"เมื่อความชอบพาใจ..ไปเจอกาญจน์"

เราเป็นคนนึง ที่เคยเชื่อว่ารักแท้ 'มันไม่มีจริง'
ผู้ชายวัย 30+ ที่ทำแต่งาน โสดมานาน 5 ปี
โดนบอกเลิกด้วยคำว่าดีเกินไปแทบจะทุกครั้ง
มันคงน่าเบื่อล่ะมั้ง ชีวิตที่ไม่มีสีสัน ไม่กินเหล้า
ไม่สูบบุหรี่ ไม่ชอบปาร์ตี้ มีเล่นไพ่กับเพื่อนบ้าง
เวลาไปเที่ยวเป็นกลุ่มๆ แต่ก็ไม่บ่อย เท่าที่มีวันหยุด

จนเริ่มคิดว่าตัวเองคงเกิดมาเพื่ออยู่คนเดียว
เลิกมองหา เลิกตามหา ใช้ชีวิตอิสระ
วันธรรมดาทำงาน วันหยุดเที่ยวต่างจังหวัด
เพราะเราชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป การเที่ยวหลายๆครั้ง
ทำให้เราสัมผัสได้ว่า คนที่รักธรรมชาติ ชอบท่องเที่ยว
ส่วนมากอัธยาศัยดี มิตรภาพดีๆ เริ่มต้นที่การเดินทางว่ามะ

เราสิงตามกลุ่มท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ จนไปเจอกลุ่มนึงที่เรา
คิดว่ามันเข้ากับเรา ไม่ได้เที่ยวแบบหรูหรา ไปรถส่วนตัว
ขึ้นรถทัวร์ โบกรถข้างทาง บางคนรถไฟ ส่องคนอื่นอยู่นาน
จนกล้ารีวิวของตัวเอง ผ่านไปสามวัน ก็มีนิวฟีดเด้งเตือนขึ้นมา
ว่ามีสมาชิกในกลุ่มตั้งโพสต์ใหม่ ปกติไม่เคยกดเข้าไปดูเลยนะ
รอว่างจริงๆถึงดู แต่สะดุดตาตรงหน้าคนโพสต์เนี่ยแหล่ะ
ที่เห็นแล้วมันเกิดความรู้สึกบางอย่าง เอาเป็นว่าชอบนั่นแหล่ะ


แค่สเตตัสคำถาม


ครั้งแรกที่เรารู้จักกันผ่านตัวอักษร



ไปส่องเฟสเค้าอยู่หลายวัน กดไลท์รูปที่เปิดเป็นสาธารณะบ้าง
เช็คจนแน่ใจว่าเค้าโสดจึงกล้าแอดเฟรนด์ไป เค้ากดรับเร็วมากกกก
แต่เราก็ไม่ได้ทักไปคุยอะไร เพราะความกลัวส่วนตัว เบื่อกับการเริ่มใหม่
เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนถึงวันที่เป็นข่าวเศร้าของคนไทยทั้งประเทศ
ณ. เวลานั้นคนที่อยากคุยด้วยมีแค่เค้าคนเดียว เราคุยกันมาเรื่อยๆ
เรามีหลายๆอย่างคล้ายกัน ทัศนคติ มุมมองในเรื่องของความรัก
เราเคยพยายามเปลี่ยนคนที่เรารักให้ดีกว่าเดิม แต่ก็โดนทำร้ายทุกครั้ง
ให้อภัยเค้าทุกครั้ง จนวันนึงถึงจุดที่เราเริ่มรักตัวเอง เราทั้งคู่เดินออกมา
จากตรงนั้นได้ และตัดสินใจที่จะอยู่คนเดียว และทำอะไรคนเดียว

