วิพากษ์กรณีธรรมกาย เมื่อวัดพระธรรมกาย กลายเป็นวัดธัมชโย

กระทู้นี้ จะไม่เน้นพูดคุยเรื่องคำสอน แต่จะเน้นไปที่โครงสร้าง องค์กรในวัดพระธรรมกายล้วน ดังนั้นขอความกรุณาอย่าหลงประเด็น

ก่อนอื่นต้องเริ่มที่ความเป็นมาก่อน วิชชาธรรมกายเริ่มจากหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ และเจ้าอาวาสวัดปากน้ำรูปปัจจุบันคือ สมเด็จช่วงวัดปากน้ำ แต่วัดพระธรรมกายนั้นเริ่มมาจาก ธัมชโยและพระทัตตชีโว ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาได้มาศึกษาวิชชาธรรมกายจากแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งต่อมาได้มาบวชที่วัดปากน้ำ กับสมเด็จช่วง แต่ก้ไม่ถือว่าเป็นศิษย์อาจารย์กัน เพราะ ธัมชโยกับพระทัตตชีโวเรียนวิชชาธรรมกายกับแม่ชีจันทร์

ถ้าพูดตามหลัก เจ้าวัดพระธรรมกายมีอยู่2รูป คือธัมชโยกับพระทัตตชีโว แต่ความเห็นส่วนตัว เนื่องจากธัมชโยเป็นผู้ชักนำพระทัตตชีโว จึงให้ธัมชโยเป็นเจ้าอาวาส

วัดธรรมกายนั้น สำหรับผม ยังคงมองว่า หาสอนไปในทางที่ถูกที่ควร จะเป็นกำลังสำคัญแก่พระศาสนา นั่นเป็นเพราะการบริหารจัดการองค์กรของวัดนั้น เป็นระบบตามหลักการจัดการองค์กรสมัยใหม่ ซึ่งแม้หน่วยงานของรัฐบาลเอง ยังจัดการได้ไม่เป็นระบบเท่านี้

ในความเป็นจริง ว่ากันว่าวัดที่รวยที่สุดในประเทศไทยไม่ใช่วัดพระธรรมกาย หากแต่เป็นวัดหลวงพ่อโสธร สาเหตุเพราะวัดหลวงพ่อโสธรมีเงินบริจาคเข้ามาในชื่อวัดเยอะมาก ส่วนใหญ่คือชาวบ้านถวายให้หลวงพ่อโสธร จึงทำให้เงินตกเป็นของวัดโดยปริยาย แต่แม้มีเงินมาก แต่ก็เอาเงินออกมาใช้ในกิจการที่ไม่เกี่ยวกับวัดไม่ได้ พูดง่ายๆคือ  ถ้าไม่ใช่ซ่อม สร้าง ค่าจ้าง เกี่ยวกับวัดตัวเอง จะเอามาทำอย่างอื่นไม่ได้ ผิดกฏหมายและผิดวินัยด้วย

ปัจจุบัน วัดส่วนใหญ่ในประเทศไทย จึงตั้งมูลนิธิของวัดขึ้นมา เพื่อสามารถนำเงินบริจาคมาใช้ประโยชนืได้สูงสุดแทนที่เงินจะไปคาอยู่กับวัดแบบเดิม เช่น เงินมูลนิธิวัด สามารถจัดสรรเป็นทุนการศึกษา เงินบำรุงวัด ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในสาธารณะประโยชน์อื่นๆ ร่วมถึงนำไปบริจาคให้วัดอื่นได้อีกด้วย ในขณะที่เงินวัด ทำไม่ได้

วัดพระธรรมกายก็เช่นกัน เงินส่วนใหญ่ที่บริจาคมักจะเข้ามูลนิธิธรรมกาย แต่ที่มันผิด มันผิดตรงที่

1. เมื่อญาติโยม ถวายปัจจัย ถ้าไม่แสดงเจตนาจำเพาะ ก็มักจะถวายดังนี้ คือ ถวายให้พระ กับถวายให้หมู่สงฆ์ ซึ่งการถวายให้หมู่สงฆ์ก็คือถวายให้วัด การที่ถวายให้วัดนั้นไม่สามารถโยกไปมูลนิธิได้ ดังนั้นการที่จูงใจ ให้ญาติโยมเข้าใจว่าถวายให้วัด แต่กลับเอาเงินมาใส่ในมูลนิธิ เป็นการผิดกฏหมายและ ทุติยปาราชิก ซึ่งคนที่จะปาราชิกก็คือคนที่ดำเนินการโอนเอาเงินใส่เข้าบัญชีมูลนิธินั่นเอง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพระที่เป็นกรรมการมูลนิธิ จะปาราชิกเหมือนกันหมด

