[CR] 3 วัน เดิน 40 กิโลเมตร กับเงิน 9000 บาท ไปกินลอดช่องที่สิงคโปร์

เดินจนเท้าแตกแบกกระเป๋าจนไหล่สั่น 3 วัน 2 คืน ที่ "สิงคโปร์"
เดินทาง 19-21 กุมภาพันธ์ 2560



ภาพในกระทู้ถ่ายโดย มือถือ Iphone 5S และ จากกล้อง Canon 350D (2 ภาพ)

ทริปนี้เริ่มต้นจากเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัยต้องการไปเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต เพื่อนอย่างเราจะปฏิเสธได้อย่างไรก็เลยออกตัวกับมันไปว่าเดี๋ยวกูพาไปเอง (เอาจริงจริงแล้วเนี่ยก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอกนะ เพราะที่ผ่านๆมาก็ไปกับทัวร์ทั้งนั้น)

เพราะฉะนั้นทริปนี้เกิดขึ้นได้เพราะ E เจ หรือ E เจี๊ยบนั่นเอง และต้องออกตัวว่าทริปนี้เป็นทริป สว หรือสูงวัยนั่นเอง อายุอานามก็ปากันเข้าไป 30 กว่ากว่ากันแล้ว จะเดินไหวกันมั้ยเนี่ยมาติดตามไปด้วยกัน

ผู้ร่วมทริปมีทั้งหมด 4 คนด้วยกัน
เราแฟนเรา เจี๊ยบและแฟนเจี๊ยบ และ พวกเราคือเหล่า "สูงวัย" ที่กำลังจะไปเผชิญโลกกว้าง

เราเคยไปสิงคโปร์มาแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งต้องออกตัวก่อนเลยว่าตอนนั้นไป outing กับที่บริษัท ขึ้นรถหลับลงรถตื่นถึงเวลากินก็กินถึงเวลานอนก็นอนไม่ได้ซึมซับอะไรเลย อารมณ์ไปฟรีอ่ะก็เลยไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร (แต่จริงจริงแล้วเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลยนะ)

ตอนที่ตกลงกับเพื่อนว่าจะไปสิงคโปร์ก็ยังแอบนึกในใจเลยนะ "สิงคโปร์มีอะไรให้น่าไปเที่ยวเหรอ" แทบจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากอากาศที่ "ร้อนสาด" สลับกันฝนตกพรำๆเป็นระยะ

พอตกลงกันได้หล่ะว่าจะไปที่ไหนก็เริ่มศึกษาข้อมูล ซึ่งข้อมูลหลักๆส่วนใหญ่ก็ได้มาจาก Pantip นี่แหละ จากนั้นก็จองตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักโดยใช้บริการของ Air Asia Go บินสายการบินแอร์เอเชีย และ พักที่ Porcelain Hotel Chinatown 3 วัน 2 คืน

ค่าใช้จ่ายสำหรับ 4 คน 23,453.44 บาท ก็ตกคนละ 5,863.36 ก็ตีไปตั๋วเครื่องบิน+ทีพักคนละ 5,870 บาท
ในส่วนของตั๋วเครื่องบินนั้นพวกเราไม่รวม ระบุที่นั่ง อาหาร และ น้ำหนัก เพราะตั้งใจไปแบบ Backpack จริงๆ (อย่าเรียกว่าไปแบบ Backpack ให้เรียกว่าไปแบบ "ประหยัด" ดีกว่า)

3 เดือนผ่านไป

วันเดินทางก็มาถึง (อาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560) เรามาถึงสนามบินตั้งแต่ไก่โฮ่ จริงจริงแล้วนอนไม่หลับ ไม่รู้เป็นอะไรพอจะได้ไปเที่ยวทีไรนอนไม่หลับทุกที แต่ทีเวลาทำงานกลับไม่อยากลุกจากที่นอน ประเด็นคือต้องเอารถมาจอดที่สนามบินดอนเมืองด้วยหล่ะ ก็เลยกลัวไม่มีที่จะจอดเลยต้องมาก่อนเวลา (จอดรถที่สนามบินดอนเมือง 3 วัน เสียค่าจอดรถไป 750 บาท)

วาร์ปมาที่บนเครื่องบินเลยแล้วกันเนอะ เครื่องออกเวลา 07.10น. ถึงสนามบินชางกีเวลา 10.30น. ลงที่ Terminal 1 สนามบินสิงคโปร์ยังคงสวยงามและทันสมัยเหมือนเคย แต่ในใจยังคงแอบกลัวในช่วงที่ต้องผ่านด่าน ตม. นี่แหละเพราะอ่านกระทู้ว่ามีคนที่เปลี่ยนชื่อและนามสกุลโดนเรียกเข้าห้องเย็นและส่งกลับอยู่บ่อยๆ และเพื่อนเราอีก 2 คนก็หน้าพาสปอร์ตขาวไม่เคยผ่านการเดินทาง

ตม. ใช้เวลาในการดูพาสปอร์ตเรานานมาก มองพาสปอร์ตแล้วมองหน้าเราวนไปมาอยู่ประมาณ 1-2 นาทีเห็นจะได้ (ในใบผ่านคนเข้าเมืองขาเข้าสิงคโปร์ จะมีให้กรอกด้วยว่าเคยใช้ชื่ออื่นเข้ามาในประเทศสิงคโปร์หรือไม่ เราก็กรอกตามความจริงเลย) แต่ถ้าจะไม่ผ่านกันจริงๆ เราและเพื่อนๆก็ได้เตรียมเอกสารมาสำรองไว้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น ใบรับรองการทำงาน แพลนท่องเที่ยวภาษาอังกฤษ ประกันการเดินทาง ใบจองตั๋วและโรงแรม บัตรเครดิต คือเรียกได้ว่าพร้อมถ้าเค้าจะขอดู แต่แล้วทุกคนก็ผ่านมาได้โดยไม่โดนตรวจสอบอะไร (ในใจนี่คือ ผ่านแล้วเว้ย)

หลังจากออกด่าน ตม. พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่ MRT กันเลย ไม่ต้องไปรอกระเป๋าบนสายพานก็ประหยัดเวลาไปได้หน่อย ไปสิงคโปร์ถ้าไม่ได้ซื้ออะไรมากมาย 7 กิโลที่ถือขึ้นเครื่องถือว่าเหลือเหลือนะ แค่นี้ก็แบกหลังหักแล้วม่ะ

วิธีการเดินทางจาก Terminal 1 เพื่อไปที่ Terminal 3 ก็ไม่ยากเลย มองป้าย Train To City (MRT Station at T3) เอาไว้ เดินตามป้ายไปเรื่อยๆเลย โดยเราจะนั่ง Sky Train จาก Terminal 1 ไปที่ Terminal 3 ก่อน เพื่อไปขึ้น MRT

พอเรามาถึง MRT สิ่งแรกที่พวกเราจะไปซื้อกันคือ Singapore Tourist Pass เราซื้อแบบ 3 วัน ราคา 30SGD และจาก 30SGD เราสามารถเอาเงินคืนได้ 10 SGD ในวันที่ 3 ที่เราเอาบัตรมาคืน (ที่ซื้อและที่คืนตั๋วคือที่เดียวกันเลย) ก็ตีไปว่า ค่าเดินทางของเราในสิงคโปร์ 3 วันตกคนละ 500 บาท


โดยข้อดีของ Singapore Tourist Pass ก็คือไม่ต้องเสียเวลาเติมเงิน สามารถขอเงินมัดจำบัตรคืนได้ จะใช้ขึ้นรถไฟหรือรถบัสก็สะดวก โดยเราขอตั้งชื่อมันว่า "บัตรเบ่ง" คือแบบ เข้าสถานีนู่นออกสถานีนี้ไปต่อบัส ขึ้นๆลงๆ แค่มีบัตรแล้วแตะๆๆๆๆ แค่นี้จบปิ๊ง  

และนี้คือหน้าตาของเจ้า Singapore Tourist Pass บัตรเบ่งที่ใครใครก็มีได้ (ถามว่าได้อะไรจากตรงนี้ เขียนเชียร์ประหนึ่งได้คอมมิชชั่น)

คือภายใน 3 วันเนี่ย จะเข้าออกรถไฟใต้ดินหรือรถบัสได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เข้าเข้าออกออกจนเจ้าหน้าที่จำหน้าได้ เข้าออกจนเพื่อนถามว่ามันไม่ error เหรอ และที่สำคัญใน MRT เนี่ย มันอำนวยความสะดวกในการเดินทางมากมาก อยากไปไหนเปลี่ยนไปสายไหน คือป้ายมันอำนวยไปหมด ไม่หลงหรอกถ้าพออ่านภาษาอังกฤษได้อยู่บ้าง ไปลองนั่งดูดิแล้วจะแบบเฮ้ยมันดีจริงจริงๆอ่ะ ลักษณะมันเหมือน MRT บ้านเราแต่การทำ interchange เชื่อมระหว่างสายกับสถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละที่มันทำได้ยอดเยี่ยมจริงจริง

และนี่คือการตกหลุมรักสิงคโปร์เป็นครั้งแรก เราชอบระบบขนส่งมวลชนที่นี่และบัตรนี้มันเอื้อต่อนักท่องเที่ยวอย่างเรามากมาก
(สิงคโปร์เริ่มมีอะไรที่น่าสนใจแล้วหล่ะ)

