อ่านข่าวจากโพสต์ทูเดย์วันนี้ รัฐจะขึ้นค่าขยะจากเดือนละ 20 บาทเป็น 350 บาทต่อเดือน โดยอ้างเหตุผล กทม.ขาดทุนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะสูงถึง 6,072 ล้านบาทต่อปี.... ( อ่านต่อได้ที่:
http://www.posttoday.com/local/scoop_bkk/481713 )
ก็ให้นึกถึงบริการอื่นๆของรัฐที่ทำอะไรก็มักจะขาดทุนและมักไม่ใด้ให้บริการที่ประทับใจกับประชาชน ต่างกับการทำงานและการบริการของภาคเอกชนต่างๆ
ผมเพิ่งรู้ไม่นานมานี้ว่าปัจจุบันงานทำหนังสือเดินทางหรือ Passport นั้น ปัจจุบันทางรัฐไม่ได้ทำเอง แต่ให้ทางบริษัทเอกชนแห่งนึงเหมาดำเนินการทั้งเรื่องของอุปกรณ์อาคารสถานที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ในสำนักงานทั้งหมด โดยทางเอกชนจะได้รายได้จากค่าทำ Passport บางส่วน ซึ่งนอกจากรัฐจะไม่ต้องเสียงบประมาณจ้างเจ้าหน้าที่และจัดซื้ออุปกรณ์แล้ว ยังได้รายได้จากค่า Passport อีกส่วนด้วยซ้ำไป
ย้อนไปสมัยก่อนเมื่อรัฐดำเนินการเอง ก็จะจำกัดจำนวนที่ทำได้ต่อวัน อาจเพราะทำมากก็เหนื่อยมากหรือไม่อยากลงทุนเรื่องบุคลากรและเครื่องมือ แต่พอเป็นเอกชนทำ ยิ่งทำมากก็ยิ่งได้เงินมาก จึงเห็นการบริการที่รวดเร็ว และหลากหลายขึ้นอย่างในปัจจุบัน
หรืออย่างเรื่องโทรศัพท์ ที่สมัยก่อนตอนรัฐดำเนินการผูกขาด คงจำกันได้ว่าต้องถึงขั้นรุ่นพ่อขอรุ่นลูกได้ใช้ แต่พอมีเอกชนดำเนินการ ทั้งที่ทางเอกชนเสียเปรียบเพราะมีภาระส่วนแบ่งค่าสัมปทานต่างๆ แต่เมื่อมีการแข่งขัน ทั้งเรื่องราคา คุณภาพ และการบริการก็ดีขึ้นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
กลับมาที่เรื่องขยะ ถ้ารัฐเอางบประมาณ 6,072 ล้านบาทไปให้เอกชนดำเนินการแข่งกัน โดยลูกค้าคือประชาชนเป็นคนตัดสินเลือกบริษัทที่จะดำเนินการ ไม่ใช่ให้เจ้าหน้าที่เลือกเพื่อป้องกันปัญหาคอรับชั่นต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนเป็นลูกค้าอย่างแท้จริง โดยอาจจะแบ่งไปบริษัทละเขต ให้คนในเขตโหวตเลือก หรือจะเป็นงบประมาณรายหัวตามบ้านที่เลือกใช้บริการ ผมว่านอกจากอาจจะไม่ต้องมาเก็บจากประชาชนตามบ้านแล้ว น่าจะประหยัดงบประมาณได้มากขึ้น และประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้นกว่าในปัจจุบัน
และเมื่อมองไปที่สาธารณูประโภคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟ้ฟ้า ประปา ถนนหนทาง ถ้าใช้รูปแบบเดียวกันที่มีการแข่งขันโดยประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ให้บริการที่ดีที่สุด ก็อาจจะได้การบริการที่ดีขึ้น และค่าบริการถูกลงเช่นกัน
ถ้าทำอย่างนี้ไปหลายหน่วยงาน กระทรวง ทบวงกรมแล้ว ถึงวันนึง เราอาจใช้การโหวดเลือกบริษัทเอกชนดีๆมาบริหารประเทศแทนรัฐบาลก็ได้
