ช่วงเปลี่ยนผ่านขึ้น ม.4 ผมเลือกที่จะเรียนต่อที่โรงเรียนนี้
และผมโชคดีและขอบคุณโรงเรียนที่ให้โอกาสผมได้ใช้โควต้า ผมเลือกเรียน ศิลป์ภาษาต่อในระดับชั้นม.ปลาย
ผมก็ยังคงเป็นแบบเดิม ตั้งแต่เช้า ขึ้นรถ อยู่ที่โรงเรียน กลับบ้าน
มีความรู้สึกว่าจะเจอน้องเค้า ก็จะได้เจอทุกครั้งไป
แต่ความรู้สึกนึงที่เข้ามาคือ ตอนนั้นน้องเค้าอยู่ ม.3 แล้วน้องเค้าจะเรียนต่อที่ไหน
ผมคิดในใจว่า "ถ้าน้องเค้าไปเรียนที่อื่น จะได้เจออีกไหม?"
ผมภาวนาให้เค้าเรียนต่อที่นี่
ผมคงทำบุญมาดี เพราะเหมือนคำที่ภาวนาสำฤทธิ์ผล เค้าเรียนต่อที่นี่จริง
เค้าอยู่สีฟ้า ส่วนผมอยู่สีแดง
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเล่นบาสทุกๆเย็น พอเพื่อนเห็นน้องเค้าเดินมา มันก็จะสกิดผม
แล้วผมก็จะรีบไปล้างหน้า แล้วรีบเดินตามไปทันทีในทุกๆครั้ง
วันที่น้องเค้าไปเรียนวิชากระบี่กระบอง ผมก็คอยแอบไปดูเวลาเรียน โดยไม่ให้รู้ตัว
บางครั้งเค้าขึ้นรถปอ.กรุงเทพ ผมไม่เคยขึ้น ผมก็ต้องหัดขึ้นตาม เพื่อให้ได้เจอได้เห็นแม้เพียงด้านหลัง ได้รู้สึกว่าอยู่ใกล้น้องเค้า
ช่วง ม.ปลายอาจจะมีเรื่องที่ผมจดจำไม่ได้มากมาย แต่ตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีนั้น
ผมเฝ้าแอบมอง คิดถึง นึกถึงน้องเค้าในทุกช่วงเวลานาที
กระทั่งผมจบ ม.6 ไปแล้ว ผมคิดว่าจะเริ่มต้นพื้นฐานชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
วันนี้มานั่งทบทวนตัวเอง แล้วได้ข้อสรุปว่า ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนั้นผมมีแฟน แต่ผมก็ยังนึกถึงน้องเค้าอยู่
และหลายๆครั้งก็จะเล่าแต่เรื่องที่ประทับใจเกี่ยวกับน้องเค้า และเรื่องที่เล่ามาข้างต้นบางเรื่องให้แฟนผมตอนนั้นฟัง
ผมเพิ่งเข้าใจว่า อ๋อ ที่แท้ ผมมีน้องเค้าอยู่ในความทรงจำไม่เคยจางหาย
ผมเองเคยคิดว่าตัวเองไม่มี สเปคเรื่องผู้หญิง ขอแค่รู้สึกว่าใช่ก็คือใช่
แต่ตอนนี้มาทบทวน ผมคงมีสเปคจริงๆ ซึ่งก็คือ น้องเค้า
บางทีผมรู้สึกเหมือนโรคจิต รึผมชอบน้องเค้ามากก็ไม่รู้ (คือก่อนที่เฟสน้องเค้าจะหายไปจากสารบบ ทั้ง Facebook ทั้ง Google
ผมได้ถือวิสาสะ แอบเก็บรูปน้องเค้าเอาไว้)
ตอนนี้ผม Search หาชื่อน้องเค้าไม่เจอ เหมือนเค้ากำลังล่องหน
ในใจก็คิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมต้องแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหมดที่ผมทำไป
แต่เวลาเหมือนดั่งสายน้ำ เมื่อไหลแล้ว ไม่มีวันไหลย้อนกลับ
มีเพียงอนาคตเท่านั้นที่ต้องทำให้ดีที่สุดไม่ให้ผิดพลาดอีก
ในใจก็ยังคงต้องการพบและพูดคุยกับน้องเค้าอีกครั้ง
ทุกวันนี้ผมมีความรู้สึกที่เชื่อมถึงน้องเค้าเสมอ
เวลาผ่านซอยบ้านน้องเค้าในทุกๆวัน ทุกครั้งที่เห็นรถสองแถว ทุกครั้งที่ผ่านหน้าโรงเรียน ตลอดจนป้ายรถเมล์
ทุกที่แห่งภาพความทรงจำระหว่างผมกับน้องเค้า ผมจะนึกถึงน้องเค้าตลอด
ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมา 11 ปีแล้วก็ตาม ผมเองก็ไม่รู้ว่านี่คือรักแท้ของผมรึเปล่า
