#ยังอยู่ในโหมดรำลึกความหลังเส้นทางชีวิตที่หักเหให้มาเป็นนักเขียน
ลิขอเล่าให้ฟังนิดหนึ่งนะคะ ถือเป็นความทรงจำอันดีงามบันทึกไว้บนถนนนักเขียนแห่งนี้
ตั้งแต่เล็กจนโต กระทั่งเรียนจบปริญญาตรีมาสองใบ คือ สาธารณสุขศาสตร์กับพยาบาลศาสตร์ ลิไม่เคยสนใจแต่งกลอนหรือเขียนนิยายเรื่องสั้นอะไรทั้งสิ้น มุ่งแต่ศึกษาขยับวิทยฐานะในสายวิชาชีพตัวเองให้สูงขึ้นเท่านั้น
จนเมื่อทำงานครบ 25 ปี จึงได้ลาออกจากราชการ ก่อนอำลาที่ทำงานเพียงสองสามวัน โรงพยาบาลลำพูนก็ได้จัดประกวดเขียนเรื่องสั้นวันสุขภาพจิต ในหัวข้อ "การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่บ้าน" ขึ้น ผอ. รพ.สต. (หัวหน้าสถานีนามัย เดิม) จึงขอให้เขียนงานที่ลิรับผิดชอบส่งประกวดด้วย ซึ่งปรากฏว่าได้รับรางวัลชนะเลิศ แต่ตอนประกาศผลตัวเองได้ออกมาอยู่บ้านเสียแล้ว หัวหน้าจึงขึ้นไปรับรางวัลแทนค่ะ นั่นเป็นแรงบันดาลใจและงานเขียนชิ้นแรกที่ทำให้ลินึกอยากเขียนนิยายขึ้นมา จึงขอนำงานชิ้นนี้มาวางให้อ่านกันนะคะ#
ฉันจะรักเธอจนวันตาย
ที่นี่ชาวบ้านจะเรียกเจ้าหน้าที่ในสถานีอนามัยทุกคนว่าหมอ ฉันจึงเป็นหมอที่ไม่ใช่แพทย์เหมือนอย่างในความหมายของศัพท์เป็นทางการที่ใช้เรียกขานกัน คนไข้ของฉันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นคนไทยผู้ด้อยโอกาสและยากจน มีบางส่วนเป็นชาวต่างชาติที่ถือบัตรแรงงานต่างด้าวอย่างถูกต้องตามกฎหมายบ้าง ไม่มีบ้าง บางคนยังพูดภาษาไทยไม่ได้แม้สักคำก็มี พวกเขาอาจสามารถหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลกฎหมายบ้านเมืองได้ แต่พวกเขาไม่อาจรอดพ้นจากการเจ็บไข้ได้ป่วยไปได้เลย จึงเป็นภาวะจำยอมที่หมอบ้านนอกอย่างฉันต้องทำหน้าที่ตรวจรักษาคนไข้เหล่านี้เพื่อมนุษยธรรม
“ เมียอ้ายคำปันใกล้จะต๋ายนักแกแล้วเน้อ หมอ” (เมียพี่คำปันใกล้จะตายเต็มทีแล้วนะ หมอ)
เด็กสาวหน้าตาหมดจดเชื้อชาติพม่า อายุยี่สิบต้น ๆ ที่ทำงานอยู่ในโรงงานค้าของเก่าภายในหมู่บ้านซึ่งอยู่ในเขตรับผิดชอบของสถานีอนามัย ช่วยแจ้งข่าวให้ฉันทราบหลังจากได้รับยารักษาอาการไข้หวัดที่เธอเป็นอยู่เรียบร้อยแล้ว
“ป้าแว่นแก้วนั่นน่ะเหรอ อืม ขอบใจหล้ามากนะที่บอก เดี๋ยวหมอจะหาเวลาออกไปเยี่ยมแกที่บ้านจ้ะ”
ฉันนึกถึงใบหน้าเฉยชา ไม่ค่อยยอมพูดจาของผู้ป่วยที่ฉันแวะเวียนไปเยี่ยมที่บ้านสองสามครั้งแล้ว ป้าแว่นแก้วเป็นหญิงวัยห้าสิบห้าปี ผู้ป่วยมะเร็งในสมองระยะสุดท้าย เชื้อมะเร็งร้ายได้ลุกลามไปทั่วอวัยวะภายในของแก ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดศรีษะและคลื่นไส้อาเจียนตลอดเวลา หนำซ้ำตาทั้งสองข้างยังสู้แสงสว่างไม่ได้ แกจึงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ภายในห้องมืด ๆ ไม่สามารถเปิดประตู หน้าต่างให้แสงสว่างและอากาศถ่ายเทได้โดยสะดวก ห้องนั้นจึงทั้งอับทั้งทึบ จนครั้งแรกที่ฉันเข้าไปเยี่ยมแกที่บ้าน เมื่อกลับมาถึงสถานีอนามัยฉันถึงกับมีอาการวิงเวียน รู้สึกจะเป็นลมเอา
สำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ทางการแพทย์สมัยใหม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยระยะ End Stage นั้น มักต้องกลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน และในเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถลุกขึ้นนั่งเองได้แถมยังต้องหลับตาอยู่ตลอดเวลา การดูแลผู้ป่วยจึงตกเป็นหน้าที่ของพี่คำปัน สามีผู้อ่อนวัยกว่าของป้าแว่นแก้วถึงสิบปี ซึ่งต้องรับหน้าที่ดูแลทุกอย่าง ทั้งป้อนข้าวป้อนน้ำ อาบน้ำแต่งตัวตลอดจนเป็นเพื่อนคุยคอยปลอบใจ แต่พี่คำปันยังไม่ยอมหมดหวัง เขาพยายามหาวิธีรักษาภรรยาด้วยการประกอบพิธีตามความเชื่อ ทั้งไหว้ผี ไปดูหมอดูเมื่อ ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ รวมทั้งรักษาด้วยหมอแผนโบราณในหมู่บ้าน ด้วยหวังให้ภรรยามีอาการดีขึ้น แต่ถึงกระนั้นอาการผู้ป่วยก็ไม่กระเตื้องขึ้นเลย แต่ในเมื่อต้องพาพี่แว่นแก้วออกจากโรงพยาบาลมา เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป จึงหันหน้ามาหาที่พึ่งสุดท้ายก็คือหมอจากสถานีอนามัย
“ผมมาขอวัดความดัน มันรู้สึกมึน ๆ หัวชอบกล”
ฉันมองเห็นถึงความเหนื่อยล้าในแววตาคู่นั้น รู้สึกว่าอาการเจ็บป่วยครั้งนี้ของเขาอาจมีสาเหตุทางด้านจิตใจร่วมด้วย เมื่อทำการวัดสัญญาณชีพดูก็พบว่าค่าความดันโลหิตของเขาสูงผิดปกติ
“ความดันมี 150/100 สูงไปนิด พี่ไม่เคยมีประวัติความดันสูงมาก่อนนี่ มีกรรมพันธุ์หรือเปล่า” เขาสั่นศรีษะ
“ไม่มีครับ แต่ช่วงนี้ผมรู้สึกเครียดเพราะต้องดูแลเมียแทบไม่ได้พักเลย”
“ความดันโลหิตที่สูงขึ้นอาจมาจากสาเหตุนี้ก็ได้ อาจจะยังไม่ใช่เป็นโรคความดันสูง งั้นหมอขอนัดมาดูอาการอีกประมาณสองอาทิตย์นะคะ ระหว่างนี้ ขอหมอไปเยี่ยมพี่กับแฟนที่บ้านอีกครั้งจะได้ไหม”
ที่ฉันจำเป็นต้องถาม เพราะจากการไปเยี่ยมครั้งล่าสุด มีปฏิกิริยาบางอย่างของพี่แว่นแก้วที่ทำให้นึกเอะใจว่าเธออาจไม่ชอบใจ พี่คำปันนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกกับฉันว่า
“บอกหมอตามตรงนะครับ เมียผมเขากลัวตายมาก”
ฉันเริ่มเข้าใจอะไรได้ลางๆ จึงพยักหน้าให้เขาเล่าต่อ พี่คำปันเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า พี่แว่นแก้วไม่ชอบให้ใครไปเยี่ยมเพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองป่วยหนัก เธอกลัวความตายจะมาพรากเธอไปจากสามีอันเป็นที่รัก ส่วนตัวพี่คำปันนั้นก็รักภรรยามากเช่นเดียวกัน ทั้งคู่อยู่กินกันมาถึงสามสิบปีอย่างมีความสุข ถึงแม้ไม่มีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่จะมาทำให้ความรักจืดจางลง