เรานั่งรถไฟจาก Changi Airport มาที่สถานี Tanah Merah เพื่อเปลี่ยนสายโดยให้ลงประตูซ้าย ดูป้ายว่าไป JooKoon
ตอนแรกพวกเรามีแพลน (อย่าเรียกว่าพวกเรา เรียกว่า "เรา" คนเดียวดีกว่า เพราะคนอื่นไม่มีใครรู้แพลนอะไรเลย) จะไป Bugis ก่อน แต่ด้วยความหิวมันครอบงำ ก็เลยต้องลงกลางทางแวะที่สถานี Lavender ไปหาอะไรกินที่ Kopithiam และมันหาไม่ยากเลยแค่ขึ้นบันไดเลื่อนออกมาจากรถไฟใต้ดินก็เจอเลย พอถึง Kopithiam ก็โก๊ะๆกัน เพราะเห็นคนสิงคโปร์เค้าหยอดตู้เหมือนมีการ์ดอะไรสักอย่าง ไอ้เราก็คิดว่าเราต้องใช้การ์ดในการซื้ออาหาร ก็ไปต่อคิวบ้างแต่ก็แอบคิดในใจ ว่าเค้าไปเอาการ์ดจากที่ไหนกันหว่ะ หันไปอีกทางก็เจอเพื่อนคอยส่งสายตาปริบๆ ประหนึ่งกูหิวช่วยทำอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็มีคนสิงคโปร์ใจดีหันมาบอกเราว่าไม่ต้องใช้การ์ดใช้เงินสดซื้อได้เลย (นี่มันเทพบุตรสุดสายฟ้าชัดชัด นี่ยืนรอเสียงสวรรค์มานานแล้ว)

และนี่คือหน้าตาอาหารมื้อแรกของพวกเราที่สิงคโปร์ ก๋วยจั๊บ ข้าวหมูกรอบ ลักซา บะหมี่ลูกชิ้นปลา

ที่ Kopithiam Lavender มี Old Chang KEE ร้านของทอด ที่ชาวเน็ตต่างบอกปากต่อปากกันมาว่าต้องมาลอง เราก็เลยบอกเพื่อนๆว่าเฮ้ยต้องลองของทอดร้านนี้เดี๋ยวจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง เพื่อนก็ทำหน้าแบบ (จริงเหรอหว่ะ) และแล้วพวกมันก็กรูกันเข้าไปเลือกอย่างที่เห็น ละลานตาไปหมดอ่ะดิ ราคาก็ละลานใจเช่นเดียวกัน (ไม้นึงกู-ลูกชิ้นปิ้งที่บ้านได้ 6 ไม้)


และนี้คือหน้าตาของพวกมัน ส่วนความอร่อยก็จัดว่าอร่อยนะ แต่ต้องกินคู่กับซอสด้วยถึงจะดี
ที่ Old Chang Kee เราหมดค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้
Crab Nugget OnStick ราคา 1.70 SGD
Fish Fille OnStick ราคา 1.70 SGD
Chicken Wrap OnStick ราคา 1.60 SGD


เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน งั้นเราไป Check In กันก่อนแล้วค่อยไป Bugis วันหลังแล้วกัน
จาก Lavender เราก็นั่งมาที่ Bugis เพื่อเปลี่ยนไปสายสีน้ำเงินแล้วไปลงที่ Chinatown ออกประตู E เดินข้ามถนนจากฝั่ง Chinatown Point ไปฝั่ง Hotel81 แล้วเดินตรงไปนิดนึงจะเห็นร้านหมูแผ่น แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า Mosque Street ก็จะถึงหล่ะ Porcelain Hotel ที่พักของเรา หาไม่ยากและใกล้ MRT ด้วย

วิธีการ check in ที่โรงแรมก็ง่ายมากแค่ยื่นใบที่พิมพ์มาจาก email ที่ระบุ booking number พร้อมกับพาสปอร์ตผู้เข้าพักทั้งหมด ไม่ต้องมีค่ามัดจำใดใดทั้งสิ้น ที่โรงแรมมีน้ำให้วันละ 2 ขวดต่อห้องก็เรียกว่าประหยัดค่าน้ำไปได้ 100 บาทหล่ะ แค่นี้เป็นอันเรียบร้อย

หลังจากพวกเราจัดการเรื่องโรงแรมเป็นที่เรียบร้อยก็พากันไปที่ตึก People Park Center ตึกนี้ตามรูปเลย อยู่ตรงข้ามตึก Chinatown Point เลย จริงจริงข้ามถนนไปได้เลยนะ แต่ขี้เกียจรอสัญญาณไฟเลยเดินข้ามสะพานลอยไปซะงั้น