ผมคิดว่าใช่นะ ที่สำคัญเป็นรักแรกของผม ถึงแม้ผมกับน้องเค้าจะอยู่ห่างกันคนละฟากฝั่งทะเล
ผมก็ยังคงมีความรู้สึกดีๆให้กับน้องเค้าเสมอในทุกๆวัน และก็จะมีให้ตลอดไป
ปล.ศัพท์บางศัพท์อาจจะโบราณไปนิด แต่ผมเป็นคนแบบนั้น ข้อความที่บรรยายอาจจะไม่สละสลวย
ความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ บางคนอาจจะบอกว่ามันเกินจริง บางเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อ แต่นี่คือเรื่องจริงและเป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง
ประสบการณ์เหล่านี้ของผม สิ่งที่ผมได้ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวหนังสือ ทุกอย่างถูกกลั่นกรอง มาจากส่วนลึกข้างในความรู้สึกของผู้ชายคนนึงบนโลก
ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง และขอเป็นกำลังใจให้กับ ท่านใดที่มีความกลัว ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ และมีความไม่กล้าอยู่ในตัว
ผมเชื่อเหลือเกินครับว่า ถ้าหากท่านได้อ่านบทความเหล่านี้ของผมแล้ว จะเป็นแรงบัลดาลใจให้กับท่าน ผู้มีความรักอยู่ในหัวใจทุกคน
ได้ทำตามความรู้สึกและอยู่กับพรหมลิขิตที่ท่านขีดขึ้นเอง ส่วนตัวผมเอง
ความทรงจำเหล่านี้ได้ผ่านมาเกือบครึ่งชีวิตของผม และจะยังคงอยู่ไปอีกค่อนชีวิต อยู่ในดวงใจของผมตราบนิจนิรันดร์
ท้ายสุดผมขอส่งบทกลอนให้แก่ทุกท่าน
"ลงมือทำ ทันที ไม่รีรอ อย่ามัวขอ ภาวนา ให้อาสัญ
ดึงตัวตน ออกมา โดยฉับพลัน ความรู้สึก ที่มีนั้น อย่าลังเล"
[The End]
"อยู่ในดวงใจตราบนิจนิรันดร์" Part 6 End
และผมโชคดีและขอบคุณโรงเรียนที่ให้โอกาสผมได้ใช้โควต้า ผมเลือกเรียน ศิลป์ภาษาต่อในระดับชั้นม.ปลาย
ผมก็ยังคงเป็นแบบเดิม ตั้งแต่เช้า ขึ้นรถ อยู่ที่โรงเรียน กลับบ้าน
มีความรู้สึกว่าจะเจอน้องเค้า ก็จะได้เจอทุกครั้งไป
แต่ความรู้สึกนึงที่เข้ามาคือ ตอนนั้นน้องเค้าอยู่ ม.3 แล้วน้องเค้าจะเรียนต่อที่ไหน
ผมคิดในใจว่า "ถ้าน้องเค้าไปเรียนที่อื่น จะได้เจออีกไหม?"
ผมภาวนาให้เค้าเรียนต่อที่นี่
ผมคงทำบุญมาดี เพราะเหมือนคำที่ภาวนาสำฤทธิ์ผล เค้าเรียนต่อที่นี่จริง
เค้าอยู่สีฟ้า ส่วนผมอยู่สีแดง
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเล่นบาสทุกๆเย็น พอเพื่อนเห็นน้องเค้าเดินมา มันก็จะสกิดผม
แล้วผมก็จะรีบไปล้างหน้า แล้วรีบเดินตามไปทันทีในทุกๆครั้ง
วันที่น้องเค้าไปเรียนวิชากระบี่กระบอง ผมก็คอยแอบไปดูเวลาเรียน โดยไม่ให้รู้ตัว
บางครั้งเค้าขึ้นรถปอ.กรุงเทพ ผมไม่เคยขึ้น ผมก็ต้องหัดขึ้นตาม เพื่อให้ได้เจอได้เห็นแม้เพียงด้านหลัง ได้รู้สึกว่าอยู่ใกล้น้องเค้า
ช่วง ม.ปลายอาจจะมีเรื่องที่ผมจดจำไม่ได้มากมาย แต่ตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีนั้น
ผมเฝ้าแอบมอง คิดถึง นึกถึงน้องเค้าในทุกช่วงเวลานาที
กระทั่งผมจบ ม.6 ไปแล้ว ผมคิดว่าจะเริ่มต้นพื้นฐานชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
วันนี้มานั่งทบทวนตัวเอง แล้วได้ข้อสรุปว่า ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนั้นผมมีแฟน แต่ผมก็ยังนึกถึงน้องเค้าอยู่
