สวัสดีค่ะทุกคน นี่เป็นการตั้งกระทู้จริงจังมากของเรา อ่านแล้วอาจจะมึนๆ นิดๆ ตามประสาเราเลยจริงๆ #ขำ
ตอนเด็กๆ เคยคิดกันมั้ยคะ ถ้าเราได้ไปทัศนศึกษาที่ต่างประเทศกับเพื่อนๆ บ้าง มันคงเป็นอะไรที่เจ๋งแน่เลย จนวันนึงอาจารย์มาประกาศในคลาสเรียนว่า
“จะมีทริปทัศนศึกษาที่มาเลเซีย 3 วัน 2 คืน”
ตอนนั้นก็ดีใจเลยได้ไปต่างประเทศแล้ว เฮ้ย!!!! ถึงแม้จะตั้งคำถามในใจก็เถอะ ว่าทำไมต้องไปมาเลเซีย (หืม??)
เอาเป็นว่าทริปนี้ไปหาคำตอบกันค่ะ ว่าทำไมเราถึงต้องไปมาเลเซีย
ลืมมมมมมมม ตอนได้ยินคำว่าเที่ยวตอนแรกหูตาตั้งนั่นแหละค่ะ แต่ซักพักก็นึกได้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ล่ะเธอ
มาคิดอีกทีก็นึกได้ว่าเอ็งอย่าลืมว่ามันอยู่ในค่าเทอมนี่หว่า เท่ากับว่ารอบนี้ เตรียมเงินไปช็อปกัน ฮิ้ว !! (เสร็จหมู)
(แต่ไม่สบายใจตรงมีการบ้านมีคะแนน เฮ้ย!)
จากวันนั้นค่ะ เราก็ตั้งหน้าตั้งตารอเลย ก่อนเดินทางมีการประชุมเตรียมพร้อมกันเยอะมาก ทั้งเรื่องตั๋ว และ การแลกเงิน รวมไปถึงซิมสำหรับเปิดใช้ที่นู่น (ทุกอย่างเตรียมพร้อม)
เพราะงั้นเรากด ปุ่น SKIP ไปวันเดินทางกัน
ไปค่ะ เรามีนัดเช็คอินขึ้นเครื่องกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา ตี3 ไม่ต้องถามเลยค่ะว่าได้นอนมั้ย 5555 (เพราะนี่ไม่ได้นอน ตื่นเต้นไปนิด) แต่ถึงนัดเช้าตรู่ขนาดนั้น ก็ยังเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ ยังเฮฮากันได้อยู่

อย่างที่บอกค่ะ ว่าทริปนี้ จะมีผู้ร่วมทางเป็นอาจารย์ทั้งคณะ และนักศึกษาปี1 ปี2 ค่ะ คนจำนวนมากขนาดนี้ก็เลยต้องแบ่งกลุ่มเป็นรถบัสค่ะ แยกๆกันไป

