คงตายไปแล้ว การจะไปเนียซัวเปาะนั้นต้องมีเรือ แต่เอาไว้พรุ่งนี้เช้าจึงค่อยเดินทาง คืนนี้ค้างอยู่ที่นี่ก่อน

ลิมชองก็ค้างคืนอยู่กับจูกุย พอรุ่งเช้าจูกุยก็เปิดหน้าต่างโรงด้านแม่น้ำ ยิงเกาทัณฑ์ตรงไปที่เกาะ ครู่หนึ่งก็มีเรือแจวจากเกาะมารับ จูกุยก็พาลิมชองลงเรือข้ามไปขึ้นเกาะ แล้วเดินทางผ่านป่าที่มีต้นไม้ใหญ่เรียงรายไปจนถึงด่าน ผ่านด่านไปสามด่านจึงขึ้นไปบนเขาสูงใหญ่ แต่ข้างบนภูเขาเป็นแผ่นดินราบเรียบกว้างใหญ่ มีบ้านเรือนเรียงรายมากมาย

เมื่อถึงสำนักของนายโจรแล้ว ลิมชองก็เข้าไปคำนับ จูกุยเล่าเรื่องราวของลิมชองให้เฮงหลุนทราบ แล้วลิมชองก็เอาหนังสือของชาจินออกมาส่งให้

นายโจรทั้งสามอ่านรู้เรื่องแล้ว เชิญให้ลิมชองนั่งเก้าอี้ถัดไป เฮงหลุนนั้นรู้ว่าลิมชองเป็นครูทหารมีฝีมือเข้มแข็ง ก็ไม่อยากจะรับไว้ กลัวจะแย่งชิงอำนาจในภายหน้า แต่เกรงใจชาจินอยู่จึงแกล้งบอกว่า ที่ตำบลเนียซัวเปาะนี้ ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่มี เสบียงอาหารก็ไม่สมบูรณ์ ไพร่พลก็น้อยฝีมือไม่เข้มแข็ง นานไปคงจะลำบากขอให้ไปหาที่อยู่ใหม่ โดยจะให้เงินทุนไปห้าสิบตำลึง

ลิมชองก็ว่า

"....ข้าพเจ้าอุตส่าห์เดินมาสามิภักดิ์อยู่กับท่าน ก็เพราะชาตัวกัวหนังรู้จักกับท่าน จึงได้มีหนังสือมา ซึ่งตัวข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อดอก ตั้งใจมาอยู่แล้ว ตามแต่ท่านจะใช้ เป็นตายประการใดก็ไม่คิดชีวิต ซึ่งข้าพเจ้ามาครั้งนี้ มิใช่จะเห็นแก่เงินทองสิ่งของเมื่อไร จะมาอยู่กับท่านโดยสุจริตดอก....."

จูกุยจึงว่า

"....พี่ทำดังนั้นไม่ถูก ถึงเสบียงอาหารของเรา เบาบางน้อยลงก็จริง แต่ตำบลบ้านใกล้ ๆ แถวนี้จะไปขอยืมเอาที่ไหนก็ได้ ซึ่งว่าที่คับแคบไม่พออยู่นั้น ไม้ที่จะปลูกเรือนก็มีถมไปพี่อย่าวิตกเลย ซึ่งชาตัวกัวหนังให้ลิมชองมาอยู่ด้วย พี่จะไล่เสียนั้น ถ้ารู้ไปถึงชาตัวกัวหนังแล้วก็จะไม่สู้ดี ด้วยเขามีคุณกับพี่เป็นอันมาก....."

โตวเซียนก็สนับสนุนว่า

".....ซึ่งตำบลเนียซัวเปาะนี้ มิใช่เข้ามาอยู่แต่ลิมชองคนเดียวเมื่อไร ก็คนทั้งหลายเขามาอยู่ถมไป ก็ยังให้เขาอยู่ได้ ถ้าพี่ไม่รับลิมชองไว้ ชาตัวกัวหนังรู้ก็คงจะเคืองว่าพวกเราไม่มีกตัญญูต่อ....."

