
หนึ่งในคำถามที่แม่มณีได้รับเป็นนิจสิน ไม่เคยต่ำกว่า once a week ก็คือคำถามที่ว่า “แม่มณีเจ้าขา ดิฉัน / กระผม / หนู เป็นโรค...... (จุด จุด จุด) ดิฉัน / กระผม / หนู ทำประกันได้มั้ย แล้วถ้าทำไปเค้าจะเคลมให้ดิฉัน / กระผม / หนู รึเป่า?
อันนี้แม่มณีก็เข้าใจถึงความกังวล แต่ทุก ๆ คนเจ้าคะ แม่มณีไม่ใช่ฝ่ายพิจารณาฯ เป็นเพียงลูกค้าที่มีความรู้ความเข้าใจประกันชีวิตและสนิทกับบ่าวไพร่ตัวแทนฯ เกลือกกลั้วทั่วไปเกือบจะทุกบริษัท แม่มณีก็เลยจัดการประชุมเชิงวิชาการกับบ่าวไพร่ ได้เป็นข้อสรุปความเข้าใจสำหรับผู้มีตำหนิทางสุขภาพ ให้รับทราบเป็นข้อมูลไว้ในการทำประกันนะเจ้าคะ
หากท่านมีประวัติ จัดว่าเป็นโรคหรือความผิดปกติใด ๆ ก่อนที่จะใคร่ทำประกัน สิ่งสำคัญคือ “ต้องกรอก” ลงไปในใบสมัคร โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง สังคัง ไซนัส ไขมันจัด ความดันสูง ถุงน้ำ เนื้องอก และอื่น ๆ อีกมากมาย เอาเป็นว่าถ้าข้อมูลไหนไม่มั่นใจว่าควรกรอกมั้ย ก็กรอก ๆ มันไปก่อน เสร็จแล้วก็ให้ตัวแทนร่อนใบคำขอเอาประกันเข้าบริษัทไป เค้าก็จะมีฝ่ายพิจารณารับประกัน คอยคัดสรรอ่านเอกสาร ถ้าประวัติท่านมันเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจไม่ต้องคอยนาน เค้าก็อนุมัติไปเลย แต่หากว่าเค้าข้องใจอาจจะขอให้เราไปตรวจสุขภาพ หรือขอประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลที่เราเคยรักษาเพื่อประกอบการพิจารณา ในส่วนนี้นั้นหนาตัวแทนประกันมักจะดูแลเดินเรื่องให้จนเสร็จกระบวนการ หลังจากนั้น ท่านก็จะได้รับผลการพิจารณารับประกัน
กรณีดีที่หนึ่ง ก็คือ รับประกันด้วยเบี้ยประกันปกติ อันนี้ก็ถือว่าปัญหาสุขภาพที่มีนั้น ไม่ได้รุนแรงอะไรมากมาย บริษัทประกันรับได้ ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่สุขภาพดีอะไร ถ้าออกหน้านี้ไซร้ก็สบายอารมณ์ สุขสมจูบปากกัน ลูกค้าก็แฮปปี้ดี๊ด๊า ตัวแทนก็หน้าบาน สมานฉันท์กันไป ไม่ต้องใช้ ม.44
กรณีต่อไป ยินดีด้วยคุณได้ไปต่อ แต่ขอให้ทำความรู้จักกับ “Counter Offer (ข้อเสนอใหม่)” อธิบายสั้น ๆ ว่า “รับประกันได้” แต่ไม่ใช่แบบปกติ เค้าก็จะมีข้อเสนอใหม่มาสำหรับเราโดยเฉพาะ แสนจะ priviledge อาจได้ราคาพิเศษแพงกว่าปกติ 25-100% หรืออาจเป็นข้อเสนอว่าเบี้ยประกันปกติ แต่ขอ “ยกเว้น” โรคหรืออาการบางอย่าง (ที่เราเป็นมาก่อนทำประกัน) ในข้อเสนอใหม่นั้นจะระบุอย่างชัดเจนว่าจะยกเว้นการรักษาอะไร ให้เราทำความเข้าใจให้จงหนัก ก่อนจะลงรักสักลายเซ็นต์ยอมรับ หรือ ปฏิเสธข้อเสนอใหม่ อย่างที่ใจเราต้องการ