รอบนี้เรา FLY กันกับ Malaysia Airline จ้า เดินทางด้วยเที่ยวบิน ....MH797 ครัช
ระหว่างต่อแถวเช็คอิน ก็จับม่อนรอค่ะ ยืนนิ่งๆ มีหลับแน่นอน
พอเช็คอินเสร็จ ก็เดินเข้าตม. กันไปเลยค่ะ ด้วยความที่เป็นทริปทัศนศึกษาแบบเด็กมหาลัย โตแล้วเดินทาง
เองได้ พี่ไกด์ก็ปล่อยฟรีสไตล์ให้พวกเราเดินเข้าตม.กันเองเลย ตื่นเต้นดีนะ ทำไรแบบเอ๋อๆนิดนึง
เอาเป็นว่า นี่เป็นทริปแรกของเราเลย ที่ไปต่างประเทศโดยที่ไม่ได้ไปกับที่บ้าน
หลังจากนั้นก็เปิดวาร์ปค่ะ เพราะ ขึ้นเครื่องมาก็หลับยาว แอร์เสิร์ฟมื้อเช้า กลิ่นมา ตาปิด แต่มือแกะๆ ตักๆเข้าปากสองสามคำ แล้วก็สลบเหมือดอีกรอบค่ะ
เหมือนชัทดาวน์กันไปไม่ถึง 2 ชั่วโมงค่ะ เราก็ถึงมาเลเซียกันแล้วววว (ม๊ายยยยย!!เราอยากนอนต่อ) สะลึมสะลือเหลือเกิน
ลงเครื่องมาก็ทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ แล้วเดินทางต่อ เหมือนเดิมตอนเดินข้างในไม่ได้มีโอกาสถ่ายรูปเลย เดินแบบสะลึมสะลือเหมือน walking dead มาถึงสายพานกระเป๋า ก็ตกใจค่ะ รีบวิ่งไปแทบไม่ทัน เพราะเค้ามีพนักงานผู้หญิงมายกกระเป๋าให้ทุกใบเลย คือกระเป๋าเราหนักนะเฮ้ย ยกคนเดียวมีปวดแหงมๆ

รอกระเป๋า รวมพล ก็ขึ้นรถบัสออกเดินทางกันต่อค่ะ เปลี่ยนซิม เปิดเครื่องรายงานตัวกับที่บ้านกัน
ตลอดทางก็จะมีอาจารย์ที่เป็นไกด์ และ ไกด์ท้องถิ่น อธิบายความเป็นมาของประเทศให้ฟัง พูดคุยทักทายกันตามปกติ

วิวข้างทางก็เป็นแบบที่เห็นค่ะ ใกล้สนามบินเป็นเหมือนพื้นที่แยกออกมาจากตัวเมือง รถราก็คล้ายๆ กับบ้านเรา แต่อาจจะมีไซส์เล็กลงมาหน่อย
รถบัสพาไปร้านอาหารจีนที่แรกค่ะ มื้อแรกก็ทำร้ายจิตใจกันเล็กน้อย หรืออาจจะเป็นที่เราไม่ถูกปากเอง ทั้งมื้อ ก็กินไข่เจียวกับปลา วนไปค่ะ จริงๆ มีอย่างอื่นเต็มโต๊ะเลย แต่ไม่ทันถ่าย ฮ่าๆ


กินเสร็จก็ออกเดินทางกันต่อ
ระหว่างนั่งรถ ก็แอบส่องข้างทางกันไป ส่วนตัวเราชอบที่นี่นะ มันก็มีความแปลกตาไปจากบ้านเมืองเรา ยิ่งเป็นคนบ้าถ่ายรูปจะสนุกมากค่ะ




เห็นตึกเยอะๆ แบบนี้ ลุงไกด์บอกว่า สังคมเมืองของมาเลเซียตอนนี้อาศัยอยู่แบบคอนโดค่ะ
มีทั้งแบบโลวคลั๊ช มีเดียมคลั๊ช ไฮคลั๊ช (เลียนเสียงคุงลุงไกด์)
ในทริปมีคุณลุงไกด์ท้องถิ่นเป็นชาวมาเล เชื้อชาติจีน พูดอิ้ง พูดไทย พูดมาเล โหว ขอซับไตเติ้ลแทบไม่ทัน
มาถึงจุดที่ชอบมากที่สุดในทริปค่ะ จตุรัสเมอร์เดก้าาาาาา อ้า อ้า อ้า
ความสำคัญของที่นี่ เป็นจุดที่มาเลเซียได้รับเอกราชค่ะ


อย่างตึกนี้ก็เคยเป็นที่ทำการของหน่วยงานราชการในยุคที่อังกฤษเข้ามาปกครอง
ชื่อ อาคารสุลต่านอับดุลซามัค กัวลาลัมเปอร์

