" Trans-siberian รถไฟคันใหญ่ในความทรงจำของชายตัวเล็ก "
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่ทุกอย่างยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำไม่เคยเลือนหาย เหมือนทุกอย่างเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน
เพื่อนๆชาวรัสเซียที่เคยพบเจอระหว่างการเดินทางยังคงทักทายผ่านโซเชียลอยู่เป็นระยะๆ เปรียบเสมือนเครื่องเตือนความจำให้คิดถึงอยู่เสมอ
จากตอนที่แล้วผมอยู่ที่เมือง Ekaterinburg และเป้าหมายเมืองต่อไปคือ Moscow เมืองหลวงของรัสเซียนั้นเอง
และ แน่นอนว่าคนที่มาส่งผมขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่เมื่อหวลงของรัสเซีย คือ สาวน้อยยิ้มสวยที่ ชื่อ Elena นั้นเอง
และแล้วก็ถึงเวลากล่าวคำอำลาเมือง Ekaterinburg ด้วยรอยยิ้มที่คงไม่มีวันลืม
การเดินทางจาก Ekaterinburg ถึง Moscow ใช้เวลาเดินทางราว 31 ชั่วโมง
รถไฟชั้น 3 ราคา 3,524 รูเบิ้ล

หลังจากขึ้นรถไฟเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของรัสเซีย ผมก็นั่งคิดในใจว่า ด้วยที่ Moscow (ชาวรัสเซียออกเสียงว่า มอส-โคว-บ๊ะ)
เป็นเมืองที่ใหญ่มาก แล้วผมคงจะหาโฮสเทลที่ผมจองไว้ได้ยากมาก และผมจะถึงมอสโควช่วงเย็นๆราว 4 โมงเย็นตามเวลามอสโคว
ซึ่งเวลาตอนนั้นก็ใกล้พลบค่ำแล้วที่นั้นมันมืดเร็วมาก และตัวช่วยที่ดีที่สุด และไพ่ใบสุดท้ายคือการส่งอีเมลหา Kirill หนุ่มใหญ่ใจดีที่ผม
ได้เจอที่โฮสเทลในเมือง Irkutsk นั้นเอง (ลองกลับไปอ่านกระทู้อันแรก ช่วงเมือง Irkutsk ผมได้เกริ่นถึง Kirill ไว้นิดหน่อยครับ)
เพราะก่อนที่ Kirill จะเชคเอาท์ออกจากโฮสเทล เค้าได้ทิ้งโน๊ต พร้อมอีเมลว่า ตัวเค้าเองจะกลับไปมอสโคว
ถ้าตัวผมเดินทางถึงมอสโควแล้วให้ติดต่อเค้าด้วยนะ และในใจก็คาดหวังว่า Kirill อาจจะมารับที่สถานีรถไฟเมื่อถึงมอสโคว...