โดยส่วนใหญ่โรคอะไรที่มันเฉพาะเจาะจง ไม่ส่งผลถึงโรคอื่น ๆ มักจะขึ้นข้อเสนอใหม่เป็นสไตล์การ “ยกเว้น” เช่น เนื้องอก ไซนัส ริดซี่ กระเพาะ ภูมิแพ้ อาการแค่จิ๊บ ๆ แบบนี้ประกันรับได้ ก็จะขอแค่ยกเว้นการเคลมสำหรับโรคที่เป็นมาก่อนทำประกันแค่นั้น แต่ถ้าท่านมีอาการที่มันจำกัดไม่ได้ว่าจะบานปลายไปเป็นโรคอะไรบ้าง เช่น ความดันสูง ไขมันสูง น้ำหนักเกินมาตรฐาน ความดันสูงอาจจะทำให้ปวดหัว ตามัว หกล้มหัวฟาด ไขมันสูงอาจจะบานไปเป็นหัวใจ หรือเส้นเลือดสมองแตก น้ำหนักเยอะเกินอาจจะเคลมปวดข้อ ลามไปเบาหวาน บานไปเป็นหัวใจ โอ้ย! ใครจะไปตามยกเว้นได้หมดทุกความเป็นไปได้ เช่นนี้ไซร้ บริษัทประกันอาจพิจารณาข้อเสนอใหม่เป็นการเพิ่มเบี้ยประกัน ก็เพิ่มได้ตั้งแต่ 25% /50% ลามไปเป็น 100% อันนี้ก็แล้วแต่ความรุนแรงของโรคที่คุณเป็นอยู่
ในฐานะลูกค้า เรามีสิทธิ์พิจารณา Counter offer (ข้อเสนอใหม่) ว่าถูกใจเราหรือไม่ ถ้าเราถูกใจ เราก็ตอบรับ ซึ่งถ้าตอบรับก็หมายถึงว่า ในอนาคตจะไม่มีปัญหาอะไรเรื่องเคลมนอกเหนือจากที่เขียนไว้อีกแล้ว เช่น ถ้าเกิดว่ายกเว้นเนื้องอก ในอนาคตถ้าเป็นอะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับเนื้องอก ก็ต้องเคลมได้ หรือสมมุติถ้าโดนเพิ่มเบี้ย 50% จากโรคความดันฯ ถ้าเราตอบรับนั้นก็แปลว่าในอนาคตกรูจะเคลมความดันฯ ก็ต้องจ่ายสินไหม เพราะเราได้แถลงและตกลงกันไว้แล้วตั้งแต่เริ่มทำประกัน จะมาบิดพลิ้วกันไม่ได้
ในทางกลับกันถ้าเราไม่ถูกใจ เราก็มีสิทธิ์ปฏิเสธได้เหมือนกัน และบริษัทประกันต้องคืนเบี้ยประกันเรา เค้ากับเราเข้ากันไม่ได้ แยกทางกันไป เอาตังค์คืนมา
กรณีต่อไปอีก (เฮ้ยยย เยอะจุง) เรียกว่า “เลื่อนรับประกัน” อันนี้ก็มีถามกันเข้ามาหาแม่มณี ยังงี้แปลว่าเค้าไม่รับประกันใช่มั้ยแม่? แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ แบบนี้ไซร้แปลว่าเค้าขอรอดูใจกันไปซักพัก ให้หัวใจได้พักผ่อน ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะพิจารณา เช่นว่าเราเพิ่งไปผ่าตัดมาหนัก ๆ เค้าก็ขอเวลาสักพักว่าการผ่าตัดนั้นมันเรียบร้อยดี ไม่มี after shock อีกซัก 6 เดือนมาเจอกันใหม่ ยื่นใบคำขอฯ เข้าไปตอนนั้นอาจจะพิจารณารับประกันแบบปกติเลยก็เป็นได้