และหลายๆครั้งก็จะเล่าแต่เรื่องที่ประทับใจเกี่ยวกับน้องเค้า และเรื่องที่เล่ามาข้างต้นบางเรื่องให้แฟนผมตอนนั้นฟัง
ผมเพิ่งเข้าใจว่า อ๋อ ที่แท้ ผมมีน้องเค้าอยู่ในความทรงจำไม่เคยจางหาย
ผมเองเคยคิดว่าตัวเองไม่มี สเปคเรื่องผู้หญิง ขอแค่รู้สึกว่าใช่ก็คือใช่
แต่ตอนนี้มาทบทวน ผมคงมีสเปคจริงๆ ซึ่งก็คือ น้องเค้า
บางทีผมรู้สึกเหมือนโรคจิต รึผมชอบน้องเค้ามากก็ไม่รู้ (คือก่อนที่เฟสน้องเค้าจะหายไปจากสารบบ ทั้ง Facebook ทั้ง Google
ผมได้ถือวิสาสะ แอบเก็บรูปน้องเค้าเอาไว้)
ตอนนี้ผม Search หาชื่อน้องเค้าไม่เจอ เหมือนเค้ากำลังล่องหน
ในใจก็คิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมต้องแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหมดที่ผมทำไป
แต่เวลาเหมือนดั่งสายน้ำ เมื่อไหลแล้ว ไม่มีวันไหลย้อนกลับ
มีเพียงอนาคตเท่านั้นที่ต้องทำให้ดีที่สุดไม่ให้ผิดพลาดอีก
ในใจก็ยังคงต้องการพบและพูดคุยกับน้องเค้าอีกครั้ง
ทุกวันนี้ผมมีความรู้สึกที่เชื่อมถึงน้องเค้าเสมอ
เวลาผ่านซอยบ้านน้องเค้าในทุกๆวัน ทุกครั้งที่เห็นรถสองแถว ทุกครั้งที่ผ่านหน้าโรงเรียน ตลอดจนป้ายรถเมล์
ทุกที่แห่งภาพความทรงจำระหว่างผมกับน้องเค้า ผมจะนึกถึงน้องเค้าตลอด
ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมา 11 ปีแล้วก็ตาม ผมเองก็ไม่รู้ว่านี่คือรักแท้ของผมรึเปล่า
ผมคิดว่าใช่นะ ที่สำคัญเป็นรักแรกของผม ถึงแม้ผมกับน้องเค้าจะอยู่ห่างกันคนละฟากฝั่งทะเล
ผมก็ยังคงมีความรู้สึกดีๆให้กับน้องเค้าเสมอในทุกๆวัน และก็จะมีให้ตลอดไป
ปล.ศัพท์บางศัพท์อาจจะโบราณไปนิด แต่ผมเป็นคนแบบนั้น ข้อความที่บรรยายอาจจะไม่สละสลวย
ความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ บางคนอาจจะบอกว่ามันเกินจริง บางเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อ แต่นี่คือเรื่องจริงและเป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง
ประสบการณ์เหล่านี้ของผม สิ่งที่ผมได้ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวหนังสือ ทุกอย่างถูกกลั่นกรอง มาจากส่วนลึกข้างในความรู้สึกของผู้ชายคนนึงบนโลก
ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง และขอเป็นกำลังใจให้กับ ท่านใดที่มีความกลัว ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ และมีความไม่กล้าอยู่ในตัว
ผมเชื่อเหลือเกินครับว่า ถ้าหากท่านได้อ่านบทความเหล่านี้ของผมแล้ว จะเป็นแรงบัลดาลใจให้กับท่าน ผู้มีความรักอยู่ในหัวใจทุกคน
ได้ทำตามความรู้สึกและอยู่กับพรหมลิขิตที่ท่านขีดขึ้นเอง ส่วนตัวผมเอง
ความทรงจำเหล่านี้ได้ผ่านมาเกือบครึ่งชีวิตของผม และจะยังคงอยู่ไปอีกค่อนชีวิต อยู่ในดวงใจของผมตราบนิจนิรันดร์
ท้ายสุดผมขอส่งบทกลอนให้แก่ทุกท่าน
"ลงมือทำ ทันที ไม่รีรอ อย่ามัวขอ ภาวนา ให้อาสัญ
ดึงตัวตน ออกมา โดยฉับพลัน ความรู้สึก ที่มีนั้น อย่าลังเล"
[The End]