ตรงข้ามกับตึก จะมีรูปรวมของคนสำคัญในประเทศ

แล้วก็มีเป็นลานกว้างลักษณะเป็นเหมือนส่วนกลางที่ทุกคนมาพักผ่อนหย่อนใจได้ค่ะ

ในบริเวณจตุรัสเมอร์เดก้า จากตรงสี่แยก ตรงนั้นมีพิพิธภัณฑ์ Kuala Lumpur City Gallery



เดินเข้าไปจะเป็นส่วนที่ใช้บอกเล่า ความเป็นมาของประเทศ เหตุการณ์สำคัญ แผนที่ประเทศ

ส่วนตัวชอบส่วนนี้มาก เป็นการบอกไทม์ไลน์เวลา กับการพัฒนาเมืองของเค้า
ในส่วนของข้อมูลข้างในจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดค่ะ เข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่
ถ้าใครว่ายากก็แปลเป็นคำๆไปก่อนได้ค่ะ (ขำ)


เสร็จแล้วก็ออกมารอขึ้นรถบัสค่ะ เราก็เอะใจอย่าง เพราะมองขึ้นไปเราจะเห็นตึกทำการของธนาคารหลายตึกมาก
เราก็ไม่รู้เหตุผลนะ แต่เห็นหลายตึกจริงๆ ประมาณ 7-8 ตึกได้
แต่เท่าที่ลองถามเค้า ดูเหมือนว่าจะเป็นที่ระบบผังเมืองของเค้า เพราะเหมือนตรงนี้เป็นศูนย์กลางการว่าการต่างๆของเค้า
ธนาคารของประเทศอยู่แถบนี้เหมือนกัน แต่ไม่ชัวร์นะคะ
เสร็จแล้วเราก็เดินทางกันต่อ

เราก็ไปต่อกันที่ Tourism Centre ที่นี่อยู่ใกล้ตึกปิโตรนาส เข้าไปก็มีการต้อนรับด้วยการแสดงท้องถิ่น
มาถึงจุดนี้ สารภาพว่าแอบเพลียจัดจริงๆ เพราะนี่ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน (น้ำตาจะไหล) รูปส่วนนี้เลยหายหมดค่ะ

ก่อนจะหมดทริปไปกับวันแรกค่ะ เราก็มาเยือน China town ของมาเลเซียค่ะ
ลงจากรสบัสมา คนบ้าถ่ายรูปอย่างเราก็กรี๊ดเลย จุดนี้ปล่อยฟรีสไตล์ค่ะ เราก็เดินชิว หาไรกิน หาของฝากกันไป

จากจุดจอดรถบัสเดินมานิดนึงเจอร้านแผงลอยค่ะ เหมือนจะเป็นร้านของกินเล่นท้องถิ่นเค้า แต่ยังไม่ได้ลองกินนะ เห็นว่าแปลกก็เลยแอบแชะมา

ชอบร้านนี้ น่ารักไปอีก (ขำ)
เดินได้ซักพักก็คิดกับเพื่อนได้ค่ะ ว่ามาถึงมาเลเซีย เราควรมาทำความรู้จักร้านท้องถิ่นค่ะ (ขำรัวๆ)

เซเว่นจ้าาาาา ท้องถิ่นเกือบทุกประเทศ (ได้หรอ) มีไวไฟด้วย เฮ้ย

ความเจ๋งมันอยู่ตรงนี้ Boxit ตรงตัวเลย “เอาใส่กล่อง” ยังไม่ได้ลองเล่นนะ
คาดว่าน่าจะสั่งซื้อ ผ่านเครื่องระบบจะเอาใส่กล่อง แล้วส่งไปที่บ้านไม่ต้องถือถุงให้หนัก (เกร๋ๆ)
ต่อไปก็เดินเข้าร้านไปสำรวจสินค้ากันค่ะ (ทางการไปอีก)
เดินวนไปค่ะ สินค้าก็ใกล้เคียงกับเรา อาจจะมียี่ห้อเดียวกับไทย บางอันก็เป็นภาษาไทยเลย ขนมกรุบกรอบ ยี่ห้อดังๆ ที่เราเห็นตามห้าง ขายที่นี่ก็ถูกด้วย (เพิ่มไขมันกันเถอะ)