“พี่เคยบอกพี่แว่นแก้วไหมว่าพี่ก็รักเขามาก และจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปเหมือนอย่างที่บอกกับหมอ” ฉันถามเมื่อเขาเล่าจบลง พี่คำปันสั่นหน้าอีกครั้ง ท่าทางเหมือนจะอายซึ่งฉันเข้าใจดี คนบ้านนอกอย่างเรามักเป็นแบบนี้ ไม่ค่อยบอกรักกันพร่ำเพรื่อ ไม่นิยมแสดงความรักต่อกันแบบประเจิดประเจ้อ ตกลงวันนั้นฉันได้ให้คำแนะนำเขาไปหลายอย่าง ส่วนมากเน้นบอกการดูแลทางด้านจิตใจ นอกเหนือจากทางร่างกายที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว สอนวิธีดูแลจิตใจคนไข้และดูแลจิตใจตัวเองด้วย และอีกสองวันต่อมาฉันจึงออกไปเยี่ยมพี่แว่นแก้วอีกครั้ง
“พี่เป็นยังไงบ้างจ๊ะวันนี้ เหงาหรือเปล่า”
“ก็งั้น ๆ แหละ เหมือนทุกวัน เรื่องเหงามันก็มีบ้าง”
คนป่วยตอบโดยนอนหันหน้าเข้าข้างฝาเหมือนทุกครั้งที่มาเยี่ยม ถามคำตอบคำ ทำท่าเหมือนไม่อยากพูดด้วย ฉันเองแทบจนใจไม่รู้จะชวนคุยหรือช่วยเหลืออะไรดี
“อยากได้คนมาคุยให้หายเหงาบ้างไหม เดี๋ยวหมอจะให้ อสม. ที่รับผิดชอบละแวกนี้มาเที่ยวหาบ่อยๆตอนที่พี่คำปันไม่อยู่ พี่จะได้มีเพื่อนคุยหรือเผื่อต้องการความช่วยเหลืออะไร”
วันนั้นพี่แว่นแก้วเพียงพยักหน้ารับ แกทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“หมอครับ วันนี้ผมย้ายแฟนผมออกมาข้างนอกห้องแล้ว”
สามวันต่อมาพี่คำปันมาหาฉันที่สถานีอนามัยด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
“อ้าว...แกไม่แสบตาแล้วเหรอ”
“ยังแสบอยู่ครับ แต่พอจะหันหน้าออกจากฝาห้องได้บ้างแล้ว อสม. ผลัดกันมาเยี่ยม รู้สึกว่าแกดูสดชื่นขึ้น พูดกับผมมากขึ้นครับ เอ่อ...ผมได้บอกเขาอย่างที่หมอแนะนำด้วยนะครับ” พี่คำปันยิ้มอาย ๆ กับประโยคท้าย ฉันยิ้มตอบ ตบบ่าเขาเบา ๆ
“การบอกรักคนที่เรารักไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอก กลับจะเป็นกำลังใจให้เขาต่างหากจ้ะ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวหมอจะประสานกับท่านพระครูเรื่องไปเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง จะชวนทีมเยี่ยมบ้านของเทศบาลไปด้วย”
“โอ๊ะ...หมอครับอย่าพึ่งเลยครับ แฟนผมยังไม่อยากให้พระมาเยี่ยม เขาถือครับว่ามันเหมือนแช่ง เหมือนเขาใกล้จะตาย”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ...ไม่เป็นไร งั้นเรื่องนั้นหยุดพักไว้ก่อน แต่หมอคิดว่าพี่แว่นแก้วยังมีอะไรที่อยากจะคุยกับหมออีก ไว้หมอจะไปหาแกวันหลังนะจ้ะ”
เป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ พี่แว่นแก้วมีห่วงอยู่ในใจก็คือห่วงสามี หลังจากเทียวไปเยี่ยมเยียนบ่อยเข้าแกถึงไว้ใจ ยอมบอกความในใจ พี่แว่นแก้วพร่ำถามฉันถึงอาการความดันโลหิตสูงของสามี เมื่อฉันอธิบายให้แกเข้าใจถึงข้อเท็จจริงของโรคนี้อย่างละเอียดแล้ว ก็ดูเหมือนแกจะพอใจและมีท่าทีที่สงบลง