(รับประกันว่าหลับสบาย ด้วยชุดผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนที่ขาวสะอาด และ ผ้าขนหนูผืนเล็ก บนรถไฟ)
ตัดภาพไปที่ขณะอยู่บนไฟสายทรานไซบีเรียมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
ณ ตอนนี้ผมผ่านการเดินทางมาเกินครึ่งทางแล้ว ใกล้ที่จะจบการเดินอันแสนยาวนานของผม ร่างกายตอนนี้บอกผมว่า
ผมเหนื่อยเกินกว่าจะบันทึกภาพต่างๆ ด้วยอารมณ์ที่ตื่นเต้น เหมือนช่วงแรกๆของการเดิน
ด้วยอากาศหนาวเย็นที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อนตลอดอายุ 30 ปี (หนาวเต็มที่แถวบ้านก็ 25 C อย่าเรียกว่าหนาวเลยครับ อายเค้า)
ทำให้ร่างกายผมเริ่มหมดแรงจากการเดินทางหลายพันกิโลเมตร และผมก็คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารรสจัดแบบแกงปักษ์ใต้บ้านผม
และ แน่นอนว่า การเดินทางด้วยรถไฟชั้น 3 ซึ่งเป็นขบวนที่ไม่ได้มีห้องแบ่งเป็นสัดส่วนนั้น การพบป่ะผู้ร่วมเดินทางนั้นย่อมหลากหลาย
รอบนี้ผู้ร่วมเดินทางเตียงฝั่งตรงข้ามผมเป็นสาวสวย ผมคงต้องยอมรับว่าเธอนั้นสวยจริงๆ น่าจะเรียนอยู่มหาลัย เพราะนั้งอ่านแต่ชีทเรียน
โดยไม่สนใจที่ทำความรู้จักกับ หนุ่มตัวเล็กหน้าเอเชียอย่างผมสักเท่าไร
แต่ก็ไม่เป็นไรอย่างน้อย ผมยังมีหนุ่มน้อยที่ไม่รู้จักชื่อ ที่อยู่ดีๆก็ชวนผมไปนั่งกระดกเบียร์ชิวๆ ที่ตู้เสบียงซะอย่างนั้น
(หนุ่มน้อยรัสเซีย หน้าตาอย่างเอเชีย)
ด้วยหน้าตาที่เป็นเอเชียเหมือนกัน แต่ บทสนทนานั้นคนละภาษา หนุ่มน้อยนั้นพูดอังกฤษไม่ได้ ส่วนเรานั้นก็ฟังภาษารัสเซียไม่ออก
คงมีเพียงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์ทำให้ระบบประสาทมึนงงเป็นตัวเชื่อมระหว่างคน 2 ชนชาติเข้าด้วยกัน
ลองสมมุติว่าเพื่อนๆที่เข้ามาอ่าน เป็นคนที่เดินทางในขบวนรถไฟเดียวกับผมแล้วได้เดินผ่านโต๊ะที่มี 2 หนุ่นหน้าตาน่าจะชนชาติเดียวกัน
แต่มันดันคุยคนละภาษา และ ออกอาการเหมือนว่าเข้าใจที่แต่ละคนพูด คงเป็นภาพที่ออกมาชวนให้งงงวยสงสัยเป็นแน่นอน
"ว่าไอสองตัวนี้มันคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร 55555"
(เหล่าเครื่องดื่มบนรถไฟสายทรานไซบีเรีย)
(กับแกล้ม เป็นปลาตากแห้ง ก่อนทานก็ฉีกหนังออก รสชาติเค็มๆมันๆ ถ้าให้ดีเอาไปทอดก่อนสักหน่อยจะดีมาก)
บทสนทนาของเรา 2 คน ดำเนินไปเชื่องช้า และ มึนงง ผ่านเมืองแล้วเมืองเล่า ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปนอนที่เตียง
ก่อนจะไปประจำที่เตียงนอนของแต่ละคน เจ้าหนุ่มน้อยได้โยนแอปเปิ้ลให้ผม 1 ลูก โดยที่ผมสังเกตว่า ลูกที่เจ้าหนุ่มนั้นถืออยู่นั้น
มันช่ำๆและดูไม่น่าทานเท่าไร ส่วนลูกที่โยนให้ผมนั้นยังคงดูสดและน่าทานอยู่
"นี้ซินะ ที่เรียกว่า การแบ่งปัน และน้ำใจที่มีให้กัน มันสวยงาม และยากที่จะลืมเลือน"
ผ่านค่ำคืนอันยาวนาน และ หนาวเหน็บ บนรถไฟสายยาว ผมตื่นเช้าขึ้นมา พร้อมกับพบว่า หนุ่มน้อยรัสเซียหน้าเอเชีย