จากแค่ในอินบ็อกกลายเป็นคุยไลน์แทบจะทั้งวัน จนเราสงสัยว่า
ทำงานแบงค์มันมีเวลาว่างขนาดนั้นเลยหรา สำหรับเราไม่มีปัญหา
เพราะมันเป็นธุรกิจส่วนตัว ซึ่งค่อนข้างมีเวลาว่าง แล้วเมื่อเรามั่นใจ
ว่าเราจริงจังกับเค้านะ เราก็สารภาพออกไป แต่คำตอบที่ได้คือ
"หรา" "อืม" เรารู้ตัวว่าเราพลาดละ มันคงเร็วไป ไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำ
เราวัดใจครั้งสุดท้าย บอกเค้าไปว่า "ถ้ารู้สึกเหมือนกัน ขอเบอร์ได้มั้ย"
เราอยากคุยด้วย แล้วเค้าก็ให้เบอร์มา เค้าบอกเราว่า "ที่หนูคุยกับพี่
เพราะพี่เป็นคนเดียวที่แอดมา แล้วไม่เคยมาจีบหนูเลย คนอื่นๆ
แรกๆก็ชวนคุยเรื่องสถานที่เที่ยว พอเริ่มจีบ หนูก็ไม่อยากคุยแล้ว แต่กับพี่มัน
ไม่เหมือนกัน หนูรู้สึกว่าอยากคุยกับพี่ เราเข้ากันได้ทุกเรื่อง สบายใจ
ทุกครั้งที่คุยกัน"

หลังจากวันนั้นเราเริ่มเปิดใจกันมากขึ้น แค่คุยกันมันเริ่มไม่พอ
ด้วยระยะทางและเวลาบางครั้งไม่ตรงกัน และในใจลึกๆ เรายังกลัวที่เริ่มมัน
"อยากเจอพี่แล้วอ่ะ" คือประโยคในคืนหนึ่งที่เค้าเปรยๆมา
"งั้นเจอกันมั้ย" เรารีบตอบสิ่งที่อยู่ในใจเราออกไปทันที
คุยกันอยู่หลายวัน ก็ยังสรุปที่เที่ยวไม่ได้สักที จนมาเจอกระทู้นึงในพันทิป
ที่บ้านกกกอดกาญจน์
"ไปที่นี่มั้ย"
"อยากไปอ่าาาา" เสียงเค้าดูตื่นเต้นมาก
"พี่รู้มั้ย หนูอยากไปที่นี่มาก แต่หนูไม่กล้าบอก มันดูไม่ดีสำหรับเจอกันครั้งแรก"
"ไว้ใจพี่มั้ยอ่ะ พี่ว่าพี่มั่นใจตัวเองนะ"
"หนูไว้ใจนะ จากที่อ่านที่พี่รีวิว พาคนอื่นไปพักใจมา" (มีแอบแขวะนิดหน่อย)
"งั้นเอาที่นี่เนอะ"
"อื้อๆ"

เราจองตอนเดือนพฤศจิกา 59 แต่ได้ที่พักเดือนกุมภา 60
มันนานมากสำหรับคนที่อยากเจอ ณ.ตอนนั้น ทุกๆคืน
เราจะมีคำถามว่า เจอกันก่อนมั้ย คิดถึงแล้ว แต่เราก็จะเลี่ยงตลอด
เพราะอยากให้การเจอกันครั้งแรกมันพิเศษจริงๆ ในใจคิดว่า
ถ้าเค้าเจอเราแล้วเค้าไม่ชอบ บรรยากาศมันอาจจะช่วยก็ได้ 555
แต่ชีวิตไม่มีอะไรแน่นนอน สุดท้ายก็ต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้เรา
ได้เจอกันก่อน โดยไม่ได้นัด ไม่มีการเตรียมตัวอะไรทั้งสิ้น
แต่ข้ามมันไปดีกว่า ถ้าเล่า กระทู้คงยาวเกินไป

11 กุมภา 60 เริ่มออกเดินทาง ถึงจะเจอกันก่อนหน้านี้แล้ว
แต่เรายังตื่นเต้น และหัวใจเต้นแรงเสมอ เวลามีเค้าอยู่ใกล้ๆ
ความน่ารัก ความทะเล้น ความขี้เล่นของเค้า มันเป็นเค้าจริงๆ
ไม่มีอะไรที่เฟคเลย เวลา 4-5 ชั่วโมงในรถ มันเป็นความสุข
ความสนุกสนานที่ไม่มีเบื่อ เราชอบร้องเพลง แต่ไม่เคยจำเนื้อได้
เวลาผิดก็จะโดนด่าว่ามั่วอีกละ แล้วเค้าก็ร้องน้องเนื้อที่ถูกให้ฟัง
เค้าเคยเป็นดีเจคลื่นวิทยุ เคยร้องเพลงตามงานแต่ง ไม่แปลกที่เค้า
จะร้องได้ทุกเพลงที่เราเปิด แต่พอเรามอง เค้าก็จะหยุดแล้วเอาหน้าไป
แอบในผ้าห่ม เค้าติดผ้าห่ม นั่งรถต้องมีอ่ะ ไปถึงบ้านกกกอดตอน
บ่ายโมงครึ่ง พี่ๆแม่บ้านกำลัวทำความสะอาด ทุกคนดูอัธยาศัยดี
ยิ้มแย้ม แถมชวนให้กินน้ำสีแดง หวานๆ จำชื่อไม่ได้ แต่อร่อยดี
เดินสำรวจรอบๆรีสอร์ทเพื่อฆ่าเวลาครับ