“ฝากดูแลแฟนพี่ด้วยนะหมอ อย่าให้เขาป่วยเป็นอะไรมาก สำหรับตัวพี่เองรู้ตัวดีว่าคงเหลือเวลาอีกไม่นาน พี่รู้สึกขอบคุณเขาที่ดูแลพี่อย่างดี”
ฉันรับฟังพร้อมให้คำมั่น และเช่นเดียวกันกับคนเป็นสามี ฉันแนะนำให้พี่แว่นแก้วบอกทุกอย่างที่ต้องการจะบอกกับเขา ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังค้างคาใจ...เพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบและมีศักดิ์ศรี
เสียงเพลงปราสาทไหวในท่วงทำนองของเพลงพื้นเมืองอันเยือกเย็นเศร้าสร้อยในงานศพของพี่แว่นแก้วดังแว่วมา ฉันกับหัวหน้าสถานีอนามัยยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้ดวงวิญญาณพี่แว่นแก้วอยู่หน้าปราสาทสีสดใสที่มีโลงศพประดับด้วยดอกไม้สดบรรจุอยู่ ได้เห็นน้ำตาของผู้สูญเสียและเข้าใจดีถึงความเศร้าโศกนั้น บางครั้งคนเราก็ทำใจทัน แต่บางครั้งมันก็เกิดขึ้นกระทันหันจนไม่ทันตั้งตัว พี่คำปันมีดวงตาแดงก่ำแต่ยังฝืนยิ้มเศร้า ๆ ต้อนรับเรา
“เขาไปสบายแล้วครับหมอ ผมเองก็ได้ทำทุกอย่างเพื่อคนที่ผมรักเต็มที่จนถึงที่สุดแล้ว”
ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง เหมือนดวงวิญญาณภรรยาอันเป็นที่รักจะรับรู้ทุกการกระทำและคำพูดนั้น ที่มีความหมายว่า
“ ฉันจะรักเธอจนวันตาย ”
จบ
แถมภาพวันงานแสดงมุทิตาจิตที่ชาวบ้านช่วยกันจัดให้ลิค่ะ นึกถึงน้ำใจพวกเขาทีไรน้ำตาซึมทีเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

"ฉันจะรักเธอจนตาย"...ก่อนมาเป็น ล. วิลิศมาหรา
ลิขอเล่าให้ฟังนิดหนึ่งนะคะ ถือเป็นความทรงจำอันดีงามบันทึกไว้บนถนนนักเขียนแห่งนี้
ตั้งแต่เล็กจนโต กระทั่งเรียนจบปริญญาตรีมาสองใบ คือ สาธารณสุขศาสตร์กับพยาบาลศาสตร์ ลิไม่เคยสนใจแต่งกลอนหรือเขียนนิยายเรื่องสั้นอะไรทั้งสิ้น มุ่งแต่ศึกษาขยับวิทยฐานะในสายวิชาชีพตัวเองให้สูงขึ้นเท่านั้น
จนเมื่อทำงานครบ 25 ปี จึงได้ลาออกจากราชการ ก่อนอำลาที่ทำงานเพียงสองสามวัน โรงพยาบาลลำพูนก็ได้จัดประกวดเขียนเรื่องสั้นวันสุขภาพจิต ในหัวข้อ "การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่บ้าน" ขึ้น ผอ. รพ.สต. (หัวหน้าสถานีนามัย เดิม) จึงขอให้เขียนงานที่ลิรับผิดชอบส่งประกวดด้วย ซึ่งปรากฏว่าได้รับรางวัลชนะเลิศ แต่ตอนประกาศผลตัวเองได้ออกมาอยู่บ้านเสียแล้ว หัวหน้าจึงขึ้นไปรับรางวัลแทนค่ะ นั่นเป็นแรงบันดาลใจและงานเขียนชิ้นแรกที่ทำให้ลินึกอยากเขียนนิยายขึ้นมา จึงขอนำงานชิ้นนี้มาวางให้อ่านกันนะคะ#
ที่นี่ชาวบ้านจะเรียกเจ้าหน้าที่ในสถานีอนามัยทุกคนว่าหมอ ฉันจึงเป็นหมอที่ไม่ใช่แพทย์เหมือนอย่างในความหมายของศัพท์เป็นทางการที่ใช้เรียกขานกัน คนไข้ของฉันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นคนไทยผู้ด้อยโอกาสและยากจน มีบางส่วนเป็นชาวต่างชาติที่ถือบัตรแรงงานต่างด้าวอย่างถูกต้องตามกฎหมายบ้าง ไม่มีบ้าง บางคนยังพูดภาษาไทยไม่ได้แม้สักคำก็มี พวกเขาอาจสามารถหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลกฎหมายบ้านเมืองได้ แต่พวกเขาไม่อาจรอดพ้นจากการเจ็บไข้ได้ป่วยไปได้เลย จึงเป็นภาวะจำยอมที่หมอบ้านนอกอย่างฉันต้องทำหน้าที่ตรวจรักษาคนไข้เหล่านี้เพื่อมนุษยธรรม
