สวัสดีค่ะขอออกตัวก่อนว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่แนะนำการท่องเที่ยวครั้งแรกถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ^_^
จังหวัดอะคิตะ กำลังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ตอนนี้หลายคนกำลังให้ความสนใจกัน เนื่องจากความเป็นธรรมชาติที่ยังคงอยู่ วัฒนธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง กับความใจดีของคนอะคิตะที่ทำให้เรารู้สึกดีตลอดเวลา จังหวัดนี้จึงเป็นที่ที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับขาลุยที่พร้อมจะไปทุกที่ การเที่ยวในอะคิตะ ง่ายสุดก็น่าจะเป็นรถยนต์ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวบางที่ต้องขับรถขึ้นเขายาวนานมากกว่าจะเข้าถึง แต่ขอบอกก่อนว่าไม่นานเกินรอและคุ้มที่จะเข้าถึง แต่หลายๆ ที่เดียวนี้ก็มีรถไฟท่องเที่ยว รถบัสบริการ ตลอดเวลา ไม่ต้องคิดมากค่ะ ตอนนี้ทางจังหวัดเริ่มกระตือรือร้นในการโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของจังหวัดนี้ เพราะแฟนบอกก่อนหน้านี้เงียบมากไม่เห็นทำอะไรกันเลยส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่นผ่านๆ แล้วมาเที่ยวกันเองมากกว่าขนาดคนญี่ปุ่นยังไม่ค่อยจะมาเที่ยวที่นี่เลย ตอนนี้มีโปรชัวร์ให้อ่านเข้าใจง่ายไปง่ายกลับง่าย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังทำเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่ จริงๆ พอดูได้ค่ะเพราะเค้าวาดรูปสัญลักษณ์ต่างๆ ให้เราเดาได้ง่ายถึงแม้จะเป็นภาษาญี่ปุ่น อะคิตะมีภาษาสำเนียงโดยเฉพาะพอๆ กับภาภาษาอีสานเลยค่ะแต่ยากกว่ามากเพราะคำสั้น พูดเร็ว ใช้ลิ้นดันหรือเอื้นเอ่ยแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่า เหมือนกัน เราพูด ใช่ อีสาน พูด บ่ ทางนั้น บอก Hai อะคิตะ พูด Dann’
กระทู้นี้ขอเขียนเวิ่นเว้อเล่าเรื่องราวของตัวเองซักหน่อยนะคะก่อนจะพาเที่ยวอาจจะยาวหน่อย และกระโดดไปกระโดดมาเพราะเค้าคิดอะไรออกเค้าก็จะเขียนออกมาเลย ณ ตอนนั้น ใครไม่อยากอ่านก็เลื่อนลงไปหาที่เที่ยวข้างล่างโลด ที่เที่ยวต่างๆ เป็นการบอกเล่าจากการพบเห็นของผู้ไปเที่ยวเอง จะไม่ค่อยมีสาระ รายละเอียด หรือวิชาการอะไรมากมาย พยายามจะลงชื่อสถานที่ท่องเที่ยวให้ถูกต้องแล้วกันนะคะ เพื่อนๆ จะได้ค้นหาถูก แต่จะเล่าถึงสถานที่ท่องเที่ยวจากตาของเจ้าของกระทู้ ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ให้ได้ชมไปพร้อมๆ กันนะคะ การใช้ภาษาจะเป็นการพูดคุยให้กันฟังกับเพื่อนญาติพี่น้อง ถ้าคำไหนไม่เหมาะสมก็ขอโทษด้วยนะคะ แนะนำด้วยนะคะ แต่ถ้าใครสนใจจังหวัดนี้แนะนำให้ติดตามเพจพี่คนไทยในอะคิตะในเฟสบุค