ทางเดินไม้หน้าห้องพักของเรา ตอนตีสองมีคนเดินไปห้องน้ำดังกรอบแกรบๆ ได้บรรยากาศ


นี่ห้องเราเอง บ้านวิวเขื่อน ชอบตรงมีระเบียงไว้ดูดาว
วันธรรมดา 1,200 แต่เราไปวันหยุด 1,500 หุหุ


สะพานไม้มุมฮิต Take it easy


โลกอิสระที่หลายคนอยากมาหยุดเวลา


ห้องเราถูกล้อมรอบด้วย ต้นไผ่ ต้นกก ต้นกล้วย ตอนที่ดูรีวิว เห็นรกๆ
กลัวงูมาก แต่มันไม่รกอย่างที่คิด กลางคืนมีไฟทางเดินสว่างไสว


ด้านซ้ายข้างในเป็นห้องแบบใหม่ มี Rooftop ให้ขึ้นไปนั่งไปนอน ดูพระอาทิตย์ตก โอยยยย
ด้านขวาเป็นเหมือนเต้นท์อ่ะ ไม่มีประตู เป็นแบบซิบรูด


มุมนี้ได้ดูวิวเขาแบบใกล้


ที่นี่ห่านดุ! เดินเข้าไปใกล้ไม่ได้เลย มันวิ่งมาแอ็ทแท็คเราทันที


ถ้าใครยังไม่อยากเข้าห้อง มานอนชิลล์ตรงนี้ได้ หนังสือดีๆสักเล่ม กับเพลงเพราะๆ


เห็นคนพายเรืออยู่ไกลๆ ไอเด็กคนข้างๆนี่ก็ตื่นเต้นจะไปให้ได้


และแล้วก็ได้เข้าห้องซะที ไม่มีแอร์ ไม่มีทีวี ไม่มีตูเย็น ไม่มีไวไฟ แต่มี 3G แฮร่
กลางคืนหนาวดี ไม่ต้องเปิดพัดลมก็ได้ เหมาะกับการนอนกกกอดสมชื่อ


เราพลาดมากที่ไม่ได้สั่งอาหารของทางรีสอร์ทไว้ เห็นว่าเป็นแบบขันโตก
นักท่องเที่ยวคนอื่นบอกว่าอร่อย แอบเศร้า T_T  พี่ที่รีสอร์ทบอกว่า
ออกไปกินข้างนอกได้ ตรงปากทางเข้า ร้านครัวคุณลุง ราคาไม่แพง
แถมบรรยากาศริมน้ำแคว แต่ถ้าใครไม่ชอบ ขับไปอีกโลนึง
จะเจอเซเว่นสุดท้าย เค้าเรียกกันแบบนี้ ที่นั่นของกินเยอะอยู่
กลับถึงห้องนี่มืดแล้ว ตั้งใจจะนอนดูดาวกัน แต่ไปๆมาๆ ไม่ได้ดูหรอก
นั่งดู i can see you voice กันอยู่ในห้อง จนตีหนึ่งถึงลุกมาอาบน้ำกัน
น้ำเย็นมากกกก โดนเข้าไปนี่แบบ ลืมหายใจเลย อาบไปก็คอยเรียกชื่อกันตลอด
กลัวใครจะช็อกตาย พอตอนเช้าเพิ่งรู้ว่าห้องในสุด มีเครื่องทำน้ำอุ่นแบบแก๊ส