ท่านอื่นเห็นว่าอย่างไรครับ
อ่านข่าวจากโพสต์ทูเดย์วันนี้ รัฐจะขึ้นค่าขยะจากเดือนละ 20 บาทเป็น 350 บาทต่อเดือน คิดว่าอย่างไรกันบ้างครับ
ก็ให้นึกถึงบริการอื่นๆของรัฐที่ทำอะไรก็มักจะขาดทุนและมักไม่ใด้ให้บริการที่ประทับใจกับประชาชน ต่างกับการทำงานและการบริการของภาคเอกชนต่างๆ
ผมเพิ่งรู้ไม่นานมานี้ว่าปัจจุบันงานทำหนังสือเดินทางหรือ Passport นั้น ปัจจุบันทางรัฐไม่ได้ทำเอง แต่ให้ทางบริษัทเอกชนแห่งนึงเหมาดำเนินการทั้งเรื่องของอุปกรณ์อาคารสถานที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ในสำนักงานทั้งหมด โดยทางเอกชนจะได้รายได้จากค่าทำ Passport บางส่วน ซึ่งนอกจากรัฐจะไม่ต้องเสียงบประมาณจ้างเจ้าหน้าที่และจัดซื้ออุปกรณ์แล้ว ยังได้รายได้จากค่า Passport อีกส่วนด้วยซ้ำไป
ย้อนไปสมัยก่อนเมื่อรัฐดำเนินการเอง ก็จะจำกัดจำนวนที่ทำได้ต่อวัน อาจเพราะทำมากก็เหนื่อยมากหรือไม่อยากลงทุนเรื่องบุคลากรและเครื่องมือ แต่พอเป็นเอกชนทำ ยิ่งทำมากก็ยิ่งได้เงินมาก จึงเห็นการบริการที่รวดเร็ว และหลากหลายขึ้นอย่างในปัจจุบัน
หรืออย่างเรื่องโทรศัพท์ ที่สมัยก่อนตอนรัฐดำเนินการผูกขาด คงจำกันได้ว่าต้องถึงขั้นรุ่นพ่อขอรุ่นลูกได้ใช้ แต่พอมีเอกชนดำเนินการ ทั้งที่ทางเอกชนเสียเปรียบเพราะมีภาระส่วนแบ่งค่าสัมปทานต่างๆ แต่เมื่อมีการแข่งขัน ทั้งเรื่องราคา คุณภาพ และการบริการก็ดีขึ้นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
กลับมาที่เรื่องขยะ ถ้ารัฐเอางบประมาณ 6,072 ล้านบาทไปให้เอกชนดำเนินการแข่งกัน โดยลูกค้าคือประชาชนเป็นคนตัดสินเลือกบริษัทที่จะดำเนินการ ไม่ใช่ให้เจ้าหน้าที่เลือกเพื่อป้องกันปัญหาคอรับชั่นต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนเป็นลูกค้าอย่างแท้จริง โดยอาจจะแบ่งไปบริษัทละเขต ให้คนในเขตโหวตเลือก หรือจะเป็นงบประมาณรายหัวตามบ้านที่เลือกใช้บริการ ผมว่านอกจากอาจจะไม่ต้องมาเก็บจากประชาชนตามบ้านแล้ว น่าจะประหยัดงบประมาณได้มากขึ้น และประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้นกว่าในปัจจุบัน
และเมื่อมองไปที่สาธารณูประโภคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟ้ฟ้า ประปา ถนนหนทาง ถ้าใช้รูปแบบเดียวกันที่มีการแข่งขันโดยประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ให้บริการที่ดีที่สุด ก็อาจจะได้การบริการที่ดีขึ้น และค่าบริการถูกลงเช่นกัน
ถ้าทำอย่างนี้ไปหลายหน่วยงาน กระทรวง ทบวงกรมแล้ว ถึงวันนึง เราอาจใช้การโหวดเลือกบริษัทเอกชนดีๆมาบริหารประเทศแทนรัฐบาลก็ได้
ท่านอื่นเห็นว่าอย่างไรครับ