ตึกนี่แหละ

เดินขึ้นชั้น 3 ก็ถึงหล่ะ Seawheel Travel ไม่ต้องกลัวพูดกับเค้าไม่รู้เรื่อง เพราะเค้ามีพนักงานที่คนไทยด้วย และจากที่นี่พวกเราตัดสินใจซื้อ
ตั๋วเข้า Flower Dome กับ Cloud Forest ที่ Garden by The Bay, OCBC Sky Walk เอาไว้เดินขึ้นไปดูวิวที่ Super Tree Grove และบัตรเข้า Sea Aquarium พวกเราไม่เข้า Universal Studio นะ เพราะสูงวัยกันแล้ว

ราคาตั๋วตามนี้เลย
SEA AQUARIUM ราคาใบละ 24 SGD
Garden by The Bay ราคาใบละ 18 SGD
OCBC Skyway ราคาใบละ 5 SGD

และอีก 1 สิ่งที่อยากแนะนำและขาดไม่ได้ในยุค Social Media ที่ทุกสิ่งอย่างต้องมีการโพสต์ลง Instagram และ Facebook
นั่นคือ "ซิมการ์ด" ราคา 15 SGD แต่แม่เจ้าดู Data Internet ให้มา 100GB เงื่อนไขคือใช้ได้ภายใน 5 วัน เราไม่ได้ซื้อที่สนามบินชางกีนะ เพราะได้ศึกษามาแล้วว่า ที่สนามบินส่วนใหญ่จะมีแต่แบบ 30 SGD ซึ่งมันแพงเกินไป เลยต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวานบวกกับทำแพลนการเดินทางมาแล้ว ยังไม่ต้องใช้ internet ก็ได้ แค่อยากเอามาอัพ เฟซ กับ IG อวดเพื่อนแค่นั้น

พิกัดของร้านนี้ จาก MRT Chinatown สายสีน้ำเงินให้ออกประตู E แล้วเดินข้ามสะพานลอยตรงตึก Chinatown Point ไป ฝั่งตรงข้ามคือตึก People Park Center เปิดประตูเข้าไปจะเห็นร้านขนมหวานที่มีคนนั่งกินเยอะๆ เดินเลยมาอีกนิดจะเจอร้านที่ขายไปถึงก็บอกเค้าเลยว่าอยากได้ซิมนี้ เราก็แค่เตรียมพาสปอร์ตไว้กับเงิน 15 SGD นอกนั่นเค้าก็จะจัดการให้เราเสร็จสรรพ  

แต่สิ่งที่ทำให้ทึ่งหนักมากคือ ลุงเจ้าของร้านแถม ไม้เซลฟี่ กระเป๋าสะพาย ที่ตั้งโทรศัพท์ และที่แขวน ให้ประหนึ่งซื้อโทรศัพท์ ก่อนกลับยัดสบู่ลักซ์ใส่มือมาให้อีก 2 ก่อน ไม่รู้จะใจดีไปไหน ใครผ่านไปก็แวะไปซื้อร้านลุงแกได้นะ

ข้อดีของซิมนี้
- Internet มีความไวจนต้องลดจาก 4G เป็น 3G เพราะสูบแบต (ซึ่งยังคงเร็วกว่า 4G บ้านเรา) กลับมาถึงดอนเมือง 3G บ้านเรามีความอืดไปเลย
- แชร์เป็น HOTSPOT ให้กันได้ ประหยัดไปอีก ความเร็วไม่ตกด้วย

ข้อเสีย
- ทำไมเปิด Google Maps แล้วแอบค้างบ่อยๆ (อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นที่โทรศัพท์เราเองรึเปล่าไม่รู้นะ)


เดินออกจาก People Park Center ระหว่างข้ามสะพานลอยจะได้วิวนี้ ตึกที่นี่ส่วนใหญ่ออกแบบได้สวยมากและที่สำคัญมันจะผสมเอาความเป็นธรรมชาติเข้าไปด้วย ดูสบายตาและร่มรื่นดี

นี่ก็อีกหนึ่งวิวจากบนสะพาน

พอพวกเราได้สิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะมัวรออะไร ออกไปสู่โลกกว้างกันเหอะ
ที่แรกที่เราจะไปกันนั่นคือ Marina Barrage  

การเดินทางจาก Chinatown สายสีน้ำเงิน
นั่งจาก Chinatown ไปลงที่สถานี Downtown แล้วเดินออกจากรถไฟใต้ดิน ออกประตูที่จะไปถนน Marina Blvd แล้วเดินข้ามถนนไปขึ้นรถบัสสาย 400 ที่สถานี The Sail แล้วนั่งไปลงที่ป้าย Marina Barrage

ภาพนี้ถ่ายที่ป้ายรถเมล์ The Sail ระหว่างที่เราจะขึ้นรถบัสสาย 400 ไปที่ Marina Barrage
ชื่อสินค้า:   เที่ยวสิงคโปร์
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่