สาวน้อยพลังจิต จู่ๆหนูก็ได้เป็นสายลับ ตอนที่ 21

กระทู้สนทนา
สาวน้อยพลังจิต จู่ๆหนูก็ได้เป็นสายลับ

    เช้าวันนั้นทรายเก็บข้าวของทุกชิ้นที่พอจะติดตัวไปได้ออกจากบ้านไปอย่างไร้เป้าหมาย เธอตรงไปยังบุคคลแรกที่ให้ความไว้วางใจในโลกภายนอกเล็กๆของตัวเอง อาจารย์สะกดจิต
    “ไปไหนมาล่ะวันนี้ หอบข้าวของเยอะเลย”
    อาจารย์สะกดจิตทักเมื่อเห็นทรายสะพายกระเป๋าใบโตถึงสองสามใบมาด้วย
    “เพิ่งกลับจากต่างจังหวัดค่ะ วันนี้ว่างๆ พอดีต้องผ่านออฟฟิศอาจารย์ ก็เลยแวะมา”
    “วันนี้มีอะไรให้ช่วยเป็นพิเศษนะเปล่า”
    อาจารย์สะกดจิตมองทรายอย่างเมตตา

    “คือ อาจารย์คะ คราวก่อนเราค้างกันไว้ เรื่องที่ว่า ขุนอินทร์มีความอาลัยอาวรณ์บางอย่างอยู่ วันนี้อยากจะรู้อ่ะค่ะ ว่าความอาลัยอาวรณ์นี้คืออะไร”
    “ก็ไม่แน่นะ ผมก็พูดไปตามหลักการ แต่ข้อเท็จจริงอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้”
    “คือ อย่างชาตินี้ ทรายเกิดมาไม่มีพ่อไม่มีแม่ พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงก็ดูแลเลี้ยงดูไม่ถึงกับว่าแย่ แต่ทำไมเขาถึงปิดบังฐานะที่แท้จริงของตัวเองเอง อันนี้อาจจะเป็นเรื่องกรรมเก่าได้มั้ยคะ”
    อาจารย์สะกดจิตขบริมฝีปากตัวเอง ช่างเป็นคำถามที่แสวงหาคำตอบที่ลงตัวได้ยากเหลือเกิน
    “มันก็ทั้งตอบอย่างนั้นก็ได้ ไม่ตอบอย่างนั้นก็ได้ ทุกเรื่องแม้ว่าพุทธศาสนาจะบอกไว้ ว่าสรรพสิ่งเป็นไปตามกรรม เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นกรรมแต่หนไหน บางสิ่งบางอย่างอาจจะไม่ลึกลับซับซ้อนอย่างที่เธอสงสัยก็ได้ พ่อแม่เลี้ยงอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง หรือมีความจำเป็นบางอย่างที่ต้องการจะปกปิดเรื่องราวความเป็นจริง ไม่อยากให้เธอได้รู้ อาจจะไม่ใช่เรื่องกรรมเก่าหรือชาติที่แล้วก็ได้ แต่เมื่อถามว่า เหตุการณ์อย่างนี้มันมีโอกาสเกิดขึ้นไม่กับใครก็ใครคนหนึ่งมั้ย ก็เป็นไปได้ คำถามอยู่ที่ว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา ทำไมถึงต้องเป็นคนที่ชื่อทราย ทำไมไม่เป็นกับคนอื่น และถ้าเป็นกับคนอื่นก็อาจจะต้องตั้งคำถามต่อไปเรื่อยๆ ว่าเขาทำบาปทำกรรมอะไรมาแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้ถึงได้มาเจอกับเรื่องอย่างนี้.....