กรณีสุดท้าย (ในที่สุด) คือจบเจ็บ ๆ มีตังค์ก็ยังซื้อไม่ได้ เรียกว่า “ปฏิเสธการรับประกัน” แบบนี้นั้นแหล่ะที่แปลว่า “ไม่รับ” เรามีความเสี่ยงเยอะจัดเกินระดับที่ฝ่ายพิจารณาจะรับได้ อันนี้ก็ต้องรักษาสุขภาพให้ดีนะเจ้าคะ เพราะแปลว่าสุขภาพเรานั้นอยู่ในระดับความเสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วย ที่สำคัญไม่มีใครช่วย เราต้องออกค่ารักษาเอง แต่ในอนาคตถ้าเรารักษาสุขภาพดี ๆ ชีวีเป็นปกติ ก็อาจจะสามารถทำประกันได้ใหม่นะเจ้าคะ
ผลการพิจารณาที่ออกมานั้น ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันทุกบริษัท ขึ้นอยู่กับความจัดจ้านของฝ่ายพิจารณาแต่ละคนแต่ละที่ ขนาดในบริษัทเดียวกันยังอาจมีความเมตตาที่แตกต่าง เคสเดียวกัน บางที่ไม่รับประกัน บางที่อาจยอมรับอย่างมีเงื่อนไข ในฐานะลูกค้า ถ้าเรามิได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เรามีสิทธิ์จะลองส่งใบคำขอเอาประกันมากกว่าหนึ่งบริษัท เพื่อจะวัดว่าที่ไหนให้ข้อเสนอที่ดีกว่า ถ้าเราถูกใจที่ไหนก็ตอบรับ บริษัทที่เหลือ เราก็ปฏิเสธเงื่อนไข ได้เบี้ยประกันคืน ทั้งนี้สิ่งสำคัญอยู่ที่การแถลงข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนั้นหนาข้อเสนอบางอย่าง หากผ่านกาลเวลาไปแล้วเราไม่ได้มีประวัติเป็นโรคนั้นอีกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง (ประมาณซัก 2 ปีขึ้นไป) เราก็ยังมิสิทธิ์ขอกลับมาเป็นสามัญชนได้ เช่นแม่มณี เป็นริดซี่ (ดวงทวาร) ทำประกันไปโดนยกเว้นโรคนี้ แต่ผ่านมา 3 ปีแม่มณีมีกล้วยน้ำว้าเป็นเพื่อนสนิท ริดซี่ไม่ได้ออกฤทธิ์มาโดยตลอด แม่ก็สอดจดหมายให้บ่าวไพร่ยื่นเรื่องไปที่บริษัทประกันพร้อมประวัติการรักษา ปัจจุบันข้าก็กลับมาเป็นสามัญชนคนไม่มี priviledge คุ้มครองไม่มีข้อยกเว้นแล้วเจ้าค่ะ แต่อันนี้ก็แล้วแต่เคสนะ เป็นสิทธิ์ของบริษัทเต็มที่ที่จะพิจารณา
ที่แม่มณีสาธยายมา หวังว่าจะเป็นวิสัชนาให้กับหลาย ๆ ท่าน โดยเฉพาะลูกกตัญญูที่เป็นผู้อยากทำประกันสุขภาพให้บิดา มารดา แต่เกินกว่า 50% ของคนวัยนี้ มักมีปัญหาสุขภาพมาบ้างไม่มากก็น้อยทั้งนั้น ก็ลองยื่นใบคำขอฯ ไปหลาย ๆ บริษัทประกันที่เราชอบใจ ผลที่ไหนถูกใจเราค่อยเลือกเอาก็ได้เจ้าค่ะ เพราะไม่ใช่ว่าแค่บริษัทประกันนะที่มีสิทธิ์เลือกที่จะรับหรือไม่รับประกัน ลูกค้ามืออาชีพนั้น ถึงจะมีโรค แต่ก็มีสิทธิ์เลือกนะตัวเธอว์
Counter Offer เอกสิทธิ์ Privilege สำหรับผู้มีประวัติสุขภาพ โดย เเม่มณี Ms.Many
หนึ่งในคำถามที่แม่มณีได้รับเป็นนิจสิน ไม่เคยต่ำกว่า once a week ก็คือคำถามที่ว่า “แม่มณีเจ้าขา ดิฉัน / กระผม / หนู เป็นโรค...... (จุด จุด จุด) ดิฉัน / กระผม / หนู ทำประกันได้มั้ย แล้วถ้าทำไปเค้าจะเคลมให้ดิฉัน / กระผม / หนู รึเป่า?