2.มูลนิธิของวัด คือองค์กรการกุศลไม่แสวงหาผลกำไร พูดง่ายๆคืออยู่ด้วยเงินบริจาค ไม่ได้มาจากการลงทุนทำธุรกิจแล้วนำผลกำไรมาใช้จ่าย ซึ่ง มูลนิธิตามลักษณะนี้มักไม่เสียภาษี ดังนั้นการเอาเงินมูลนิธิมาลงทุนแสวงหาผลกำไร จึงผิดกฏหมาย


และปัจจุบัน ภาพลักษณ์ของธัมชโยกลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ วัดพระธรรมกาย กลายเป็นวัดธัมชโยไปแล้ว หมายถึงว่าหากธัมชโยล้ม วัดก็ล้ม ซึ่งกลุ่มที่มีผลประโยชน์โยงใยกับธัมชโยคงยอมไม่ได้ แต่ในความเป็นจริง เจ้าวัดธรรมกายยังมีอีกรูป คือพระทัตตชีโว

บทบาทของพระทัตตชีโวในกรณีธรรมกายนั้น เทียบกับปี42แล้วถือว่าเงียบมาก ข่าวที่พอค้นได้จากกุเกิ้ลก็มีเพียงไปประชุมร่วมแล้วไม่อนุญาตให้ตรวจค้นแค่นั้นเอง นอกนั้นก้ไม่มีอะไร ซึ่งหากจะพูดตามภาษาบ้านๆคือ คงเข้ดจากคราวก่อน

และสไตน์ของทั้งคู่ ต่างกันโดยสิ้นเชิง ธัมชโยนั้น มีภาพลักษณ์เป็นเจ้าลัทธิ เข้าหาตัวยาก มักสอนเรื่อง อิทธิปาฏิหารย์ นรก สวรรค์ นิพพาน ในขณะที่พะรทัตตชีโวนั้นมักจะสอนเรื่อง บุญ ทาน รักษาศีล หรืออะไรพื้นๆ แต่เข้าใจง่าย อย่างผมถ้าไม่อคติ ลองหาฟังยังชอบเลย และที่สำคัญ ไม่เคยเห็นว่าพระทัตตชีโว จะสอนวิชชาธรรมกายด้วย จนมีการนินทาว่า พระทัตตชีโวไม่สำเร็จวิชา

จนต่อมา มีกระแสว่าหลังจากปี 42 ความสัมพันธ์ของธัมชโยกับพระทัตตชีโว ไม่เหมือนเดิม คือเมื่อธัมชโยเริ่มจะกู่ไม่กลับ ทำให้พระทัตตชีโวเริ่มเฟทตัวเองออกมาจากการบริหารองค์กร มีชื่อแต่เพียงในนาม เช่นเดียวกับเบอร์3ของวัดอย่างพระมหาสมชาย คราวนี้ก็หายไปเลยอีกเหมือนกัน

แต่เหตุผลที่แม้ว่าลึกๆจะระหองระแหงกัน แต่การที่ธัมชโยจะถูกจับสึก ก้ไม่เป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดพระธรรมกายที่กลายเป็นวัดธัมชโยไปเรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่าหากธัมชโยลงไปด้วยการถูกจับสึก ย่อมกระทบต่อศรัทธา หรือในกรณีที่แล้วร้ายที่สุด อาจจะจบลงในแบบเดียวกับสันติอโศก ก็กลายเป็นลัทธินอกศาสนาไป ซึ่งหากวัดพระธรรมกายไปถึงขั้นนั้น คนที่ร่วมสร้างวัดด้วยกันมาด้วยปณิธานที่จะให้ประเทศไทยอันมีวัดพระธรรมกาย เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาของโลก เฉหเช่นเดียวกับเมกกะ หรือเยลูซาเลม คงต้องดับสูญ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่