กลับเข้าห้อง เปิดหนังผีดูต่อ เพราะมันอยากดู ตอนนี้เป็นแฟนแล้ว
เรียกมันได้ 555 แต่ไอคนอยากดูเนี่ย หลับไปตั้งแต่ 10 นาทีแรก
เรานอนมองมันหลับอยู่ในอ้อมแขนเรา แก้มมันเยอะจนเราอดใจไม่ไหว
ต้องหอมมันอ่ะ แล้วมันก็งอแง ทำคิ้วขมวด ร้องงื้อออ เหมือนเด็กโดนแกล้ง
แล้วหลับต่อ มันมีกรนเบาๆ เราก็แกล้งบีบจมูก บีบปากมัน เห็นหน้ามันงี่เง่า
สนุกดี แกล้งจนมันตื่น มันก็ถาม
"พี่ไม่นอนหรา"
"นอนดิ ขอมองแปบนึงได้มั้ย พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว หนาวมั้ย"
"งื้อ หนาววว"
"มาซุกมาอ้วน"
แล้วมันก็มาซุก ผ้าห่มนี่ก็เอาไปห่มคนเดียว เรามองมันอยู่แบบนั้นจนหลับไปตอนไหนไม่รู้


เนี่ย เอาไปคนเดียวจริงๆ


ตื่นมาเจอแบบนี้ มันดีต่อใจ


ที่จริงอยากได้วิวนี้แบบโล่งๆ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มันงอแงเดินไปยืนรออาบน้ำ


บรรยากาศตอนเช้าที่นี่สดชื่นมากๆ โดนบังคับให้พาไปพายเรือจนได้


พระอาทิตย์ดวงโต


อยากพายใช่มั้ย จัดให้เลย ได้แค่ 5 นาที มันบ่นเหนื่อย สุดท้ายก็เป็นเราต้องพามันเข้าฝั่ง


กลับเข้าฝั่ง กินข้าวเช้า แล้วออกเดินทางต่อ ชีวิตคนเราก็แบบเนี้ย
ถึงจะอยากหยุดช่วงเวลาดีๆไว้แค่ไหน สุดท้ายก็ต้องเดินต่อ
กระทู้นี้ไม่ได้อวด ไม่ได้อะไร แต่อยากให้กำลังใจกับคนที่ท้อแท้
กับความรัก โดนทำร้ายจนกลัวการเริ่มต้น อย่าไปยอมแพ้
แค่ต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ชอบอะไรก็มุ่งไปทางนั้น อยู่กับสิ่งที่เราชอบ
สังคมที่เราชอบ สักวันเราจะเจอคนที่เหมือนเรา มองโลกเหมือนเรา
เราทั้งคู่ไม่มีใครพังกำแพงใคร แต่เราปีนออกมาเพื่อมาหากัน เราไม่กล้าพูดว่า
ครั้งนี้มันคือรักแท้ ไม่กล้าบอกว่าจะไม่มีวันเลิกกัน แต่เราชอบที่จะอยู่ตรงนี้
มีมันอยู่ข้างๆ เราจะทำทุกอย่างเพื่อรักษามันไว้ ถึงระยะทางจะเป็นอุปสรรค
แต่เรายังคิดถึงกันได้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง เรากำลังช่วยกันเก็บเงิน
เพื่องานแต่งของเรา เราทั้งคู่ไม่ได้รวย แต่เราจะไม่ไปรบกวนใครให้เดือดร้อน
ปลายปี 62 คือสัญญาของเราว่าจะแต่งงานกัน มันดีจริงๆที่เราเป็นแพลนในชีวิตเค้า
แล้วเค้าก็อยู่ในแพลนชีวิตเรา เรายังไม่รู้ข้างหน้าจะมีอุปสรรคอะไร แต่เรามั่นใจ
ว่ามือที่เราจับกัน มันแน่นมาก ทุกครั้งที่เราปล่อยมือเวลาที่ต้องจากกัน เราเจ็บ
ที่ต้องเห็นน้ำตามันทุกครั้ง เราไม่อยากเห็นแบบนั้นบ่อยๆ เราบอกมันแล้ว
เราจะทำให้ได้ ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันผ่านตัวอักษร คำที่เราบอก

"ไปคนเดียวก็ดีแต่ไปด้วยกันจะดีกว่า"
วันนี้เชื่อเราแล้วเนอะ จับมือไปกับเราเหอะ มันดีจริงๆ เรามั่นใจ ไว้ใจเราดิ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่