https://www.facebook.com/akitabijinTH/ รูปสวยรูปเยอะรายละเอียดแน่นมีปล่อยสถานที่ท่องเที่ยวกับเทศกาลต่างๆ มาเรื่อยๆ เพจนี้พี่คนไทยทำกันเองข้อ นานๆ อัฟทีตามเทศกาลกับเวลาท่องเที่ยวของสถานที่นั้นๆ แต่ช่วยได้เยอะค่ะสำหรับคนที่อยากรู้จักจังหวัดอะคิตะ
เริ่มแรกเดิมที่ทำงานที่ กทม. ค่ะ แฟนได้รับมอบหมายให้มาทำงานชั่วคราวที่ไทย 3 ปี เลยเป็นพรหมลิขิตให้เจอกัน แฟนมาอยู่ไทยได้แค่ 4 เดือนก็ได้แฟนแล้วค๊า คือเค้าเอง 555 คือเราเองก็แรงไม่ใช่ย่อยใช่มั้ยคะ จริงๆ ถ้าเจอคนคุยกันถูกคอไม่ต้องดูกันนานก็ได้เนอะ หลังจากที่รู้จักกันสืบชัดแล้วว่าเค้าโสดสนิท ไม่มีเมียติดที่ญี่ปุ่น นิสัยดี ตั้งใจทำงานเหมือนกัน มีความรับผิดชอบ คบกัน 2 เดือนก็ตกลง เป็นแฟนกันแล้ว แหะๆ หลังจากรู้จักกันปีกว่าๆ เค้าก็พาไปรู้จักกับพ่อแม่เค้าที่ประเทศญี่ปุ่น จังหวัดอะคิตะ คือจริงๆ เพิ่งเคยได้ยินชื่อจังหวัดนี้เป็นครั้งแรก เพราะส่วนใหญ่เราจะรู้จักแต่จังหวัดใหญ่ๆ สำคัญๆ ตอนนั้นมีสายการบิน Korean Air บินตรงจากไทย ไปอะคิตะเลย พักเครื่องที่เกาหลี 1ชม ค่ะ แต่เดี๋ยวนี้สนามบินอะคิตะเลิกเป็นอินเตอร์แล้ว เดี๋ยวนี้เวลาไปเลยต้องลงสนามบินใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นก่อนแล้วค่อยต่อเครื่องภายในประเทศต่างหากมาที่จังหวัดนี้ การเดินที่มาจังหวัดนี้เท่าที่รู้ มี 3 แบบ คือ เครื่องบิน ไปกลับก็ 6000-10000บาท แล้วแต่ช่วง ใช้เวลาบิน 1 ชม. ที่สนามบินอะคิตะไม่มีรถไฟต่อถึงนะคะ แต่จะมีรถบัสบริการถ้าต้องการเข้าเมือง สองแบบรถไฟฟ้าชินกังเซน ราคาถูกกว่าเครื่องบินไม่กี่ร้อยบาท แต่นั่งเพลินๆ ไม่เบื่อได้ 3 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้วค่ะ ดีที่ตรงนี้ สถานีอะคิตะมีรถบัส รถไฟ ต่อยอดไปเที่ยวที่อื่นได้ สามอีกวิธีคือนั่งรถบัส วิธีที่ถูกสุดสำหรับใครอยากจะประหยัดค่าโรงแรมซักคืน นั่งรถบัสชิวๆ ตอนกลางคืน 12 ชม. ถึงปุ๊บตื่นเที่ยวปั๊บก็ได้ค่ะ ราคาไม่แน่ใจแต่ไม่น่าเกิน 3000 บาทนะคะ ตอนไปอะคิตะครั้งแรก ก็ไปช่วงที่ซากุระกำลังร่วงจะหมดแล้วค่ะประมาณ ต้นเดือน พฤษภาคม พื้นดินงี้แห้งไม่มีความเขียวของหญ้า ภูเขาก็มีหิมะปกคลุมปลายๆ แต่ความหนาวยังคงทำให้ขาสั่นได้ ครั้งแรกได้ไปเที่ยว น้ำตกร้อน สวนซากุระบ้านๆ แหล่งขายของฝากที่มีเทศกาลพอดีในตอนนั้น ไปอยู่ที่นั่นแค่ 3 คืน เพราะแฟนกับเราต้องกลับมาทำงานต่อที่ไทย เอาเป็นว่าเดียวมาลงรายละเอียดที่เที่ยวทีหลัง ตอนนี้เรามาเวิ่นต่อ
หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานที่ไทยพอแฟนทำงานครบ 3 ปี ฮือ ตอนนั้นคิดว่าคงจะเลิกกัน แล้วแฟนก็คงหนีไปแต่งงานดูตัวกับสาวญี่ปุ่นตามแบบฉบับของหนุ่มญี่ปุ่น แต่แม่เจ้า กรี๊ดดดดด เค้าขอ ตอนขอ เค้าก็เล่าข้อเสียของบ้านเค้ามาให้เราฟังทั้งหมด ทั้งความหนาว หิมะสูง บ้านนอก ไม่มีสีสัน มีแต่ทุ่งนา ภูเขาล้อมรอบ ไม่มีห้างเหมือนในเมือง คือแบบถ้าเราคิดว่าเรารับไม่ได้อยู่ไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่งก็ได้เค้าก็คงจะเสียใจและทำใจ อูยยย แบบนี้ไม่ให้แต่งได้ไงคะ
ตอนจะแต่งงานก็ประกาศบอกเพื่อนๆ จะหนีไปตามหนุ่มญี่ปุ่นแล้วนะ ก็มีหลายเสียงถามไปที่ไหนก็บอกเค้าไปว่า Akita อะคิตะ ค่ะ เพื่อนคนไทยก็จะงงๆ ที่ไหนว่ะ ไม่รู้จัก ส่วนเพื่อนๆ คนญี่ปุ่นหลายคนพอได้ยินชื่อจังหวัด อะคิตะเท่านั้นแหละ ก็ เอ๋......... ยาวไปหลายคน พร้อมกับคำว่า เฮ่ยย จริงหรอ อะคิตะเนี่ยนะ หนาวแล้วก็ไม่มีอะไรเลยนะ เหยยยยย ขนาดนั้นเลยหรอแก เออ ไม่มีไรหรอกมีสามีคนรักอยู่ด้วยไม่น่าจะเป็นไรนะ ก็เริ่มคิดว่านะว่า ฉันจะรอดมั้ยเนี่ยมันไม่มีอะไรขนาดนั้นเลยหรอ ทำไมใครๆ ก็พูดแบบนี้นะ แต่ช่างเถอะ เพื่อความรักที่กำเบ่งบาน ใครมาพูดอะไรก็ไม่ทันล่ะ เพราะจัดการเรื่องแต่งงานที่ไทย จดทะเบียนที่ไทยแล้วด้วย แล้วเค้าก็กลับไปทำงานก่อน เรายี่นลาออกจากงานกลางปี ตอนออกจากงานเสียดายมากเพราะทุกอย่างกำลังลงตัว งานดี งานที่เราชอบ ทำแล้วสนุก เงินโอเค เพื่อนร่วมงานน่ารัก พี่ๆ เจ้านายดี คือแบบมีแอบคิดนะไม่แต่งก็ทำงานที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ ก็ดีนะ แต่แบบผู้ชายดีๆ ใช่ว่าจะมาบ่อยๆ อะไรสำคัญกว่านะ ก็ผู้ชายสิคะจบค่ะออกค่ะ หลังจากนั้น ก็ตามไปแต่งงานพิธีญี่ปุ่นแล้วไปอยู่กับเค้าเลยทีหลัง การจัดงานที่ญี่ปุ่นวางแผนเป็นระเบียบมาก สมราคามาก แอบเสียดายค่าจัดงาน เพราะถ้าจัดบ้านเราเลี้ยงแขกได้มากว่า 300 คน ด้วยงานที่อลังการ แต่ที่นี่แขก 60 คน งานเรียบง่ายธรรมดา สาเหตุการเที่ยวด้วยความที่ตั้งใจจะมีลูกปีหน้า ปีนี้ คุณสามีเลย พาตะลอนทำความรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวเล็กๆ น้อยๆ ที่อะคิตะ แบบแทบทุกจะสัปดาห์ เดี๋ยวท้องแล้วไปไหนลำบาก จึงเป็นที่มาของกระทู้นี้ เพราะไปมาด้วยตัวเองขับรถไปกันเอง เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัดมาให้ทุกคนได้อ่านกัน บวกกับตอนนี้ เจ้าของกระทู้ตั้งท้องแล้ว 3 เดือน มีความว่างและเวิ่นมากเลยมีเวลามานั่งเขียนกระทู้ยาวๆ แบบนี้ เฮ้ ต่อไปจะไปเที่ยวแล้วน๊า