อันนี้ต้องควักกล้องมาถ่ายค่ะ แม่เราเคยบอกว่าปลากระป๋อง อะยัม ถ้ามาจากมาเลจะอร่อยมาก (คุณแม่เป็นแฟนยี่ห้อนี้ค่ะ)
รู้เลยค่ะ ของฝากของคุณแม่เราจะเป็นอะไร
เดินวนต่อ เอ๊ะ สายตาสะดุดเล็กน้อย


ใกล้ๆกัน (อุ้ย ขอโทษค่ะ งานติ่งก็มา) พอๆ
ออกมาก็ได้กันคนละกล่องค่ะ เป็นอันตกลงกันว่ามาถึงนี่ เราต้องลองอะไรที่ไม่เคยกิน
ได้คนละกล่อง ก็เดินถ่ายรูปกันต่อ




กลัวไม่รู้ว่า มา China town เราก็ต้องถ่ายให้เห็น “หงเติงหลง” หรือโคมแดงค่ะ
ตึกสีเหลืองข้างๆ กัน คาดว่าเป็นโรงหนังค่ะ บรรยากาศเหมือนแถวเจริญกรุงบ้านเรา
ส่วนตัวไปไม่ได้เดินไปไหนไกลค่ะ เพราะแอบกลัวเดินกลับมาจุดนัดรถไม่ทัน
วันแรกเป็นเหมือนวันเบาๆ ของทริปค่ะ เน้นกินเที่ยว ถ่ายรูป เสร็จจาก China town
ก็ไปกินข้าวแล้วเข้าที่พักเลย ด้วยความที่กลับจากที่พักเร็วนิดนึง เราเลยแอบเดินออกมาหาไรกินเล่นแถวโรงแรมค่ะ
ไฮไลท์ของทริปมาอีกแล้ว

จำรูปที่เราถ่ายที่ China town ได้มั้ยที่เป็นเนื้อสัตว์ ผัก ลูกชิ้น สารพัดอย่างเสียบไม้เยอะๆ
ลูกชิ้น ไส้กรอก ผัก ไส้ตัน เต้าหู้ ขนมจีบ ราคาคิดตามไม้ ตามสีเลย 1 -5 ริงกิตค่ะ
ราคาโอเคค่ะ แต่อย่าคูณเงินไทย เพราะถ้ามานั่งคิด กุ้งเสียบไม้ 2 ตัว ราคา 40 บาท
ก็อาจจะกระอักเลือดนิดนึง แต่เพื่อความสนุกก็จัดไปหลายไม้

จะต้มในน้ำซุปกระดูกหมู ซุปต้มยำ มีหลายซุป คลุกแป้งแล้วทอด หรือจะย่าง แล้วแต่จะเลือกค่ะ
ชอบตรงที่มันเป็นรถ แล้วแต่งรถให้มีหม้อต้ม หม้อทอดรอบคัน (ลืมถ่ายเช่นเคย)