    คำถามก็จะไม่มีวันสิ้นสุด บางเรื่องบางอย่างพระพุทธองค์ถึงได้บอกว่า คำถามบางอย่างก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตอบ ความรู้บางอย่างไม่จำเป็นต้องไปแสวงหา ข้อเท็จจริงบางทีก็ไม่ต้องรู้ เราเลือกรู้เฉพาะที่จะมีประโยชน์อย่างแท้จริงจะดีกว่า”
    “แต่...ตอนนี้เราก็เป็นกันแค่คนธรรมดาใช่มั้ยคะ ยังมีโลภ โกรธ หลง มีรัก เกลียด มีสบายใจเสียใจ แล้วก็มีเสียดาย อยากได้ อะไรต่างๆ ก็จริงนะคะ ของบางอย่างไม่ต้องรู้ก็ดี แต่ถ้าได้รู้มันก็เหมือนได้ปลดปล่อย”
    “พูดได้ดีนิ.....ก็จริง ก็ถูก ตราบที่เรายังติดอยู่กับโลกที่ต้องการความพึงพอใจ ต้องการชื่อเสียง ต้องการการยอมรับ ต้องการความสุขจากการเห็น กิน ดมกลิ่น ได้ยินและสัมผัส อยากแสวงหาความพึงพอใจกับประสบการณ์ใหม่ๆนอกตัว ที่ศาสนาพุทธถือว่าเป็นกิเลสตัณหา เรื่องพวกนี้ก็ยังหนีไม่พ้นตัวเราอยู่ดี...
    แต่แปลกเนอะ เรื่องหมอดู ฮวงจุ้ย เข้าทรง ตัดกรรมซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาล้วนๆ กลับชุกชุมขึ้นทุกวันในวัด นับวันพระก็ยิ่งทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน....
    เอาละ เราคุยกันเยอะแล้ว ไประลึกชาติหาคำตอบกันเถอะ”

    “ค่ะ”
    อาจารย์สะกดจิตถาม ทรายพยักหน้า
    “เมื่อพร้อมแล้ว คุณเอนตัวลง ผมจะปรับเก้าอี้ให้นอนลง เสร็จแล้วทำใจว่างๆ โล่งๆ ลดการคิด ลดการฟัง หรือสังเกต เฝ้ารอ ตรวจสอบ ทำให้ใจว่างๆ ปล่อยตัวเองให้สบาย อย่ามีส่วนใดของร่างกายเกร็ง.........”
    อาจารย์สะกดจิตดึงเก้าอี้ให้เอนลง แล้วเดินมาที่ด้านหน้าของทราย พร้อมยื่นฝ่ามือออกมาที่ระดับสายตา
    “มองมาที่มือนี้ มองอย่างว่างเปล่า เมื่อมือเคลื่อนเราเคลื่อนสายตาตาม......”
    อาจารย์สะกดจิตเริ่มแกว่งฝ่ามือเป็นวงกลมอยู่ที่หน้าทราย ทรายมองตามมือนั้นไปเรื่อยๆ
    “มือเคลื่อนเร็ว เราก็เคลื่อนตาเร็วขึ้น ดีมาก เร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น.........”
    มือนั้นเคลื่อนเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ทรายพยายามบังคับลูกตาให้เคลื่อนตามมือที่แกว่งเร็วขึ้นเรื่อยๆนั้น ดูเหมือนความพยายามของเธอจะยิ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้น
    “เรารู้สึกเหนื่อยล้า เรารู้สึกอ่อนเพลีย เราอยากปิดเปลือกตาลง.........”
    ถึงตอนนี้ ทรายเริ่มรู้สึกคล้อยตามกับอาจารย์สะกดจิตแล้ว ว่าเธออยากจะปิดเปลือกตาลงเหลือเกิน ฝืนเปิดตาต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
    ทันใดนั้น ฝ่ามือของอาจารย์สะกดจิตก็เลื่อนเขาใกล้จนแทบจะชนหน้าเธอ
    “จงปิดเปลือกตาลง”
    เปลือกตาของทรายงับลงเหมือนประตูที่ถูกปิดอย่างฉับพลันทันที เธอรู้สึกเหมือนตัวเองลอยเคว้งไปหมดทั้งร่างกาย
    “ปิดเปลือกตาลงแล้วเรารู้สึกสบาย ผ่อนคลาย จิตใจของเราปลอดโปร่งโล่งสบาย...........”
    เสียงอาจารย์สะกดจิตพูดไปเรื่อยๆ เนิบๆ ช้าๆ ทรายรู้สึกคล้ายตัวเองหมุน ยิ่งตอนที่บอกว่า