“ เมียอ้ายคำปันใกล้จะต๋ายนักแกแล้วเน้อ หมอ” (เมียพี่คำปันใกล้จะตายเต็มทีแล้วนะ หมอ)
เด็กสาวหน้าตาหมดจดเชื้อชาติพม่า อายุยี่สิบต้น ๆ ที่ทำงานอยู่ในโรงงานค้าของเก่าภายในหมู่บ้านซึ่งอยู่ในเขตรับผิดชอบของสถานีอนามัย ช่วยแจ้งข่าวให้ฉันทราบหลังจากได้รับยารักษาอาการไข้หวัดที่เธอเป็นอยู่เรียบร้อยแล้ว
“ป้าแว่นแก้วนั่นน่ะเหรอ อืม ขอบใจหล้ามากนะที่บอก เดี๋ยวหมอจะหาเวลาออกไปเยี่ยมแกที่บ้านจ้ะ”
ฉันนึกถึงใบหน้าเฉยชา ไม่ค่อยยอมพูดจาของผู้ป่วยที่ฉันแวะเวียนไปเยี่ยมที่บ้านสองสามครั้งแล้ว ป้าแว่นแก้วเป็นหญิงวัยห้าสิบห้าปี ผู้ป่วยมะเร็งในสมองระยะสุดท้าย เชื้อมะเร็งร้ายได้ลุกลามไปทั่วอวัยวะภายในของแก ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดศรีษะและคลื่นไส้อาเจียนตลอดเวลา หนำซ้ำตาทั้งสองข้างยังสู้แสงสว่างไม่ได้ แกจึงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ภายในห้องมืด ๆ ไม่สามารถเปิดประตู หน้าต่างให้แสงสว่างและอากาศถ่ายเทได้โดยสะดวก ห้องนั้นจึงทั้งอับทั้งทึบ จนครั้งแรกที่ฉันเข้าไปเยี่ยมแกที่บ้าน เมื่อกลับมาถึงสถานีอนามัยฉันถึงกับมีอาการวิงเวียน รู้สึกจะเป็นลมเอา
สำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ทางการแพทย์สมัยใหม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยระยะ End Stage นั้น มักต้องกลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน และในเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถลุกขึ้นนั่งเองได้แถมยังต้องหลับตาอยู่ตลอดเวลา การดูแลผู้ป่วยจึงตกเป็นหน้าที่ของพี่คำปัน สามีผู้อ่อนวัยกว่าของป้าแว่นแก้วถึงสิบปี ซึ่งต้องรับหน้าที่ดูแลทุกอย่าง ทั้งป้อนข้าวป้อนน้ำ อาบน้ำแต่งตัวตลอดจนเป็นเพื่อนคุยคอยปลอบใจ แต่พี่คำปันยังไม่ยอมหมดหวัง เขาพยายามหาวิธีรักษาภรรยาด้วยการประกอบพิธีตามความเชื่อ ทั้งไหว้ผี ไปดูหมอดูเมื่อ ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ รวมทั้งรักษาด้วยหมอแผนโบราณในหมู่บ้าน ด้วยหวังให้ภรรยามีอาการดีขึ้น แต่ถึงกระนั้นอาการผู้ป่วยก็ไม่กระเตื้องขึ้นเลย แต่ในเมื่อต้องพาพี่แว่นแก้วออกจากโรงพยาบาลมา เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป จึงหันหน้ามาหาที่พึ่งสุดท้ายก็คือหมอจากสถานีอนามัย
“ผมมาขอวัดความดัน มันรู้สึกมึน ๆ หัวชอบกล”
ฉันมองเห็นถึงความเหนื่อยล้าในแววตาคู่นั้น รู้สึกว่าอาการเจ็บป่วยครั้งนี้ของเขาอาจมีสาเหตุทางด้านจิตใจร่วมด้วย เมื่อทำการวัดสัญญาณชีพดูก็พบว่าค่าความดันโลหิตของเขาสูงผิดปกติ