ได้ลงจากรถไฟขบวนนี้ไปแล้ว ซึ่งสังเกตได้ไม่ยากการ เพราะถ้าถึงสถานีที่เราต้องการลง เราต้องเก็บผ้าปูที่นอนคืน
ให้ทางเจ้าหน้าที่ แล้วพับฟูกเก็บหมอนให้เรียบร้อยนั้นเอง โดยที่ไม่มีคำกล่าวลาแต่อย่างใด
แต่ลึกๆแล้วผมว่า เจ้าหนุ่มนั้นคงอยากกล่าวอำลา แต่ผมยังคงขดตัวอยู่ในผ้าห่มนั้นเอง แต่ไม่เป็นไรอย่างน้อยเราได้สร้าง
ประสบการณ์ที่ดีให้แก่กันและกัน ถึงแม้เราจะพูดคนละภาษาก็ตาม
และแล้วววววววว.....ผมก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าก็ประกาสว่า " มอส-โคว-บ๊ะ "
ในใจผมบอกว่าใกล้แล้ว การเดินทางใกล้จะถึงตอนจบแล้ว แต่ยัง ยังก่อน
ผมยังต้องเที่ยวที่มอสโคว และ เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และระหว่างที่รถไฟใกล้จะเทียบชานชลา
ภาพที่ผมจะไม่ลืมไปตลอดชีวิต คือชายหนุ่มรัสเซีย แต่ยืนพนมมือไหว้อย่างไทย พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
ผมมองกระจกด้วยความไม่เชื่อในสายตาตนเอง เฮ้ย!!!!!!.... Kirill นี้หว่า เค้ามารับผมจริงๆๆด้วยยยยยย
เมื่อผมลงจากรถไฟ Kirill เดินเข้ามาโอบไหล่ผมพร้อมบอกว่า ดีนะที่ผมถ่ายรูปตั๋วรถไฟส่งมาทางอีเมลด้วย
เค้าจะได้ทราบเวลา และ โบกี้ เมื่อผมมาถึงสถานีที่มอสโควได้อย่างแน่นอน ก็เนอะรถไฟบ้านเค้า ตรงเวลามากกกกกก
หลังจากที่ Kirill พาผมเข้าเชคอินที่โฮสเทลเรียบร้อยแล้ว เราก็มีเวลานั้งจิบกาแฟ พร้อมกับเล่าประสบการณ์ของผม
หลังจากที่เราสองคนแยกกันที่เมือง Irkutsk
และ Kirill ก็ได้บอกข่าวดีกับผมว่า "เฮ้ย...พรุ้งนี้ไอลางาน 1 วัน จะพายูไปเที่ยวทั่วมอสโควเองนะ "
โอ้โห....อะไรจะใจดีขนาดนั้น แค่มารับที่สถานีรถไฟ พาไปส่งที่โฮสเทล น้ำตาก็จะไหลอาบสองแก้มอยู่แล้ว
นี้ถึงขนาดลางานพาไปเที่ยวเลยเหรออออ อะไรมันจะโชคดีขนาดนี้
Trans-siberian รถไฟคันใหญ่ในความทรงจำของชายตัวเล็ก
วันนี้ผมจะกลับมาเขียนให้มันจบให้ได้
เพื่อนๆชาวรัสเซียที่เคยพบเจอระหว่างการเดินทางยังคงทักทายผ่านโซเชียลอยู่เป็นระยะๆ เปรียบเสมือนเครื่องเตือนความจำให้คิดถึงอยู่เสมอ
และ แน่นอนว่าคนที่มาส่งผมขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่เมื่อหวลงของรัสเซีย คือ สาวน้อยยิ้มสวยที่ ชื่อ Elena นั้นเอง
รถไฟชั้น 3 ราคา 3,524 รูเบิ้ล
เป็นเมืองที่ใหญ่มาก แล้วผมคงจะหาโฮสเทลที่ผมจองไว้ได้ยากมาก และผมจะถึงมอสโควช่วงเย็นๆราว 4 โมงเย็นตามเวลามอสโคว
ซึ่งเวลาตอนนั้นก็ใกล้พลบค่ำแล้วที่นั้นมันมืดเร็วมาก และตัวช่วยที่ดีที่สุด และไพ่ใบสุดท้ายคือการส่งอีเมลหา Kirill หนุ่มใหญ่ใจดีที่ผม
ได้เจอที่โฮสเทลในเมือง Irkutsk นั้นเอง (ลองกลับไปอ่านกระทู้อันแรก ช่วงเมือง Irkutsk ผมได้เกริ่นถึง Kirill ไว้นิดหน่อยครับ)
เพราะก่อนที่ Kirill จะเชคเอาท์ออกจากโฮสเทล เค้าได้ทิ้งโน๊ต พร้อมอีเมลว่า ตัวเค้าเองจะกลับไปมอสโคว
ถ้าตัวผมเดินทางถึงมอสโควแล้วให้ติดต่อเค้าด้วยนะ และในใจก็คาดหวังว่า Kirill อาจจะมารับที่สถานีรถไฟเมื่อถึงมอสโคว...