อย่างที่เรากินก็เป็นหนังไก่ คลุกแป้งแล้วทอด เสร็จแล้วก็กริลล์ร้อนเล็กให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วก็ทาซอสสูตรพิเศษ โรยผงพริกป่น
เราจบทริปวันแรกกันไปด้วยหนังไก่ทอดยามดึก เห็นถ่ายรูปไม้เดียวแต่นี่คือ ซื้อกินไปสองไม้
แล้วกลับมาซื้ออีก 3 ไม้ฝีมือเพื่อนค่ะ กินกันแบบไม่เกรงใจรอบพุงเลยทีเดียว
(เดี๋ยวว่างๆจะมาต่อ วันที่ 2 และ 3 ให้น้า) ช่วงนี้มีสอบมิดเทอม อาจจะมึนๆนิดนึง ฮ่าๆ
"โตแล้ว ไปไหนก็ได้ ~ ตะลุยทริปทัศนศึกษาแบบเด็กมหาลัย" #รูปเยอะนะขอรับ
ตอนเด็กๆ เคยคิดกันมั้ยคะ ถ้าเราได้ไปทัศนศึกษาที่ต่างประเทศกับเพื่อนๆ บ้าง มันคงเป็นอะไรที่เจ๋งแน่เลย จนวันนึงอาจารย์มาประกาศในคลาสเรียนว่า
“จะมีทริปทัศนศึกษาที่มาเลเซีย 3 วัน 2 คืน”
ตอนนั้นก็ดีใจเลยได้ไปต่างประเทศแล้ว เฮ้ย!!!! ถึงแม้จะตั้งคำถามในใจก็เถอะ ว่าทำไมต้องไปมาเลเซีย (หืม??)
เอาเป็นว่าทริปนี้ไปหาคำตอบกันค่ะ ว่าทำไมเราถึงต้องไปมาเลเซีย
ลืมมมมมมมม ตอนได้ยินคำว่าเที่ยวตอนแรกหูตาตั้งนั่นแหละค่ะ แต่ซักพักก็นึกได้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ล่ะเธอ
มาคิดอีกทีก็นึกได้ว่าเอ็งอย่าลืมว่ามันอยู่ในค่าเทอมนี่หว่า เท่ากับว่ารอบนี้ เตรียมเงินไปช็อปกัน ฮิ้ว !! (เสร็จหมู)
(แต่ไม่สบายใจตรงมีการบ้านมีคะแนน เฮ้ย!)
จากวันนั้นค่ะ เราก็ตั้งหน้าตั้งตารอเลย ก่อนเดินทางมีการประชุมเตรียมพร้อมกันเยอะมาก ทั้งเรื่องตั๋ว และ การแลกเงิน รวมไปถึงซิมสำหรับเปิดใช้ที่นู่น (ทุกอย่างเตรียมพร้อม)
เพราะงั้นเรากด ปุ่น SKIP ไปวันเดินทางกัน
ไปค่ะ เรามีนัดเช็คอินขึ้นเครื่องกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา ตี3 ไม่ต้องถามเลยค่ะว่าได้นอนมั้ย 5555 (เพราะนี่ไม่ได้นอน ตื่นเต้นไปนิด) แต่ถึงนัดเช้าตรู่ขนาดนั้น ก็ยังเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ ยังเฮฮากันได้อยู่
อย่างที่บอกค่ะ ว่าทริปนี้ จะมีผู้ร่วมทางเป็นอาจารย์ทั้งคณะ และนักศึกษาปี1 ปี2 ค่ะ คนจำนวนมากขนาดนี้ก็เลยต้องแบ่งกลุ่มเป็นรถบัสค่ะ แยกๆกันไป
รอบนี้เรา FLY กันกับ Malaysia Airline จ้า เดินทางด้วยเที่ยวบิน ....MH797 ครัช
ระหว่างต่อแถวเช็คอิน ก็จับม่อนรอค่ะ ยืนนิ่งๆ มีหลับแน่นอน