ซองบานก็อ้อนวอนว่า

"....พี่เห็นแก่หน้าชาตัวกัวหนังเถิด ให้ลิมชองได้เป็นนายว่ากล่าวสิ่งใดบ้างเล็กน้อย อย่าให้คนทั้งหลายนินทาว่า เราไม่กตัญญูต่อผู้มีคุณ คนที่มีฝีมือเข้มแข็งในแผ่นดิน ก็จะได้ไม่ดูหมิ่นหัวเราะได้....."

เฮงหลุนจึงแกล้งพูดว่า

"...ซึ่งลิมชองนั้นอยู่ที่เมืองชองจิว ฆ่าคนตาย เอาไฟเผาของหลวงเสียโทษทัณฑ์มากนัก บัดนี้ลิมชองหนีมาอยู่กับเรา ไม่แจ้งว่าลิมชองจะคิดประการใด หรือลิมชองแต่งกลอุบายมาดูท่าทางพวกเรา แล้วก็จะหนีกลับไปคิดเป็นไส้ศึกนั้นดอกกระมัง....."

ลิมชองก็ยืนยันว่า

".....ข้าพเจ้านี้เกิดมาเป็นชายชาติทหาร ถึงจะทำการอื่น ๆ ไม่ดีประการใด แต่น้ำใจของข้าพเจ้าสัตย์ซื่อ กตัญญูต่อผู้มีคุณยิ่งนัก ถึงจะเอาไปสับแผ่แล่เนื้อประการใดก็ดี ที่จะให้คิดร้ายต่อท่านผู้มีคุณนั้นอย่าหมายเลย ข้าพเจ้านี้ก็มีความผิดติดตัว จึงได้หนีมาสามิภักดิ์อยู่กับท่าน ท่านจะมาระแวงสงสัยข้าพเจ้าดังนี้หาควรไม่....."

เฮงหลุนอยากจะดูฝีมือของลิมชองจึงว่า

".....ถ้าท่านมีใจจะอยู่ด้วยกันจริงแล้ว ก็ต้องเอาชื่อเสียงมาคำนับตามธรรมเนียม จึงจะอยู่ด้วยกันได้..."

ลิมชองก็ให้เอากระดาษกับพู่กันมาจะเขียนชื่อแซ่ให้ จูกุยกลับหัวเราะแล้วว่า

"....ไม่ใช่ให้เขียนแซ่และชื่อดอก ซึ่งธรรมเนียมที่เนียซัวเปาะนี้ ถ้าผู้ใดเข้ามาเป็นพี่น้องพวกพ้อง ก็ต้องไปตัดศีรษะคนมาคำนับในสามวันศีรษะหนึ่ง จึงจะเข้าเป็นพี่น้องพวกพ้องด้วยกันได้...."

ลิมชองรับปากว่าจะหามาให้ได้ เฮงหลุนก็สำทับว่า

"....ถ้าในสามเวลานี้ ไปเที่ยวตัดศีรษะมาคำนับได้จะให้เข้าพวกพ้อง ถ้าพ้นสามวันไปถึงตัดศีรษะมาได้ ก็ไม่ให้เข้าด้วย...."

วันรุ่งขึ้นลิมชองจึงแต่งตัวเหน็บกระบี่ ให้พวกโจรแจวเรือไปส่งฝั่งตรงข้าม คอยซุ่มอยู่ริมทางจนเย็นค่ำ ก็ไม่มีใครผ่านมา จึงกลับที่พักโดยไม่ได้ผล

วันที่สองไปซุ่มอยู่ครึ่งวัน มีผู้คนมาเป็นกลุ่มใหญ่เกือบสามร้อยคน ก็ลงมือไม่ได้อีก พอวันที่สามไปซุ่มทางทิศตะวันออก รออยู่อีกครึ่งวันไม่มีใครผ่านมา คิดว่าจะกลับไปเอาเสื้อผ้าลาเฮงหลุนไปอยู่ที่อื่น พอดีมีคนหาบของเดินมาแต่ผู้เดียว ลิมชองก็ชักกระบี่ออกจากฝัก ตรงเข้าไปจะฆ่า ชายผู้นั้นตกใจวางหาบวิ่งหนีไปไม่คิดชีวิต