ตัดภาพไปที่ขณะอยู่บนไฟสายทรานไซบีเรียมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
ณ ตอนนี้ผมผ่านการเดินทางมาเกินครึ่งทางแล้ว ใกล้ที่จะจบการเดินอันแสนยาวนานของผม ร่างกายตอนนี้บอกผมว่า
ผมเหนื่อยเกินกว่าจะบันทึกภาพต่างๆ ด้วยอารมณ์ที่ตื่นเต้น เหมือนช่วงแรกๆของการเดิน
ด้วยอากาศหนาวเย็นที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อนตลอดอายุ 30 ปี (หนาวเต็มที่แถวบ้านก็ 25 C อย่าเรียกว่าหนาวเลยครับ อายเค้า)
ทำให้ร่างกายผมเริ่มหมดแรงจากการเดินทางหลายพันกิโลเมตร และผมก็คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารรสจัดแบบแกงปักษ์ใต้บ้านผม
และ แน่นอนว่า การเดินทางด้วยรถไฟชั้น 3 ซึ่งเป็นขบวนที่ไม่ได้มีห้องแบ่งเป็นสัดส่วนนั้น การพบป่ะผู้ร่วมเดินทางนั้นย่อมหลากหลาย
รอบนี้ผู้ร่วมเดินทางเตียงฝั่งตรงข้ามผมเป็นสาวสวย ผมคงต้องยอมรับว่าเธอนั้นสวยจริงๆ น่าจะเรียนอยู่มหาลัย เพราะนั้งอ่านแต่ชีทเรียน
โดยไม่สนใจที่ทำความรู้จักกับ หนุ่มตัวเล็กหน้าเอเชียอย่างผมสักเท่าไร
แต่ก็ไม่เป็นไรอย่างน้อย ผมยังมีหนุ่มน้อยที่ไม่รู้จักชื่อ ที่อยู่ดีๆก็ชวนผมไปนั่งกระดกเบียร์ชิวๆ ที่ตู้เสบียงซะอย่างนั้น
ด้วยหน้าตาที่เป็นเอเชียเหมือนกัน แต่ บทสนทนานั้นคนละภาษา หนุ่มน้อยนั้นพูดอังกฤษไม่ได้ ส่วนเรานั้นก็ฟังภาษารัสเซียไม่ออก
คงมีเพียงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์ทำให้ระบบประสาทมึนงงเป็นตัวเชื่อมระหว่างคน 2 ชนชาติเข้าด้วยกัน
ลองสมมุติว่าเพื่อนๆที่เข้ามาอ่าน เป็นคนที่เดินทางในขบวนรถไฟเดียวกับผมแล้วได้เดินผ่านโต๊ะที่มี 2 หนุ่นหน้าตาน่าจะชนชาติเดียวกัน
แต่มันดันคุยคนละภาษา และ ออกอาการเหมือนว่าเข้าใจที่แต่ละคนพูด คงเป็นภาพที่ออกมาชวนให้งงงวยสงสัยเป็นแน่นอน
"ว่าไอสองตัวนี้มันคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร 55555"
บทสนทนาของเรา 2 คน ดำเนินไปเชื่องช้า และ มึนงง ผ่านเมืองแล้วเมืองเล่า ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปนอนที่เตียง
ก่อนจะไปประจำที่เตียงนอนของแต่ละคน เจ้าหนุ่มน้อยได้โยนแอปเปิ้ลให้ผม 1 ลูก โดยที่ผมสังเกตว่า ลูกที่เจ้าหนุ่มนั้นถืออยู่นั้น