พอเช็คอินเสร็จ ก็เดินเข้าตม. กันไปเลยค่ะ ด้วยความที่เป็นทริปทัศนศึกษาแบบเด็กมหาลัย โตแล้วเดินทาง
เองได้ พี่ไกด์ก็ปล่อยฟรีสไตล์ให้พวกเราเดินเข้าตม.กันเองเลย ตื่นเต้นดีนะ ทำไรแบบเอ๋อๆนิดนึง
เอาเป็นว่า นี่เป็นทริปแรกของเราเลย ที่ไปต่างประเทศโดยที่ไม่ได้ไปกับที่บ้าน
หลังจากนั้นก็เปิดวาร์ปค่ะ เพราะ ขึ้นเครื่องมาก็หลับยาว แอร์เสิร์ฟมื้อเช้า กลิ่นมา ตาปิด แต่มือแกะๆ ตักๆเข้าปากสองสามคำ แล้วก็สลบเหมือดอีกรอบค่ะ
เหมือนชัทดาวน์กันไปไม่ถึง 2 ชั่วโมงค่ะ เราก็ถึงมาเลเซียกันแล้วววว (ม๊ายยยยย!!เราอยากนอนต่อ) สะลึมสะลือเหลือเกิน
ลงเครื่องมาก็ทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ แล้วเดินทางต่อ เหมือนเดิมตอนเดินข้างในไม่ได้มีโอกาสถ่ายรูปเลย เดินแบบสะลึมสะลือเหมือน walking dead มาถึงสายพานกระเป๋า ก็ตกใจค่ะ รีบวิ่งไปแทบไม่ทัน เพราะเค้ามีพนักงานผู้หญิงมายกกระเป๋าให้ทุกใบเลย คือกระเป๋าเราหนักนะเฮ้ย ยกคนเดียวมีปวดแหงมๆ
รอกระเป๋า รวมพล ก็ขึ้นรถบัสออกเดินทางกันต่อค่ะ เปลี่ยนซิม เปิดเครื่องรายงานตัวกับที่บ้านกัน
ตลอดทางก็จะมีอาจารย์ที่เป็นไกด์ และ ไกด์ท้องถิ่น อธิบายความเป็นมาของประเทศให้ฟัง พูดคุยทักทายกันตามปกติ
วิวข้างทางก็เป็นแบบที่เห็นค่ะ ใกล้สนามบินเป็นเหมือนพื้นที่แยกออกมาจากตัวเมือง รถราก็คล้ายๆ กับบ้านเรา แต่อาจจะมีไซส์เล็กลงมาหน่อย
รถบัสพาไปร้านอาหารจีนที่แรกค่ะ มื้อแรกก็ทำร้ายจิตใจกันเล็กน้อย หรืออาจจะเป็นที่เราไม่ถูกปากเอง ทั้งมื้อ ก็กินไข่เจียวกับปลา วนไปค่ะ จริงๆ มีอย่างอื่นเต็มโต๊ะเลย แต่ไม่ทันถ่าย ฮ่าๆ
กินเสร็จก็ออกเดินทางกันต่อ
ระหว่างนั่งรถ ก็แอบส่องข้างทางกันไป ส่วนตัวเราชอบที่นี่นะ มันก็มีความแปลกตาไปจากบ้านเมืองเรา ยิ่งเป็นคนบ้าถ่ายรูปจะสนุกมากค่ะ
เห็นตึกเยอะๆ แบบนี้ ลุงไกด์บอกว่า สังคมเมืองของมาเลเซียตอนนี้อาศัยอยู่แบบคอนโดค่ะ
มีทั้งแบบโลวคลั๊ช มีเดียมคลั๊ช ไฮคลั๊ช (เลียนเสียงคุงลุงไกด์)
ในทริปมีคุณลุงไกด์ท้องถิ่นเป็นชาวมาเล เชื้อชาติจีน พูดอิ้ง พูดไทย พูดมาเล โหว ขอซับไตเติ้ลแทบไม่ทัน
มาถึงจุดที่ชอบมากที่สุดในทริปค่ะ จตุรัสเมอร์เดก้าาาาาา อ้า อ้า อ้า
ความสำคัญของที่นี่ เป็นจุดที่มาเลเซียได้รับเอกราชค่ะ
