ประสบการณ์การนั่งสมาธิ การปฏิบัติ เนื้อหาแบ่งเป็นหลายช่วง ตั้งแต่เริ่มต้น คนธรรมดา จนถึงมีฌานสมผัสโลกทิพย์ ช่วยเหลือคน ภาษาที่ใช้อาจมีไม่สุภาพ ไม่ถูกปรับแต่ง เพื่อให้เข้าใจอารมณ์ในช่วงนั้น เนื้อหาทั้งหมดอาจไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เนื่องจากผ่านมานาน แต่เรื่องหลักทั้งหมดเกิดจากความจริงทั้งสิ้น การเล่าเรื่องเกิดขึ้นจากเทวดามาหาในสมาธิขอให้ข้าพเจ้าได้แบ่งปันเรื่องราวของตนเองขึ้น
เริ่มต้น ผมเกิดในครอบครัวฐานะที่มีปัญหาทางครอบครัว ทะเลาะกันเกือบทุกวัน เรื่องปัญหาหนี้สินและการใช้เงิน ผมทำทุกวิถีทางที่เป็นทางโลกเพื่อที่อยากให้บ้านสงบสุข หาเงินมาให้ไม่กี่วันหมด ทุกครั้งที่ยุ่งกับการเงินพ่อ แม่ ทำให้ทะเลาะกับพ่อ แม่ ทั้งสิ้น ไม่มีความสุข ผู้ใหญ่ไม่ฟังลูกสักนิด โดนเสมอว่า เป็นเด็กเป็นเล็กจะไปรู้อะไร แต่แล้วผมได้เหมือนเห็นแสงสว่าง เมื่อเจอธรรมมะที่ว่า “นั่งสมาธิเกิดปัญญา” ในเมื่อผมหาทางออกทางโลกไม่ได้ พยายามทุกวิถีทางจนเหนื่อย บางทีปัญญาผมอาจไม่ถึง ผมลองไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย ช่วงนั้นผมคงคิดประมาณแบบนี้ ผมจึงเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังขึ้น ผมดูลมหายใจ เมื่อย เหนื่อย ท้อ สารพัสความคิดโผล่ขึ้นมา ทำทำไม ทำไปแล้วได้ผลจริงหรอ ผมอ่านวิธีการนั่งสมาธิหลายๆที่จึงรู้ว่า การนั่งสมาธิต้องปล่อยวางก่อน ทำให้เป็นธรรมชาติ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ช่วงนั้นใครมันละจะปล่อยวางได้ ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ผมรู้แต่ว่า การที่เราจะประสบความสำเร็จด้านใดด้านหนึ่งได้ เราก็ต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ผมนึกถึงภาพที่แม่ต้องร้องให้ ที่ครอบครัวต้องลำบาก ผมบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรจะเสีย ไม่มีอะไรให้ลำบากไปกว่าเห็นภาพนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกือบทุกวันที่เป็นอยู่ ผมพยายามทุกวัน วันแล้ววันเล่า ปล่อยวางให้ได้ นั่งสมาธิดูลมหายใจ เหนื่อย ท้อ ลำบาก ก็คิดถึงว่าวันหนึ่งเราต้องช่วยครอบครัวให้ได้ เห็นภาพที่แม่ร้องให้ ไม่มีอะไรที่ทุกข์ใจไปมากกว่านี้ ไม่มีอะไรที่เจ็บปวดเท่านี้ ผมยอมตายดีกว่าที่จะเห็นภาพเหล่านี้ซ้ำไปมา แล้วการเจ็บปวด เมื่อยแค่นี้จะทำอะไรผมได้ ผมบอกแบบนี้ทุกครั้งที่ท้อและหมดกำลังใจ ผมรู้เคล็ดลับว่าถ้าจะทำให้ได้ผล มีปัญญาที่แท้จริง ต้องปล่อยวาง เป็นธรรมชาติ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป วันแล้ววันเล่า ผ่านไป