    “กล้ามเนื้อหัวคิ้ว หย่อนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน คลายยยยยยยยยยยยยยยยยย………”
    เสียงนั้นยืดยานมาก และทำให้ทรายรู้สึกเหมือนตัวยืดออกยังกะหนังสติ๊ก เธอรู้สึกเหมือนตัวหนักอึ้งมากขึ้นๆ ทุกที ทุกที ทุกที
    นานแค่ไหนไม่อาจทราบได้ ทรายรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด เธอรู้สึกลอยเคว้งอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ไกลออกไปจากสถานที่ที่ตัวเองนั่งอยู่เมื่อครู่นี้
    เธอกลับมารู้สึกตัวอย่างเบาๆอีกครั้ง พอจับใจความได้ถึงเสียงที่เปล่งออกมา ช้า ผ่อนคลาย เนิบ และมีอานุภาพทำให้เธอรู้สึกหนักอึ้งไปหมดทั้งตัว
    “เราดำดิ่งลึกถึงก้นบาดาลแล้ว เราดำดิ่งลึกถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจของตัวเองแล้ว เบื้องหน้าของเรา มีอุโมงค์ตั้งอยู่ เมื่อใดก็ตาม ที่เราเคลื่อนผ่านอุโมงค์เข้าไป จะนำพาเราไปสู่ชาติภพที่ผ่านมา จะนำพาเราไปสู่อดีตชาติของตัวเอง....ทันที..........”
    ฉับพลันทันทีนั้น ทรายรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเครื่องดูดฝุ่นยักษ์ดูดเขาไปในหลุมดำมืด ดูดให้ไหลจมดิ่งลึกลงไป ทุกที ทุกที ทุกที
    “ภาพใดๆจงปรากฏขึ้น ณ บัดนี้ ภาพแห่งอดีตชาติของเรา ภาพแห่งชาติภพที่ผ่านมาของเรา จงปรากฏขึ้น ทันที...............”
    เมื่อคำบรรยายจบลง ทรายรู้สึกเหมือนฝันไป มีภาพบางอย่างเกิดขึ้นในสมอง แต่มันเป็นความฝันขณะที่เธอยังรู้สึกตัวอยู่ เธอสับสนไปหมด หรือเธอกำลังคิดไป ก็ไม่น่าใช่ เพราะเธอรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
    “ถ้ามีภาพใดๆเกิดขึ้นแล้ว จงขยับนิ้วโป้งที่มือขวาทันที………..”

    เสียงอาจารย์ดังขึ้น ตอนนี้ทรายรู้สึกเหมือนเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังควบม้าอยู่ เธอขยับนิ้วโป้งขวาตามที่ได้รับคำสั่งทันที
    อาจารย์สะกดจิตยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นมือของทรายขยับไปมา
    “ถ้าเราเปล่งเสียงบรรยายสิ่งที่พบเห็นได้ก็จงกระทำ…………”
    ทรายนิ่งไปพักหนึ่ง ก็เริ่มเปล่งเสียงออกมา
    “เป็นภาพที่ทรายเคยเห็นมาก่อน ตอนไปทำบุญที่วัดชนะสงคราม ขุนอินทร์ถูกมัดมือมัดเท้ายืนอยู่บนขื่อไม้ไผ่กลางลานกว้างข้างวัดชนะสงคราม”
    “หลวงพี่ หลวงพี่”
    ขุนอินทร์ตะโกนเรียกพระรูปหนึ่งที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ในกลุ่มชาวบ้าน