อันนี้แม่มณีก็เข้าใจถึงความกังวล แต่ทุก ๆ คนเจ้าคะ แม่มณีไม่ใช่ฝ่ายพิจารณาฯ เป็นเพียงลูกค้าที่มีความรู้ความเข้าใจประกันชีวิตและสนิทกับบ่าวไพร่ตัวแทนฯ เกลือกกลั้วทั่วไปเกือบจะทุกบริษัท แม่มณีก็เลยจัดการประชุมเชิงวิชาการกับบ่าวไพร่ ได้เป็นข้อสรุปความเข้าใจสำหรับผู้มีตำหนิทางสุขภาพ ให้รับทราบเป็นข้อมูลไว้ในการทำประกันนะเจ้าคะ
หากท่านมีประวัติ จัดว่าเป็นโรคหรือความผิดปกติใด ๆ ก่อนที่จะใคร่ทำประกัน สิ่งสำคัญคือ “ต้องกรอก” ลงไปในใบสมัคร โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง สังคัง ไซนัส ไขมันจัด ความดันสูง ถุงน้ำ เนื้องอก และอื่น ๆ อีกมากมาย เอาเป็นว่าถ้าข้อมูลไหนไม่มั่นใจว่าควรกรอกมั้ย ก็กรอก ๆ มันไปก่อน เสร็จแล้วก็ให้ตัวแทนร่อนใบคำขอเอาประกันเข้าบริษัทไป เค้าก็จะมีฝ่ายพิจารณารับประกัน คอยคัดสรรอ่านเอกสาร ถ้าประวัติท่านมันเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจไม่ต้องคอยนาน เค้าก็อนุมัติไปเลย แต่หากว่าเค้าข้องใจอาจจะขอให้เราไปตรวจสุขภาพ หรือขอประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลที่เราเคยรักษาเพื่อประกอบการพิจารณา ในส่วนนี้นั้นหนาตัวแทนประกันมักจะดูแลเดินเรื่องให้จนเสร็จกระบวนการ หลังจากนั้น ท่านก็จะได้รับผลการพิจารณารับประกัน
กรณีดีที่หนึ่ง ก็คือ รับประกันด้วยเบี้ยประกันปกติ อันนี้ก็ถือว่าปัญหาสุขภาพที่มีนั้น ไม่ได้รุนแรงอะไรมากมาย บริษัทประกันรับได้ ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่สุขภาพดีอะไร ถ้าออกหน้านี้ไซร้ก็สบายอารมณ์ สุขสมจูบปากกัน ลูกค้าก็แฮปปี้ดี๊ด๊า ตัวแทนก็หน้าบาน สมานฉันท์กันไป ไม่ต้องใช้ ม.44
กรณีต่อไป ยินดีด้วยคุณได้ไปต่อ แต่ขอให้ทำความรู้จักกับ “Counter Offer (ข้อเสนอใหม่)” อธิบายสั้น ๆ ว่า “รับประกันได้” แต่ไม่ใช่แบบปกติ เค้าก็จะมีข้อเสนอใหม่มาสำหรับเราโดยเฉพาะ แสนจะ priviledge อาจได้ราคาพิเศษแพงกว่าปกติ 25-100% หรืออาจเป็นข้อเสนอว่าเบี้ยประกันปกติ แต่ขอ “ยกเว้น” โรคหรืออาการบางอย่าง (ที่เราเป็นมาก่อนทำประกัน) ในข้อเสนอใหม่นั้นจะระบุอย่างชัดเจนว่าจะยกเว้นการรักษาอะไร ให้เราทำความเข้าใจให้จงหนัก ก่อนจะลงรักสักลายเซ็นต์ยอมรับ หรือ ปฏิเสธข้อเสนอใหม่ อย่างที่ใจเราต้องการ