อย่างตึกนี้ก็เคยเป็นที่ทำการของหน่วยงานราชการในยุคที่อังกฤษเข้ามาปกครอง
ชื่อ อาคารสุลต่านอับดุลซามัค กัวลาลัมเปอร์
ตรงข้ามกับตึก จะมีรูปรวมของคนสำคัญในประเทศ
แล้วก็มีเป็นลานกว้างลักษณะเป็นเหมือนส่วนกลางที่ทุกคนมาพักผ่อนหย่อนใจได้ค่ะ
ในบริเวณจตุรัสเมอร์เดก้า จากตรงสี่แยก ตรงนั้นมีพิพิธภัณฑ์ Kuala Lumpur City Gallery
เดินเข้าไปจะเป็นส่วนที่ใช้บอกเล่า ความเป็นมาของประเทศ เหตุการณ์สำคัญ แผนที่ประเทศ
ส่วนตัวชอบส่วนนี้มาก เป็นการบอกไทม์ไลน์เวลา กับการพัฒนาเมืองของเค้า
ในส่วนของข้อมูลข้างในจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดค่ะ เข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่
ถ้าใครว่ายากก็แปลเป็นคำๆไปก่อนได้ค่ะ (ขำ)
เสร็จแล้วก็ออกมารอขึ้นรถบัสค่ะ เราก็เอะใจอย่าง เพราะมองขึ้นไปเราจะเห็นตึกทำการของธนาคารหลายตึกมาก
เราก็ไม่รู้เหตุผลนะ แต่เห็นหลายตึกจริงๆ ประมาณ 7-8 ตึกได้
แต่เท่าที่ลองถามเค้า ดูเหมือนว่าจะเป็นที่ระบบผังเมืองของเค้า เพราะเหมือนตรงนี้เป็นศูนย์กลางการว่าการต่างๆของเค้า
ธนาคารของประเทศอยู่แถบนี้เหมือนกัน แต่ไม่ชัวร์นะคะ
เสร็จแล้วเราก็เดินทางกันต่อ
เราก็ไปต่อกันที่ Tourism Centre ที่นี่อยู่ใกล้ตึกปิโตรนาส เข้าไปก็มีการต้อนรับด้วยการแสดงท้องถิ่น
มาถึงจุดนี้ สารภาพว่าแอบเพลียจัดจริงๆ เพราะนี่ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน (น้ำตาจะไหล) รูปส่วนนี้เลยหายหมดค่ะ
ก่อนจะหมดทริปไปกับวันแรกค่ะ เราก็มาเยือน China town ของมาเลเซียค่ะ
ลงจากรสบัสมา คนบ้าถ่ายรูปอย่างเราก็กรี๊ดเลย จุดนี้ปล่อยฟรีสไตล์ค่ะ เราก็เดินชิว หาไรกิน หาของฝากกันไป
จากจุดจอดรถบัสเดินมานิดนึงเจอร้านแผงลอยค่ะ เหมือนจะเป็นร้านของกินเล่นท้องถิ่นเค้า แต่ยังไม่ได้ลองกินนะ เห็นว่าแปลกก็เลยแอบแชะมา
ชอบร้านนี้ น่ารักไปอีก (ขำ)
เดินได้ซักพักก็คิดกับเพื่อนได้ค่ะ ว่ามาถึงมาเลเซีย เราควรมาทำความรู้จักร้านท้องถิ่นค่ะ (ขำรัวๆ)
เซเว่นจ้าาาาา ท้องถิ่นเกือบทุกประเทศ (ได้หรอ) มีไวไฟด้วย เฮ้ย
ความเจ๋งมันอยู่ตรงนี้ Boxit ตรงตัวเลย “เอาใส่กล่อง” ยังไม่ได้ลองเล่นนะ
คาดว่าน่าจะสั่งซื้อ ผ่านเครื่องระบบจะเอาใส่กล่อง แล้วส่งไปที่บ้านไม่ต้องถือถุงให้หนัก (เกร๋ๆ)