    พระรูปนั้นเดินแหวกฝูงชนออกมา ทหารสองคนถือดาบเปลือยอก ยืนคุมเชิงอยู่ ส่ายหน้าให้พระ เป็นเชิงไม่อนุญาตให้เดินเข้าไปไกลกว่านี้ ทหารอีกคนสวมเสื้อท่าทีเป็นหัวหน้าพยักหน้าให้ทหารทั้งสอง พระรูปนั้นจึงมีโอกาสเดินเข้ามาใกล้ขุนอินทร์ เมื่อมาถึงห่างประมาณ 5 เมตรก็ยืนก้มหน้าสำรวมอยู่
    “มาบัดนี้ ข้าเห็นจริงแล้ว เวรกรรมนั้นตามทันในชาติภพนี้ ข้าถูกวิญญาณพยาบาทของเกลอแก้วทั้ง 8 ตามหลอกหลอนมิได้ขาด แต่ก็แคล้วคลาดมาได้ วันนี้ ข้าต้องอาญาแผ่นดินมีโทษถึงตาย เป็นโทษฑัณฑ์ดั่งที่ข้าเคยกล่าวให้อาญาแก่ผู้อื่น..........
    วันนั้นข้าเป็นพระ อันว่าผู้อยู่ในร่มกาสาวพัตรนั้นมิกล่าวความเท็จ ข้าจึงกล่าวความสัตย์ไปจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงตาย
    วันนั้นข้าว่าข้าทำชอบแล้ว เพราะความสัตย์นั้นปรากฏจริง แต่เกลอข้าก็หาได้ละความพยาบาทไม่
    วันนี้ข้าถูกจับเพราะท่านชี้ช่องหลบซ่อนแก่ทนาย น่าขันตรงที่ข้าทำผู้อื่นถึงตายนั้นตอนเป็นพระ มาบัดนี้เพราะพระข้าจึงถึงตาย เหตุการณ์ช่างละม้ายเสียนี่กระไร...........
    แต่มีสิ่งหนึ่ง ข้าจะมิกระทำเด็ดขาด คือความพยาบาท เพราะข้ารู้พิษของมันยิ่งนัก ข้ามิได้พยาบาทท่าน ขอท่านผู้เจริญจงแสดงธรรมแก่ข้าด้วยเถิด...............”
    ขุนอินทร์พูดจบ พระรูปนั้นจึงเงยหน้าขึ้นพูดบ้าง

    “สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุ โยมพูดถึงเหตุที่ทำให้ถึงตายในวันนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม อาตมารับกับโยมว่ามิได้โกหกให้แก่โยม ว่าไม่เห็นโยมวิ่งหนีข้ามวัดไป ถ้าวันนี้โยมหนีไปได้ พรุ่งนี้โยมก็อาจปะสิ่งอื่นจนเป็นเหตุให้ถึงตาย ผู้ที่โยมทำให้ถึงตาย ถ้าไม่มีโยม ก็อาจมีคนอื่นทำให้เขาถึงตาย หรือเหตุการณ์อื่นก็อาจทำให้เขาถึงตาย ใดๆล้วนเป็นอนิจจัง ความพยาบาทจึงจักทำให้เรายึดติดมิอาจไปไหนได้...................
    อย่าห่วงว่าเพราะเขา เราจึงเป็นเช่นนี้ เราจึงเป็นเช่นนั้น จงเพียรทำหน้าที่ของเราอย่าให้ขาด ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี หากเราดีอยู่แล้วใครเล่าจะทำอันตรายได้ หากเราพบกับอันตรายนั้น หาใช่เพราะเราทำความดีเราจึงได้รับอันตราย แต่เป็นเพราะทุกการกระทำนั้นให้ผลที่แตกต่างกันไป.........
    การประพฤติดีประพฤติชอบ ต้องกระทำอย่างมีสติ ต้องหมั่นไตร่ตรองพิจารณา เหตุแห่งการกระทำของเราเท่านั้น จึงมีผลต่อการกระทำของเรา ไม่อาจจะมาจากคนอื่น อย่างอื่น เหตุการณ์อื่นได้  เจริญพร”

    ทรายกลืนน้ำลายดังเอือกแล้วพูดต่อ    
“พระพูดจบก็เดินออกไป  มีทหารเดินมาถือชามใส่เลือดสุนัข เขาพนมมือขออโหสิกรรมกับขุนอินทร์ แล้วราดเลือดสุนัขบนหัวขุนอินทร์ อีกคนเอาผ้าถุงมาคลุมหัว ทหารอีก 3-4 คนถือไม้ไผ่ที่ถูกตัดปลายให้แหลมท่อนใหญ่มากจับขาขุนอินทร์ยกขึ้นแล้วเอาไม้ไผ่แทงเข้าไปทางก้น โอ้ย....ไม่ไหวแล้ว เลือดนองเต็มไปหมดเลย”
ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่ อาจารย์สะกดจิตตกใจรีบเข้าไปใกล้ ดูลมหายใจและสีหน้าของทรายยังเป็นปกติดี แต่ด้วยความสงสัยว่าทำไมเธอถึงเงียบไป
“เกิดอะไรขึ้น”
“รู้สึกสบายใจเลย................”
ทรายเงียบไปอีกพักใหญ่
“เกิดอะไรขึ้น”
“................................”
ไม่มีคำตอบจากทราย
อาจารย์สะกดจิตใช้มือคลำชีพจรของทรายก็ยังเห็นปกติดีอยู่
“ตอบคำถามเดี๋ยวนี้ เกิดอะไรขึ้น”
“......................................................”
“ต่อจากนี้ จะนับหนึ่งถึงห้า เมื่อนับถึงห้าแล้ว เราลืมตาขึ้น..........