โดยส่วนใหญ่โรคอะไรที่มันเฉพาะเจาะจง ไม่ส่งผลถึงโรคอื่น ๆ มักจะขึ้นข้อเสนอใหม่เป็นสไตล์การ “ยกเว้น” เช่น เนื้องอก ไซนัส ริดซี่ กระเพาะ ภูมิแพ้ อาการแค่จิ๊บ ๆ แบบนี้ประกันรับได้ ก็จะขอแค่ยกเว้นการเคลมสำหรับโรคที่เป็นมาก่อนทำประกันแค่นั้น แต่ถ้าท่านมีอาการที่มันจำกัดไม่ได้ว่าจะบานปลายไปเป็นโรคอะไรบ้าง เช่น ความดันสูง ไขมันสูง น้ำหนักเกินมาตรฐาน ความดันสูงอาจจะทำให้ปวดหัว ตามัว หกล้มหัวฟาด ไขมันสูงอาจจะบานไปเป็นหัวใจ หรือเส้นเลือดสมองแตก น้ำหนักเยอะเกินอาจจะเคลมปวดข้อ ลามไปเบาหวาน บานไปเป็นหัวใจ โอ้ย! ใครจะไปตามยกเว้นได้หมดทุกความเป็นไปได้ เช่นนี้ไซร้ บริษัทประกันอาจพิจารณาข้อเสนอใหม่เป็นการเพิ่มเบี้ยประกัน ก็เพิ่มได้ตั้งแต่ 25% /50% ลามไปเป็น 100% อันนี้ก็แล้วแต่ความรุนแรงของโรคที่คุณเป็นอยู่
ในฐานะลูกค้า เรามีสิทธิ์พิจารณา Counter offer (ข้อเสนอใหม่) ว่าถูกใจเราหรือไม่ ถ้าเราถูกใจ เราก็ตอบรับ ซึ่งถ้าตอบรับก็หมายถึงว่า ในอนาคตจะไม่มีปัญหาอะไรเรื่องเคลมนอกเหนือจากที่เขียนไว้อีกแล้ว เช่น ถ้าเกิดว่ายกเว้นเนื้องอก ในอนาคตถ้าเป็นอะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับเนื้องอก ก็ต้องเคลมได้ หรือสมมุติถ้าโดนเพิ่มเบี้ย 50% จากโรคความดันฯ ถ้าเราตอบรับนั้นก็แปลว่าในอนาคตกรูจะเคลมความดันฯ ก็ต้องจ่ายสินไหม เพราะเราได้แถลงและตกลงกันไว้แล้วตั้งแต่เริ่มทำประกัน จะมาบิดพลิ้วกันไม่ได้
ในทางกลับกันถ้าเราไม่ถูกใจ เราก็มีสิทธิ์ปฏิเสธได้เหมือนกัน และบริษัทประกันต้องคืนเบี้ยประกันเรา เค้ากับเราเข้ากันไม่ได้ แยกทางกันไป เอาตังค์คืนมา
กรณีต่อไปอีก (เฮ้ยยย เยอะจุง) เรียกว่า “เลื่อนรับประกัน” อันนี้ก็มีถามกันเข้ามาหาแม่มณี ยังงี้แปลว่าเค้าไม่รับประกันใช่มั้ยแม่? แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ แบบนี้ไซร้แปลว่าเค้าขอรอดูใจกันไปซักพัก ให้หัวใจได้พักผ่อน ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะพิจารณา เช่นว่าเราเพิ่งไปผ่าตัดมาหนัก ๆ เค้าก็ขอเวลาสักพักว่าการผ่าตัดนั้นมันเรียบร้อยดี ไม่มี after shock อีกซัก 6 เดือนมาเจอกันใหม่ ยื่นใบคำขอฯ เข้าไปตอนนั้นอาจจะพิจารณารับประกันแบบปกติเลยก็เป็นได้
