คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ต้องเข้าใจก่อนว่า คลัชท์คือตัว ตัด/ต่อ กำลังจากเครื่องยนต์ไปสู่ล้อ
เครื่องจะดับ ถ้าล้อหยุดแล้วระบบส่งกำลังยังต่อเนื่องไปถึงเครื่องยนต์
รอบเครื่องก็จะต้องหยุดตามล้อ หรือดับนั่นเอง
วิธีที่ทำให้เครื่องไม่ดับ คือ ตัดระบบส่งกำลังออกจากกัน
ก่อนที่ล้อจะหยุด ก็คือ เหยียบคลัชท์ แค่นั้นเอง
ส่วนจะเป็นจังหวะไหน ก็มาพิจารณากันต่อ
เมื่อระบบส่งกำลัง ต่ออยู่ (ปล่อยคลัชท์)
สภาะการส่งถ่ายกำลังจะขึ้นอยู่กับคันเร่ง
ถ้ากดคันเร่ง การส่งถ่ายกำลังจะเป็น+ รถจะเร็วขึ้น
แต่ถ้าปล่อยคันเร่ง สภาวะส่งกำลังจะเป็น- หรือเข้าสู่ภาวะเอนจิ้นเบรค เกิดความหน่วง
ภาวะการส่งถ่ายกำลัง จะเป็น 0 หรือเป็นกลาง ไม่บวก ไม่ลบ
ก็ต่อเมื่อเหยียบคลัชท์ หรือตัดระบบส่งกำลังออก รถจะแล่นไปด้วยแรงเฉื่อย
(จังหวะนี้ถ้าไม่อยากเหยียบคลัชท์ให้เมื่อย จะเข้าเกียร์ว่างแล้วปล่อยคลัชท์ไปเลยก็ได้)
วิธีที่จะเรียนรู้หรือจับอาการรถ อย่างง่ายๆ ก็คือ หาถนนโล่งๆ
ขับรถให้อยู่เกียร์ 2
แล้วเหยียบคันเร่ง ปล่อยคันเร่ง แล้วเหยียบ-ปล่อยคลัชท์ สลับไป สลับมา
จะจับอาการของรถออกว่า ความแตกต่างกันในแต่ละภาวะ มีลักษณะอย่างไร
ทีนี้พอเข้าใจหลักตรงนี้แล้ว
อยากจะขับแบบไหน ในสถานการณ์ข้างต้น ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการแล้ว
ถ้าต้องการหยุดแบบ ปล่อยไหลไปก่อน ให้แรงเฉื่อยส่งเต็มที่
ก็เหยียบคลัชท์ เข้าเกียร์ว่างได้เลย แล้วค่อยแตะเบรคช่วงท้ายๆจนรถหยุด
ถ้าต้องการใช้เอนจิ้นเบรค ที่เกียร์ 5 ก็ไม่ต้องเหยียบคลัชท์
แตะเบรคจนรถใกล้จะหยุด แล้วค่อยเหยียบคลัชท์ เข้าเกียร์ว่าง รอไฟเขียว
ถ้าต้องการใช้เอนจิ้นเบรคแบบไล่เกียร์ ซึ่งปกติก็ไม่มีความจำเป็น ถ้าไม่ได้ลงเขา
ยกเว้นเป็นรถใหญ่หรือบรรทุกอยู่ หากต้องการให้เครื่องยนต์ช่วยเบรค ก็ไล่เกียร์จากสูงลงต่ำ
ซึ่งตรงนี้ต้องสัมพันธ์กับความเร็วรถ ในแต่ละเกียร์นั้นด้วย
ส่วนเข้าโค้งแล้วชลอความเร็ว ให้ถอนคันเร่งก่อน แล้วแตะเบรคเบาๆ
ถ้าความเร็วได้ลดลงต่ำกว่า ที่จะใช้เกียร์นั้นแล้ว ต้องเปลี่ยนเกียร์ลงให้เหมาะสม
กับความเร็ว
การจะขับให้นิ่มนวล ไหลลื่น จะขึ้นอยู่การเหยียบคันเร่ง ปล่อยคันเร่ง
เหยียบ- ปล่อยคลัชท์ ได้อย่างเหมาะสม ตรงนี้ค่อยๆขับไป จนจับอาการรถที่ขับอยู่ได้
แล้วก็จะทำได้ดีขึ้นๆเอง
เครื่องจะดับ ถ้าล้อหยุดแล้วระบบส่งกำลังยังต่อเนื่องไปถึงเครื่องยนต์
รอบเครื่องก็จะต้องหยุดตามล้อ หรือดับนั่นเอง