ลิมชองจึงให้ลูกน้องโจรที่ไปด้วย เอาหาบทรัพย์สิ่งของไปให้เฮงหลุนก่อน ตนเองจะรออยู่ที่เดิม

ไม่ช้าชายผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ซึ่งเดินถือกระบี่ตามหลังบ่าวก็มาถึง ลิมชองออกจากที่ซ่อนเข้าไปหมายจะฆ่าฟัน แต่ชายผู้นั้นมีฝีมือเข้มแข็ง เข้าสู้รบกันถึงห้าสิบเพลงก็ยังไม่เสียทีแก่กัน ทั้งสองมีฝีมือคล่องแคล่วว่องไวทัดเทียมกัน จึงฟาดฟันกันต่อไปถึงแปดสิบเพลง นายโจรทั้งสามตามมาถึง จึงร้องห้ามให้หยุดสู้รบกันก่อน เพราะมีฝีมือพอกันไม่สามารถจะเอาชนะกันได้

เฮงหลุนแนะนำว่าลิมชองเป็นพี่น้องกันเอง และถามไถ่ชื่อแซ่ของชายผู้นั้นได้ความว่าชื่อ เอียจี้ เคยเป็นขุนนางฝ่ายทหาร รับคำสั่งให้ไปขนศิลาลายจากทะเล เอามาปูพื้นในพระราชวัง แต่เรือโดนพายุล่มศิลาจมน้ำหมด กลัวความผิดจึงหนีไปทำการค้าขายอยู่หัวเมืองอื่น พอได้ข่าวว่ามีรับสั่งโปรดยกโทษให้แล้ว จึงเดินทางจะกลับไปรับราชการ ตามตำแหน่งเดิมที่เมืองหลวง

เฮงหลุนก็ว่าเดิมตนเคยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน พอจะได้ยินชื่อเสียงของเอียจี้อยู่บ้าง จึงชวนไปเสพสุรากินเลี้ยงกันก่อน แล้วจะคืนหาบทรัพย์สมบัติให้

เอียจี้อยากจะรีบเดินทางไป แต่ขัดไม่ได้ จึงตามนายโจรมากินเลี้ยงที่สำนักเขาเนียซัวเปาะ เฮงหลุนก็เกลี้ยกล่อมให้อยู่ด้วยกัน เพื่อจะได้เป็นคู่คานกับลิมชอง แต่เอียจี้ไม่ยินดี ขอหาบทรัพย์สินคืน แล้วค้างอยู่เพียงคืนเดียว รุ่งเช้าก็ขอลากลับไปตามความคิดเดิม

ลิมชองจึงได้เป็นนายโจรลำดับที่สี่ อยู่กับกลุ่มโจรเขาเนียซัวเปาะตั้งแต่บัดนั้น ส่วนภรรยาของลิมชองซึ่งอยู่ที่ตังเกียเมืองหลวงนั้น กอไทอวย ก็ข่มเหงกดขี่จะเอาไปเป็นภรรยากอเงไหล บุตรเลี้ยง จนทนไม่ได้ต้องผูกคอตายไปเสีย

หลังจากนั้นอีกครึ่งปี บิดาของภรรยาก็ตรอมใจตายตามไปอีกคนหนึ่ง

ลิมชอง อดีตอัศวินฝีมือชั้นครูของกองทัพหลวง ก็หมดห่วงในเรื่องครอบครัว เลิกคิดที่จะกลับไปรับราชการ จำใจเป็นนายโจรอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะต่อไปอีกนานจนเป็นหัวหน้าทำการชิงอำนาจจากเฮงหลุน และยกให้ เตียวไก่ และ ซ้องกั๋ง ขึ้นเป็นไต้อ๋องของกองโจรระดับชาตินี้ในเวลาต่อมา.

##########

วารสารกองพลทหารม้าที่ ๑
มกราคม ๒๕๔๐
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่