“ความดันมี 150/100 สูงไปนิด พี่ไม่เคยมีประวัติความดันสูงมาก่อนนี่ มีกรรมพันธุ์หรือเปล่า” เขาสั่นศรีษะ
“ไม่มีครับ แต่ช่วงนี้ผมรู้สึกเครียดเพราะต้องดูแลเมียแทบไม่ได้พักเลย”
“ความดันโลหิตที่สูงขึ้นอาจมาจากสาเหตุนี้ก็ได้ อาจจะยังไม่ใช่เป็นโรคความดันสูง งั้นหมอขอนัดมาดูอาการอีกประมาณสองอาทิตย์นะคะ ระหว่างนี้ ขอหมอไปเยี่ยมพี่กับแฟนที่บ้านอีกครั้งจะได้ไหม”
ที่ฉันจำเป็นต้องถาม เพราะจากการไปเยี่ยมครั้งล่าสุด มีปฏิกิริยาบางอย่างของพี่แว่นแก้วที่ทำให้นึกเอะใจว่าเธออาจไม่ชอบใจ พี่คำปันนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกกับฉันว่า
“บอกหมอตามตรงนะครับ เมียผมเขากลัวตายมาก”
ฉันเริ่มเข้าใจอะไรได้ลางๆ จึงพยักหน้าให้เขาเล่าต่อ พี่คำปันเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า พี่แว่นแก้วไม่ชอบให้ใครไปเยี่ยมเพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองป่วยหนัก เธอกลัวความตายจะมาพรากเธอไปจากสามีอันเป็นที่รัก ส่วนตัวพี่คำปันนั้นก็รักภรรยามากเช่นเดียวกัน ทั้งคู่อยู่กินกันมาถึงสามสิบปีอย่างมีความสุข ถึงแม้ไม่มีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่จะมาทำให้ความรักจืดจางลง
“พี่เคยบอกพี่แว่นแก้วไหมว่าพี่ก็รักเขามาก และจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปเหมือนอย่างที่บอกกับหมอ” ฉันถามเมื่อเขาเล่าจบลง พี่คำปันสั่นหน้าอีกครั้ง ท่าทางเหมือนจะอายซึ่งฉันเข้าใจดี คนบ้านนอกอย่างเรามักเป็นแบบนี้ ไม่ค่อยบอกรักกันพร่ำเพรื่อ ไม่นิยมแสดงความรักต่อกันแบบประเจิดประเจ้อ ตกลงวันนั้นฉันได้ให้คำแนะนำเขาไปหลายอย่าง ส่วนมากเน้นบอกการดูแลทางด้านจิตใจ นอกเหนือจากทางร่างกายที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว สอนวิธีดูแลจิตใจคนไข้และดูแลจิตใจตัวเองด้วย และอีกสองวันต่อมาฉันจึงออกไปเยี่ยมพี่แว่นแก้วอีกครั้ง
“พี่เป็นยังไงบ้างจ๊ะวันนี้ เหงาหรือเปล่า”
“ก็งั้น ๆ แหละ เหมือนทุกวัน เรื่องเหงามันก็มีบ้าง”
คนป่วยตอบโดยนอนหันหน้าเข้าข้างฝาเหมือนทุกครั้งที่มาเยี่ยม ถามคำตอบคำ ทำท่าเหมือนไม่อยากพูดด้วย ฉันเองแทบจนใจไม่รู้จะชวนคุยหรือช่วยเหลืออะไรดี
“อยากได้คนมาคุยให้หายเหงาบ้างไหม เดี๋ยวหมอจะให้ อสม. ที่รับผิดชอบละแวกนี้มาเที่ยวหาบ่อยๆตอนที่พี่คำปันไม่อยู่ พี่จะได้มีเพื่อนคุยหรือเผื่อต้องการความช่วยเหลืออะไร”
วันนั้นพี่แว่นแก้วเพียงพยักหน้ารับ แกทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“หมอครับ วันนี้ผมย้ายแฟนผมออกมาข้างนอกห้องแล้ว”
สามวันต่อมาพี่คำปันมาหาฉันที่สถานีอนามัยด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