วิธีที่ทำให้เครื่องไม่ดับ คือ ตัดระบบส่งกำลังออกจากกัน
ก่อนที่ล้อจะหยุด ก็คือ เหยียบคลัชท์ แค่นั้นเอง
ส่วนจะเป็นจังหวะไหน ก็มาพิจารณากันต่อ
เมื่อระบบส่งกำลัง ต่ออยู่ (ปล่อยคลัชท์)
สภาะการส่งถ่ายกำลังจะขึ้นอยู่กับคันเร่ง
ถ้ากดคันเร่ง การส่งถ่ายกำลังจะเป็น+ รถจะเร็วขึ้น
แต่ถ้าปล่อยคันเร่ง สภาวะส่งกำลังจะเป็น- หรือเข้าสู่ภาวะเอนจิ้นเบรค เกิดความหน่วง
ภาวะการส่งถ่ายกำลัง จะเป็น 0 หรือเป็นกลาง ไม่บวก ไม่ลบ
ก็ต่อเมื่อเหยียบคลัชท์ หรือตัดระบบส่งกำลังออก รถจะแล่นไปด้วยแรงเฉื่อย
(จังหวะนี้ถ้าไม่อยากเหยียบคลัชท์ให้เมื่อย จะเข้าเกียร์ว่างแล้วปล่อยคลัชท์ไปเลยก็ได้)
วิธีที่จะเรียนรู้หรือจับอาการรถ อย่างง่ายๆ ก็คือ หาถนนโล่งๆ
ขับรถให้อยู่เกียร์ 2
แล้วเหยียบคันเร่ง ปล่อยคันเร่ง แล้วเหยียบ-ปล่อยคลัชท์ สลับไป สลับมา
จะจับอาการของรถออกว่า ความแตกต่างกันในแต่ละภาวะ มีลักษณะอย่างไร
ทีนี้พอเข้าใจหลักตรงนี้แล้ว
อยากจะขับแบบไหน ในสถานการณ์ข้างต้น ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการแล้ว
ถ้าต้องการหยุดแบบ ปล่อยไหลไปก่อน ให้แรงเฉื่อยส่งเต็มที่
ก็เหยียบคลัชท์ เข้าเกียร์ว่างได้เลย แล้วค่อยแตะเบรคช่วงท้ายๆจนรถหยุด
ถ้าต้องการใช้เอนจิ้นเบรค ที่เกียร์ 5 ก็ไม่ต้องเหยียบคลัชท์
แตะเบรคจนรถใกล้จะหยุด แล้วค่อยเหยียบคลัชท์ เข้าเกียร์ว่าง รอไฟเขียว
ถ้าต้องการใช้เอนจิ้นเบรคแบบไล่เกียร์ ซึ่งปกติก็ไม่มีความจำเป็น ถ้าไม่ได้ลงเขา
ยกเว้นเป็นรถใหญ่หรือบรรทุกอยู่ หากต้องการให้เครื่องยนต์ช่วยเบรค ก็ไล่เกียร์จากสูงลงต่ำ
ซึ่งตรงนี้ต้องสัมพันธ์กับความเร็วรถ ในแต่ละเกียร์นั้นด้วย
ส่วนเข้าโค้งแล้วชลอความเร็ว ให้ถอนคันเร่งก่อน แล้วแตะเบรคเบาๆ
ถ้าความเร็วได้ลดลงต่ำกว่า ที่จะใช้เกียร์นั้นแล้ว ต้องเปลี่ยนเกียร์ลงให้เหมาะสม
กับความเร็ว
การจะขับให้นิ่มนวล ไหลลื่น จะขึ้นอยู่การเหยียบคันเร่ง ปล่อยคันเร่ง
เหยียบ- ปล่อยคลัชท์ ได้อย่างเหมาะสม ตรงนี้ค่อยๆขับไป จนจับอาการรถที่ขับอยู่ได้
แล้วก็จะทำได้ดีขึ้นๆเอง
แสดงความคิดเห็น
ขอถามหลักการ เหยียบครัช ที่ถูกวิธีหน่อยครับ
จนรถหยุด ปล่อยครัช ปล่อยเบรคแบบนี้ถูกไหมครับ หรือเราไม่ต้องเหยียบครัชค้างไว้
2.เวลาเราจะเลี้ยวเข้าซอยแบบขี่มา 30-40 เกียร์ 3 ตอนจะเลี้ยวเราต้อง ชะลอนิดหนึ่ง เราจำเป็นต้องเหยียบครัชและตามด้วยเบรคตลอดไหมครับ
หรือเราแค่เหยียบเบรคเพื่อชะลอได้เลย ผมกังวลว่าเครื่องจะดับตลอดเลย