มันช่ำๆและดูไม่น่าทานเท่าไร ส่วนลูกที่โยนให้ผมนั้นยังคงดูสดและน่าทานอยู่
"นี้ซินะ ที่เรียกว่า การแบ่งปัน และน้ำใจที่มีให้กัน มันสวยงาม และยากที่จะลืมเลือน"
ผ่านค่ำคืนอันยาวนาน และ หนาวเหน็บ บนรถไฟสายยาว ผมตื่นเช้าขึ้นมา พร้อมกับพบว่า หนุ่มน้อยรัสเซียหน้าเอเชีย
ได้ลงจากรถไฟขบวนนี้ไปแล้ว ซึ่งสังเกตได้ไม่ยากการ เพราะถ้าถึงสถานีที่เราต้องการลง เราต้องเก็บผ้าปูที่นอนคืน
ให้ทางเจ้าหน้าที่ แล้วพับฟูกเก็บหมอนให้เรียบร้อยนั้นเอง โดยที่ไม่มีคำกล่าวลาแต่อย่างใด
แต่ลึกๆแล้วผมว่า เจ้าหนุ่มนั้นคงอยากกล่าวอำลา แต่ผมยังคงขดตัวอยู่ในผ้าห่มนั้นเอง แต่ไม่เป็นไรอย่างน้อยเราได้สร้าง
ประสบการณ์ที่ดีให้แก่กันและกัน ถึงแม้เราจะพูดคนละภาษาก็ตาม
และแล้วววววววว.....ผมก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าก็ประกาสว่า " มอส-โคว-บ๊ะ "
ในใจผมบอกว่าใกล้แล้ว การเดินทางใกล้จะถึงตอนจบแล้ว แต่ยัง ยังก่อน
ผมยังต้องเที่ยวที่มอสโคว และ เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และระหว่างที่รถไฟใกล้จะเทียบชานชลา
ภาพที่ผมจะไม่ลืมไปตลอดชีวิต คือชายหนุ่มรัสเซีย แต่ยืนพนมมือไหว้อย่างไทย พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
ผมมองกระจกด้วยความไม่เชื่อในสายตาตนเอง เฮ้ย!!!!!!.... Kirill นี้หว่า เค้ามารับผมจริงๆๆด้วยยยยยย
เมื่อผมลงจากรถไฟ Kirill เดินเข้ามาโอบไหล่ผมพร้อมบอกว่า ดีนะที่ผมถ่ายรูปตั๋วรถไฟส่งมาทางอีเมลด้วย
เค้าจะได้ทราบเวลา และ โบกี้ เมื่อผมมาถึงสถานีที่มอสโควได้อย่างแน่นอน ก็เนอะรถไฟบ้านเค้า ตรงเวลามากกกกกก
หลังจากที่ Kirill พาผมเข้าเชคอินที่โฮสเทลเรียบร้อยแล้ว เราก็มีเวลานั้งจิบกาแฟ พร้อมกับเล่าประสบการณ์ของผม
หลังจากที่เราสองคนแยกกันที่เมือง Irkutsk
และ Kirill ก็ได้บอกข่าวดีกับผมว่า "เฮ้ย...พรุ้งนี้ไอลางาน 1 วัน จะพายูไปเที่ยวทั่วมอสโควเองนะ "
โอ้โห....อะไรจะใจดีขนาดนั้น แค่มารับที่สถานีรถไฟ พาไปส่งที่โฮสเทล น้ำตาก็จะไหลอาบสองแก้มอยู่แล้ว
นี้ถึงขนาดลางานพาไปเที่ยวเลยเหรออออ อะไรมันจะโชคดีขนาดนี้