ต่อไปก็เดินเข้าร้านไปสำรวจสินค้ากันค่ะ (ทางการไปอีก)
เดินวนไปค่ะ สินค้าก็ใกล้เคียงกับเรา อาจจะมียี่ห้อเดียวกับไทย บางอันก็เป็นภาษาไทยเลย ขนมกรุบกรอบ ยี่ห้อดังๆ ที่เราเห็นตามห้าง ขายที่นี่ก็ถูกด้วย (เพิ่มไขมันกันเถอะ)
อันนี้ต้องควักกล้องมาถ่ายค่ะ แม่เราเคยบอกว่าปลากระป๋อง อะยัม ถ้ามาจากมาเลจะอร่อยมาก (คุณแม่เป็นแฟนยี่ห้อนี้ค่ะ)
รู้เลยค่ะ ของฝากของคุณแม่เราจะเป็นอะไร
เดินวนต่อ เอ๊ะ สายตาสะดุดเล็กน้อย
ใกล้ๆกัน (อุ้ย ขอโทษค่ะ งานติ่งก็มา) พอๆ
ออกมาก็ได้กันคนละกล่องค่ะ เป็นอันตกลงกันว่ามาถึงนี่ เราต้องลองอะไรที่ไม่เคยกิน
ได้คนละกล่อง ก็เดินถ่ายรูปกันต่อ
กลัวไม่รู้ว่า มา China town เราก็ต้องถ่ายให้เห็น “หงเติงหลง” หรือโคมแดงค่ะ
ตึกสีเหลืองข้างๆ กัน คาดว่าเป็นโรงหนังค่ะ บรรยากาศเหมือนแถวเจริญกรุงบ้านเรา
ส่วนตัวไปไม่ได้เดินไปไหนไกลค่ะ เพราะแอบกลัวเดินกลับมาจุดนัดรถไม่ทัน
วันแรกเป็นเหมือนวันเบาๆ ของทริปค่ะ เน้นกินเที่ยว ถ่ายรูป เสร็จจาก China town
ก็ไปกินข้าวแล้วเข้าที่พักเลย ด้วยความที่กลับจากที่พักเร็วนิดนึง เราเลยแอบเดินออกมาหาไรกินเล่นแถวโรงแรมค่ะ
ไฮไลท์ของทริปมาอีกแล้ว
จำรูปที่เราถ่ายที่ China town ได้มั้ยที่เป็นเนื้อสัตว์ ผัก ลูกชิ้น สารพัดอย่างเสียบไม้เยอะๆ
ลูกชิ้น ไส้กรอก ผัก ไส้ตัน เต้าหู้ ขนมจีบ ราคาคิดตามไม้ ตามสีเลย 1 -5 ริงกิตค่ะ
ราคาโอเคค่ะ แต่อย่าคูณเงินไทย เพราะถ้ามานั่งคิด กุ้งเสียบไม้ 2 ตัว ราคา 40 บาท
ก็อาจจะกระอักเลือดนิดนึง แต่เพื่อความสนุกก็จัดไปหลายไม้
จะต้มในน้ำซุปกระดูกหมู ซุปต้มยำ มีหลายซุป คลุกแป้งแล้วทอด หรือจะย่าง แล้วแต่จะเลือกค่ะ
ชอบตรงที่มันเป็นรถ แล้วแต่งรถให้มีหม้อต้ม หม้อทอดรอบคัน (ลืมถ่ายเช่นเคย)
อย่างที่เรากินก็เป็นหนังไก่ คลุกแป้งแล้วทอด เสร็จแล้วก็กริลล์ร้อนเล็กให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วก็ทาซอสสูตรพิเศษ โรยผงพริกป่น
เราจบทริปวันแรกกันไปด้วยหนังไก่ทอดยามดึก เห็นถ่ายรูปไม้เดียวแต่นี่คือ ซื้อกินไปสองไม้
แล้วกลับมาซื้ออีก 3 ไม้ฝีมือเพื่อนค่ะ กินกันแบบไม่เกรงใจรอบพุงเลยทีเดียว
(เดี๋ยวว่างๆจะมาต่อ วันที่ 2 และ 3 ให้น้า) ช่วงนี้มีสอบมิดเทอม อาจจะมึนๆนิดนึง ฮ่าๆ