สะใภ้ญี่ปุ่นพาเที่ยว จังหวัด อคิตะ Akita เมืองอีสานบ้านนอก แห่งญี่ปุ่น (+เวิ่นชีวิตเจ้าของกระทู้)
จังหวัดอะคิตะ กำลังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ตอนนี้หลายคนกำลังให้ความสนใจกัน เนื่องจากความเป็นธรรมชาติที่ยังคงอยู่ วัฒนธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง กับความใจดีของคนอะคิตะที่ทำให้เรารู้สึกดีตลอดเวลา จังหวัดนี้จึงเป็นที่ที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับขาลุยที่พร้อมจะไปทุกที่ การเที่ยวในอะคิตะ ง่ายสุดก็น่าจะเป็นรถยนต์ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวบางที่ต้องขับรถขึ้นเขายาวนานมากกว่าจะเข้าถึง แต่ขอบอกก่อนว่าไม่นานเกินรอและคุ้มที่จะเข้าถึง แต่หลายๆ ที่เดียวนี้ก็มีรถไฟท่องเที่ยว รถบัสบริการ ตลอดเวลา ไม่ต้องคิดมากค่ะ ตอนนี้ทางจังหวัดเริ่มกระตือรือร้นในการโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของจังหวัดนี้ เพราะแฟนบอกก่อนหน้านี้เงียบมากไม่เห็นทำอะไรกันเลยส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่นผ่านๆ แล้วมาเที่ยวกันเองมากกว่าขนาดคนญี่ปุ่นยังไม่ค่อยจะมาเที่ยวที่นี่เลย ตอนนี้มีโปรชัวร์ให้อ่านเข้าใจง่ายไปง่ายกลับง่าย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังทำเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่ จริงๆ พอดูได้ค่ะเพราะเค้าวาดรูปสัญลักษณ์ต่างๆ ให้เราเดาได้ง่ายถึงแม้จะเป็นภาษาญี่ปุ่น อะคิตะมีภาษาสำเนียงโดยเฉพาะพอๆ กับภาภาษาอีสานเลยค่ะแต่ยากกว่ามากเพราะคำสั้น พูดเร็ว ใช้ลิ้นดันหรือเอื้นเอ่ยแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่า เหมือนกัน เราพูด ใช่ อีสาน พูด บ่ ทางนั้น บอก Hai อะคิตะ พูด Dann’
กระทู้นี้ขอเขียนเวิ่นเว้อเล่าเรื่องราวของตัวเองซักหน่อยนะคะก่อนจะพาเที่ยวอาจจะยาวหน่อย และกระโดดไปกระโดดมาเพราะเค้าคิดอะไรออกเค้าก็จะเขียนออกมาเลย ณ ตอนนั้น ใครไม่อยากอ่านก็เลื่อนลงไปหาที่เที่ยวข้างล่างโลด ที่เที่ยวต่างๆ เป็นการบอกเล่าจากการพบเห็นของผู้ไปเที่ยวเอง จะไม่ค่อยมีสาระ รายละเอียด หรือวิชาการอะไรมากมาย พยายามจะลงชื่อสถานที่ท่องเที่ยวให้ถูกต้องแล้วกันนะคะ เพื่อนๆ จะได้ค้นหาถูก แต่จะเล่าถึงสถานที่ท่องเที่ยวจากตาของเจ้าของกระทู้ ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ให้ได้ชมไปพร้อมๆ กันนะคะ การใช้ภาษาจะเป็นการพูดคุยให้กันฟังกับเพื่อนญาติพี่น้อง ถ้าคำไหนไม่เหมาะสมก็ขอโทษด้วยนะคะ แนะนำด้วยนะคะ แต่ถ้าใครสนใจจังหวัดนี้แนะนำให้ติดตามเพจพี่คนไทยในอะคิตะในเฟสบุค https://www.facebook.com/akitabijinTH/ รูปสวยรูปเยอะรายละเอียดแน่นมีปล่อยสถานที่ท่องเที่ยวกับเทศกาลต่างๆ มาเรื่อยๆ เพจนี้พี่คนไทยทำกันเองข้อ นานๆ อัฟทีตามเทศกาลกับเวลาท่องเที่ยวของสถานที่นั้นๆ แต่ช่วยได้เยอะค่ะสำหรับคนที่อยากรู้จักจังหวัดอะคิตะ
เริ่มแรกเดิมที่ทำงานที่ กทม. ค่ะ แฟนได้รับมอบหมายให้มาทำงานชั่วคราวที่ไทย 3 ปี เลยเป็นพรหมลิขิตให้เจอกัน แฟนมาอยู่ไทยได้แค่ 4 เดือนก็ได้แฟนแล้วค๊า คือเค้าเอง 555 คือเราเองก็แรงไม่ใช่ย่อยใช่มั้ยคะ จริงๆ ถ้าเจอคนคุยกันถูกคอไม่ต้องดูกันนานก็ได้เนอะ หลังจากที่รู้จักกันสืบชัดแล้วว่าเค้าโสดสนิท ไม่มีเมียติดที่ญี่ปุ่น นิสัยดี ตั้งใจทำงานเหมือนกัน มีความรับผิดชอบ คบกัน 2 เดือนก็ตกลง เป็นแฟนกันแล้ว แหะๆ หลังจากรู้จักกันปีกว่าๆ เค้าก็พาไปรู้จักกับพ่อแม่เค้าที่ประเทศญี่ปุ่น จังหวัดอะคิตะ คือจริงๆ เพิ่งเคยได้ยินชื่อจังหวัดนี้เป็นครั้งแรก เพราะส่วนใหญ่เราจะรู้จักแต่จังหวัดใหญ่ๆ สำคัญๆ ตอนนั้นมีสายการบิน Korean Air บินตรงจากไทย ไปอะคิตะเลย พักเครื่องที่เกาหลี 1ชม ค่ะ แต่เดี๋ยวนี้สนามบินอะคิตะเลิกเป็นอินเตอร์แล้ว เดี๋ยวนี้เวลาไปเลยต้องลงสนามบินใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นก่อนแล้วค่อยต่อเครื่องภายในประเทศต่างหากมาที่จังหวัดนี้ การเดินที่มาจังหวัดนี้เท่าที่รู้ มี 3 แบบ คือ เครื่องบิน ไปกลับก็ 6000-10000บาท แล้วแต่ช่วง ใช้เวลาบิน 1 ชม. ที่สนามบินอะคิตะไม่มีรถไฟต่อถึงนะคะ แต่จะมีรถบัสบริการถ้าต้องการเข้าเมือง สองแบบรถไฟฟ้าชินกังเซน ราคาถูกกว่าเครื่องบินไม่กี่ร้อยบาท แต่นั่งเพลินๆ ไม่เบื่อได้ 3 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้วค่ะ ดีที่ตรงนี้ สถานีอะคิตะมีรถบัส รถไฟ ต่อยอดไปเที่ยวที่อื่นได้ สามอีกวิธีคือนั่งรถบัส วิธีที่ถูกสุดสำหรับใครอยากจะประหยัดค่าโรงแรมซักคืน นั่งรถบัสชิวๆ ตอนกลางคืน 12 ชม. ถึงปุ๊บตื่นเที่ยวปั๊บก็ได้ค่ะ ราคาไม่แน่ใจแต่ไม่น่าเกิน 3000 บาทนะคะ ตอนไปอะคิตะครั้งแรก ก็ไปช่วงที่ซากุระกำลังร่วงจะหมดแล้วค่ะประมาณ ต้นเดือน พฤษภาคม พื้นดินงี้แห้งไม่มีความเขียวของหญ้า ภูเขาก็มีหิมะปกคลุมปลายๆ แต่ความหนาวยังคงทำให้ขาสั่นได้ ครั้งแรกได้ไปเที่ยว น้ำตกร้อน สวนซากุระบ้านๆ แหล่งขายของฝากที่มีเทศกาลพอดีในตอนนั้น ไปอยู่ที่นั่นแค่ 3 คืน เพราะแฟนกับเราต้องกลับมาทำงานต่อที่ไทย เอาเป็นว่าเดียวมาลงรายละเอียดที่เที่ยวทีหลัง ตอนนี้เรามาเวิ่นต่อ
หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานที่ไทยพอแฟนทำงานครบ 3 ปี ฮือ ตอนนั้นคิดว่าคงจะเลิกกัน แล้วแฟนก็คงหนีไปแต่งงานดูตัวกับสาวญี่ปุ่นตามแบบฉบับของหนุ่มญี่ปุ่น แต่แม่เจ้า กรี๊ดดดดด เค้าขอ ตอนขอ เค้าก็เล่าข้อเสียของบ้านเค้ามาให้เราฟังทั้งหมด ทั้งความหนาว หิมะสูง บ้านนอก ไม่มีสีสัน มีแต่ทุ่งนา ภูเขาล้อมรอบ ไม่มีห้างเหมือนในเมือง คือแบบถ้าเราคิดว่าเรารับไม่ได้อยู่ไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่งก็ได้เค้าก็คงจะเสียใจและทำใจ อูยยย แบบนี้ไม่ให้แต่งได้ไงคะ
ตอนจะแต่งงานก็ประกาศบอกเพื่อนๆ จะหนีไปตามหนุ่มญี่ปุ่นแล้วนะ ก็มีหลายเสียงถามไปที่ไหนก็บอกเค้าไปว่า Akita อะคิตะ ค่ะ เพื่อนคนไทยก็จะงงๆ ที่ไหนว่ะ ไม่รู้จัก ส่วนเพื่อนๆ คนญี่ปุ่นหลายคนพอได้ยินชื่อจังหวัด อะคิตะเท่านั้นแหละ ก็ เอ๋......... ยาวไปหลายคน พร้อมกับคำว่า เฮ่ยย จริงหรอ อะคิตะเนี่ยนะ หนาวแล้วก็ไม่มีอะไรเลยนะ เหยยยยย ขนาดนั้นเลยหรอแก เออ ไม่มีไรหรอกมีสามีคนรักอยู่ด้วยไม่น่าจะเป็นไรนะ ก็เริ่มคิดว่านะว่า ฉันจะรอดมั้ยเนี่ยมันไม่มีอะไรขนาดนั้นเลยหรอ ทำไมใครๆ ก็พูดแบบนี้นะ แต่ช่างเถอะ เพื่อความรักที่กำเบ่งบาน ใครมาพูดอะไรก็ไม่ทันล่ะ เพราะจัดการเรื่องแต่งงานที่ไทย จดทะเบียนที่ไทยแล้วด้วย แล้วเค้าก็กลับไปทำงานก่อน เรายี่นลาออกจากงานกลางปี ตอนออกจากงานเสียดายมากเพราะทุกอย่างกำลังลงตัว งานดี งานที่เราชอบ ทำแล้วสนุก เงินโอเค เพื่อนร่วมงานน่ารัก พี่ๆ เจ้านายดี คือแบบมีแอบคิดนะไม่แต่งก็ทำงานที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ ก็ดีนะ แต่แบบผู้ชายดีๆ ใช่ว่าจะมาบ่อยๆ อะไรสำคัญกว่านะ ก็ผู้ชายสิคะจบค่ะออกค่ะ หลังจากนั้น ก็ตามไปแต่งงานพิธีญี่ปุ่นแล้วไปอยู่กับเค้าเลยทีหลัง การจัดงานที่ญี่ปุ่นวางแผนเป็นระเบียบมาก สมราคามาก แอบเสียดายค่าจัดงาน เพราะถ้าจัดบ้านเราเลี้ยงแขกได้มากว่า 300 คน ด้วยงานที่อลังการ แต่ที่นี่แขก 60 คน งานเรียบง่ายธรรมดา สาเหตุการเที่ยวด้วยความที่ตั้งใจจะมีลูกปีหน้า ปีนี้ คุณสามีเลย พาตะลอนทำความรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวเล็กๆ น้อยๆ ที่อะคิตะ แบบแทบทุกจะสัปดาห์ เดี๋ยวท้องแล้วไปไหนลำบาก จึงเป็นที่มาของกระทู้นี้ เพราะไปมาด้วยตัวเองขับรถไปกันเอง เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัดมาให้ทุกคนได้อ่านกัน บวกกับตอนนี้ เจ้าของกระทู้ตั้งท้องแล้ว 3 เดือน มีความว่างและเวิ่นมากเลยมีเวลามานั่งเขียนกระทู้ยาวๆ แบบนี้ เฮ้ ต่อไปจะไปเที่ยวแล้วน๊า