นับหนึ่ง เรารู้สึกสบาย
นับสอง เรารูสึกหย่อนคลาย
นับสาม จิตใจของเราปลอดโปร่ง โล่งสบาย
นับสี่ กำลังวังชาของเราฟื้นกลับคืนมา
นับห้า เราลืมตาขึ้น.........
ทราย ทราย ลืมตาได้แล้ว”
“............................................”
“ตื่น ตื่น ตื่น”
อาจารย์สะกดจิตตกใจ เขย่าให้ทรายตื่นขึ้น
เดี๋ยวเดียวทรายก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมองอาจารย์สะกดจิต ปรากฎรอยยิ้มที่สดใสมาก
อาจารย์สะกดจิตช่วยพยุงทรายให้ลุกขึ้นนั่ง เธอทำท่าบิดขี้เกียจอย่างน่าเอ็นดู
“เป็นอะไรไปน่ะ ผมตกใจแทบแย่”
“มีความสุขจังเลยค่ะ”
“มีความสุขยังไง โดนเอาบ้องไม้ไผ่แทงก้นอย่างนั้น.....”
อาจารย์สะกดจิตทำหน้าย่น

“คือตอนนั้นทรายก็รู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหายไป รู้สึกเหมือนตัวเองไปอยู่ในความมืดมิด แล้วก็เริ่มรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกตอนนั้นเบาแล้วก็นิ่งมาก ทรายรู้สึกว่าถ้าพูดอะไรออกไปจะต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาแน่ เลยปล่อยให้ตัวเองเบาๆลอยเข้าไปเรื่อยๆ แล้วก็เหมือนอะไรก็ไม่รู้มาปลอบ และเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง..............”
“ยังไงล่ะ” อาจารย์สะกดจิตนั่งฟังตาค้าง
“เพราะว่าขุนอินทร์มีคาถาอาคมแกร่งกล้าแล้ว เลยสะกดตัวเอง อึ๊ จะว่าสะกดจิตตัวเองก็ได้นะคะ คือสะกดตัวเองไม่ให้เจ็บปวดและปล่อยทุกอย่าง ไม่อาฆาต ไม่เจ็บแค้น ไม่ห่วง ไม่อยาก ให้อภัยทุกคน และขออโหสิกรรมกับทุกคน ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ทุกสิ่งทุกอย่างเลย เหมือนที่อาจารย์บอกแหละค่ะ ว่าปล่อยหมดทุกอย่างแล้วจะยิ่งลงภวังค์ลึก ขุนอินทร์ก็เลยลงสู่ภวังค์ลึกก่อนที่จะตายซะอีก............
ทั้งวิชาอาคม ทั้งความทรงจำในชาติปางก่อนถึงได้ติดมากับทรายเยอะแยะ ผิดกับคนทั่วๆไปที่เวลาใกล้ตายจิตใจจะสับสนวุ่นวาย เลยทำให้จดจำอะไรไม่ได้.......

และเมื่อตายแล้ว ก็เป็นการตายในสภาวะที่จิตใจนิ่ง วิญญาณขุนอินทร์ก็เลยได้รับรู้ทุกอย่างที่อยากจะรับรู้ ก็เลยรับรู้ความรู้สึกของพระรูปนั้น รูปที่ชี้ทางให้ทหารมาจับ ทำให้ถูกประหาร ว่าพระรูปนั้นก็ส่งดวงจิตประคองดวงวิญญาณขุนอินทร์ไม่ให้ตกในที่ๆลำบาก และแอบภาวนาเล็กๆด้วย ว่าถ้ายังไม่หมดกรรมก็จะขอตามมาชดใช้กรรมให้ขุนอินทร์ แต่เนื่องจากว่าขุนอินทร์ไม่มี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่