กรณีสุดท้าย (ในที่สุด) คือจบเจ็บ ๆ มีตังค์ก็ยังซื้อไม่ได้ เรียกว่า “ปฏิเสธการรับประกัน” แบบนี้นั้นแหล่ะที่แปลว่า “ไม่รับ” เรามีความเสี่ยงเยอะจัดเกินระดับที่ฝ่ายพิจารณาจะรับได้ อันนี้ก็ต้องรักษาสุขภาพให้ดีนะเจ้าคะ เพราะแปลว่าสุขภาพเรานั้นอยู่ในระดับความเสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วย ที่สำคัญไม่มีใครช่วย เราต้องออกค่ารักษาเอง แต่ในอนาคตถ้าเรารักษาสุขภาพดี ๆ ชีวีเป็นปกติ ก็อาจจะสามารถทำประกันได้ใหม่นะเจ้าคะ
ผลการพิจารณาที่ออกมานั้น ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันทุกบริษัท ขึ้นอยู่กับความจัดจ้านของฝ่ายพิจารณาแต่ละคนแต่ละที่ ขนาดในบริษัทเดียวกันยังอาจมีความเมตตาที่แตกต่าง เคสเดียวกัน บางที่ไม่รับประกัน บางที่อาจยอมรับอย่างมีเงื่อนไข ในฐานะลูกค้า ถ้าเรามิได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เรามีสิทธิ์จะลองส่งใบคำขอเอาประกันมากกว่าหนึ่งบริษัท เพื่อจะวัดว่าที่ไหนให้ข้อเสนอที่ดีกว่า ถ้าเราถูกใจที่ไหนก็ตอบรับ บริษัทที่เหลือ เราก็ปฏิเสธเงื่อนไข ได้เบี้ยประกันคืน ทั้งนี้สิ่งสำคัญอยู่ที่การแถลงข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนั้นหนาข้อเสนอบางอย่าง หากผ่านกาลเวลาไปแล้วเราไม่ได้มีประวัติเป็นโรคนั้นอีกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง (ประมาณซัก 2 ปีขึ้นไป) เราก็ยังมิสิทธิ์ขอกลับมาเป็นสามัญชนได้ เช่นแม่มณี เป็นริดซี่ (ดวงทวาร) ทำประกันไปโดนยกเว้นโรคนี้ แต่ผ่านมา 3 ปีแม่มณีมีกล้วยน้ำว้าเป็นเพื่อนสนิท ริดซี่ไม่ได้ออกฤทธิ์มาโดยตลอด แม่ก็สอดจดหมายให้บ่าวไพร่ยื่นเรื่องไปที่บริษัทประกันพร้อมประวัติการรักษา ปัจจุบันข้าก็กลับมาเป็นสามัญชนคนไม่มี priviledge คุ้มครองไม่มีข้อยกเว้นแล้วเจ้าค่ะ แต่อันนี้ก็แล้วแต่เคสนะ เป็นสิทธิ์ของบริษัทเต็มที่ที่จะพิจารณา
ที่แม่มณีสาธยายมา หวังว่าจะเป็นวิสัชนาให้กับหลาย ๆ ท่าน โดยเฉพาะลูกกตัญญูที่เป็นผู้อยากทำประกันสุขภาพให้บิดา มารดา แต่เกินกว่า 50% ของคนวัยนี้ มักมีปัญหาสุขภาพมาบ้างไม่มากก็น้อยทั้งนั้น ก็ลองยื่นใบคำขอฯ ไปหลาย ๆ บริษัทประกันที่เราชอบใจ ผลที่ไหนถูกใจเราค่อยเลือกเอาก็ได้เจ้าค่ะ เพราะไม่ใช่ว่าแค่บริษัทประกันนะที่มีสิทธิ์เลือกที่จะรับหรือไม่รับประกัน ลูกค้ามืออาชีพนั้น ถึงจะมีโรค แต่ก็มีสิทธิ์เลือกนะตัวเธอว์