ระยะที่สอง การนั่งสมาธิ ผมเริ่มนั่งสมาธิทุกวัน เริ่มเกิดนิมิตรขึ้น ขนลุก เห็นแสงวงกลม ช่วงแรกๆผมเองก็อยากรู้ เป็นคนอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว แต่คำสอนของเหล่าพระอริยะ นักปฏิบัติบอกไม่ให้สนใจ ผมเองก็ไม่รู้จะสนใจทำไม ในเมื่อของพวกนี้ช่วยอะไรผมไม่ได้ ความอยากรู้ อยากเห็นที่มีก็หายไป ในตอนนั้นรู้เพียงต้องช่วยครอบครัวให้ได้ จนผมอ่านเจอ วิธีเบิกบุญ ผมประยุกต์และอธิษฐานประมาณว่า “ขออำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระแม่ธรณี หากข้าพเจ้าได้เคยสร้าง สะสมบุญ บารมีไว้ในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ บุญ บารมีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้กระทำมา ขอให้ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้ทั้งหมดจงส่งผลให้ข้าพเจ้าช่วยครอบครัวสำเร็จ มีทั้งทรัพย์ภายนอกและภายในมหาศาลด้วยเทอญ” ผมนั่งสมาธิบ่อยๆ ผมเริ่มรู้สึกมองในมุมมองที่แตกต่างออกจากเดิม วิธีการแก้ปัญหาในทางโลกผมเริ่มใช้วิธีอื่นที่แปลกออกไป ผมเริ่มเห็นจุดอ่อนของคน รู้ว่าควรทำแบบไหนให้ได้ผลดี ความเครียดที่มากเหมือนเมื่อก่อนเริ่มเบาบาง เริ่มรู้สึกสุขกับสมาธิ แต่ความอยากช่วยครอบครัวไม่ได้น้อยลงไป หลังจากที่ผมเบิกบุญ อธิษฐานในอุโบสถกับสมาธิช่วงที่ลึกที่สุดได้ไม่นาน ผมเริ่มรู้สึกเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน การนั่งสมาธิของผมสงบเร็วขึ้นมาก เข้าใจผู้คนมากขึ้น เริ่มมองมุมมองของคนอื่นๆด้วยมุมมองของคนนั้นๆ เมื่อก่อนจะมองมุมมองคนอื่นด้วยมุมมองตนเองทั้งสิ้น
ระยะที่สาม ผลบุญเริ่มปรากฎขึ้น ผมเริ่มศึกษาธรรมมะ วิธีการช่วยเหลือคนของเหล่าพระอริยะ ผลของอภิญญา โลกทิพย์ต่างๆ ผมนั่งสมาธิให้ลึกที่สุด สงบที่สุด ผมเริ่มอธิษฐานในสิ่งที่อยากได้ในช่วงที่เป็นสมาธิที่สุด โดยเริ่มจาก “เมื่อใดก็ตามที่ผมได้พูดวิธีการแก้ปัญหาของใคร หรือแนะนำธรรมมะที่ตรงกับความเป็นจริงที่เกิดประโยชน์ขอให้ผู้คนที่ฟัง จงเชื่อและไปใช้ให้เกิดประโยชน์” ในช่วงนี้ผมเริ่มมีอภิญญา สัมผัสที่หก ผมเริ่มถามคำถามในฌานได้ ผมเป็นคนที่ทำอะไร ต้องรู้ลึก รู้จริง ลงมือทำอย่างจริงจัง ผมอ่านเจอว่าคนอื่นทำได้ ผมก็ต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องหาเหตุผลว่าทำไม เมื่อรู้ว่าคนอื่นทำได้ พอช่วงที่สงบที่สุดในฌานผมก็ถาม คำถามขึ้นมาบ้าง คำตอบก็โผล่มาแบบมหัศจรรย์ ช่วงแรกๆ มีคิดไปเองบ้าง ตรงบ้าง เคล็ดลับอยู่ที่ ปล่อยวางอีกนั่นเอง เป็นธรรมชาติ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ความรู้ทั้งหลายตัวดีเลยที่ขวางกั้นจิตใต้สำนึกที่ทรงพลังเวลาถามคำถามในฌาน ผมรู้ว่าอะไรดี อะไรเสีย อะไรเน่า แล้วผมจะยึดติดกับความรู้เหล่านั้นเวลาต้องการฌาน ช่วงถาม นั่งสมาธิทำไม เมื่อรู้แบบนั้นผมจึงฝึกจิตตัวเองให้คล่องในฌาน เวลาถามต้องปล่อยวางทุกเรื่อง เวลากำหนดดูเรื่องอะไรต้องมีสมาธิก่อน เท่านั้นไม่พอ ผมรอช่วงที่ผมนั่งสมาธิลึกที่สุด อธิษฐานว่า “เวลาถามคำถามในฌาน ขอให้ไม่ปรุงแต่ง ตรงความเป็นจริงทุกประการ” อธิษฐานบ่อยๆ ให้รู้ไปว่าผมจะแพ้จิตที่ฟุ้งซ่านและปรุงแต่งเหล่านั้น เมื่อผมฝึกจนชำนาญ ก็ถึงเวลาทำตามความฝัน ผมสามารถกำหนดดูในสิ่งที่สมองไม่มีความรู้ ข้อมูล ผมก็หาคำตอบได้ เช่น คนนี้คิดกับผมยังไง คนนี้จะไปไหน เป็นต้น ในตอนนี้ผมลองกับคนอื่นตรงทั้งหมด ผมจึงพร้อมที่จะลองกับพ่อแม่ ผมแนะนำพ่อ แม่ ทัก พ่อแม่ทุกๆเรื่อง คิดอะไร พรุ่งนี้เจออะไร