“อ้าว...แกไม่แสบตาแล้วเหรอ”
“ยังแสบอยู่ครับ แต่พอจะหันหน้าออกจากฝาห้องได้บ้างแล้ว อสม. ผลัดกันมาเยี่ยม รู้สึกว่าแกดูสดชื่นขึ้น พูดกับผมมากขึ้นครับ เอ่อ...ผมได้บอกเขาอย่างที่หมอแนะนำด้วยนะครับ” พี่คำปันยิ้มอาย ๆ กับประโยคท้าย ฉันยิ้มตอบ ตบบ่าเขาเบา ๆ
“การบอกรักคนที่เรารักไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอก กลับจะเป็นกำลังใจให้เขาต่างหากจ้ะ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวหมอจะประสานกับท่านพระครูเรื่องไปเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง จะชวนทีมเยี่ยมบ้านของเทศบาลไปด้วย”
“โอ๊ะ...หมอครับอย่าพึ่งเลยครับ แฟนผมยังไม่อยากให้พระมาเยี่ยม เขาถือครับว่ามันเหมือนแช่ง เหมือนเขาใกล้จะตาย”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ...ไม่เป็นไร งั้นเรื่องนั้นหยุดพักไว้ก่อน แต่หมอคิดว่าพี่แว่นแก้วยังมีอะไรที่อยากจะคุยกับหมออีก ไว้หมอจะไปหาแกวันหลังนะจ้ะ”
เป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ พี่แว่นแก้วมีห่วงอยู่ในใจก็คือห่วงสามี หลังจากเทียวไปเยี่ยมเยียนบ่อยเข้าแกถึงไว้ใจ ยอมบอกความในใจ พี่แว่นแก้วพร่ำถามฉันถึงอาการความดันโลหิตสูงของสามี เมื่อฉันอธิบายให้แกเข้าใจถึงข้อเท็จจริงของโรคนี้อย่างละเอียดแล้ว ก็ดูเหมือนแกจะพอใจและมีท่าทีที่สงบลง
“ฝากดูแลแฟนพี่ด้วยนะหมอ อย่าให้เขาป่วยเป็นอะไรมาก สำหรับตัวพี่เองรู้ตัวดีว่าคงเหลือเวลาอีกไม่นาน พี่รู้สึกขอบคุณเขาที่ดูแลพี่อย่างดี”
ฉันรับฟังพร้อมให้คำมั่น และเช่นเดียวกันกับคนเป็นสามี ฉันแนะนำให้พี่แว่นแก้วบอกทุกอย่างที่ต้องการจะบอกกับเขา ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังค้างคาใจ...เพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบและมีศักดิ์ศรี
เสียงเพลงปราสาทไหวในท่วงทำนองของเพลงพื้นเมืองอันเยือกเย็นเศร้าสร้อยในงานศพของพี่แว่นแก้วดังแว่วมา ฉันกับหัวหน้าสถานีอนามัยยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้ดวงวิญญาณพี่แว่นแก้วอยู่หน้าปราสาทสีสดใสที่มีโลงศพประดับด้วยดอกไม้สดบรรจุอยู่ ได้เห็นน้ำตาของผู้สูญเสียและเข้าใจดีถึงความเศร้าโศกนั้น บางครั้งคนเราก็ทำใจทัน แต่บางครั้งมันก็เกิดขึ้นกระทันหันจนไม่ทันตั้งตัว พี่คำปันมีดวงตาแดงก่ำแต่ยังฝืนยิ้มเศร้า ๆ ต้อนรับเรา
“เขาไปสบายแล้วครับหมอ ผมเองก็ได้ทำทุกอย่างเพื่อคนที่ผมรักเต็มที่จนถึงที่สุดแล้ว”
ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง เหมือนดวงวิญญาณภรรยาอันเป็นที่รักจะรับรู้ทุกการกระทำและคำพูดนั้น ที่มีความหมายว่า“ ฉันจะรักเธอจนวันตาย ”
แถมภาพวันงานแสดงมุทิตาจิตที่ชาวบ้านช่วยกันจัดให้ลิค่ะ นึกถึงน้ำใจพวกเขาทีไรน้ำตาซึมทีเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้