แรกๆพ่อแม่ก็ไม่เชื่อ พอเจอความจริงหลายๆครั้ง แบบผมรู้ได้ยังไงมากขึ้นทุกๆวัน ก็ถึงเวลาที่ผมจะเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของพ่อ แม่ได้ (ในตอนนี้หากถามผมว่า เป็นเพราะผมอธิษฐานหรือผมได้อภิญญากันแน่ถึงสำเร็จ คำตอบที่ถูกต้อง คือ ทั้งสองอย่าง หากคุณอธิษฐานด้วยผลบุญที่มหาศาลบ่อยๆและคุณกระทำในความเป็นจริงในการแก้ปัญหาอย่างสม่ำเสมอด้วยอิทธิบาท 4 และอริยสัจ 4 [อริยสัจ 4 ใช้สำหรับแก้ปัญหาได้ดีนัก ปัญหาทางโลกทุกอย่าง ไม่แค่ในเส้นทางแห่งการดับทุกข์อย่างเดียว] ต่อให้คุณไม่มีอภิญญา ผมก็เชื่อว่าคุณก็ทำสำเร็จได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับบุญแต่ละคนไม่เหมือนกัน) ผมจึงเริ่มพาพ่อแม่ไปทำบุญ แน่นอนช่วงแรกยากอย่างมหาศาล แต่ผมเองก็รู้จุดอ่อน รู้ว่าควรพูดยังไง โน้มน้าวยังไง ปัญญาที่ได้จากสมาธิ ทำให้ทำทุกอย่างได้ตรงจุดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ บางทีการพูดทางโลกถึงแม้ตรงจุดก็ยากสำเร็จผมรู้ข้อนี้ดีสำหรับบางคนที่ไม่เปิดทางให้ ผมจึงอธิษฐานไว้ก่อน “ขอให้ข้าพเจ้าได้พาพ่อแม่ไปทำบุญสำเร็จ ขอให้พ่อแม่ข้าพเจ้าได้สร้างบุญ บารมียิ่งๆขึ้นไป รอดพ้นจากทุกข์ที่เป็นอยู่” อธิษฐานช่วงที่สมาธิลึกที่สุดหรืออธิษฐานในอุโบสถบ่อยๆ พอถึงเวลาจริงการชวนพ่อแม่ทำบุญ บลาๆ ไม่ยากอย่างที่คิด
ระยะที่สี่ “กรรม” ผมไม่เคยเชื่อว่า กรรมจะมีผลมาก หากเรามีความพยายามมากพอ ย่อมเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ มีแต่คนขี้เกียจเท่านั้นแหละที่โทษกรรมแล้วไม่ยอมทำอะไร แต่แล้ววันนี้ผมต้องมองในมุมมองใหม่ ถึงช่วงเวลาที่ผมไปยุ่งกับการเงินของพ่อแม่ พ่อแม่ผมนั้นมีเงินเรียกว่าเยอะ แต่กลับมีรายจ่ายที่เยอะเช่นกัน เงินที่อยู่ในกระเป๋า ของพ่อแม่ เมื่อมีแปปเดียวก็หมด เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยไป ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร คือบางอย่างรายจ่ายไม่จำเป็น แต่พอมีเหมือนโดนอีการุมแปปเดียวหมด ผมพยายามให้พ่อแม่ประหยัดเท่าไรก็ไม่เป็นผล พยายามอธิษฐานด้วยสมาธิที่ลึกที่สุดก็มีผลไม่กี่วันรอบนี้ดูเหมือนผมจะยอมแพ้ แต่ไม่มีวัน ถ้าผมยอมแพ้ พ่อแม่ก็เป็นแบบนี้ ถ้าผมพยายามแล้วประสบความสำเร็จ พ่อแม่ก็มีชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าถามว่าไม่สำเร็จเหนื่อยฟรีดิ ความเหนื่อยมันเป็นเพียงอุปทานเท่านั้น ผมเริ่มงงว่าทำไมคราวนี้ไม่เป็นผล แต่แล้วก็เหมือนปาฏิหาริย์ (ผมเริ่มเข้าใจ การอธิษฐานในช่วงที่สมาธิลึกที่สุด จะดลจิตดลใจเรา ตัวเรา หรือผู้อื่น เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราอธิษฐานไว้ หากบารมีไม่ถึงพร้อมก็จะได้ใกล้เคียง หรือทางสร้างบารมีเพื่อให้ได้สิ่งนั้น) ผมได้เจอกับหนังสือกฎแห่งกรรมของเหล่าพระอริยะ นักปฏิบัติที่มีฌาน เปิดกรรมให้กับคนที่มาหา ผมจึงแปลกใจกับความเชื่อทั้งหมดที่ผมเคยมีมามันขัดแย้งกัน แต่เนื่องด้วยผมอธิษฐานด้วยฌานในสมาธิที่ลึกที่สุดแน่นอนย่อมทรงพลังมากกว่าความเชื่อที่เป็นตัวตนผมในปัจจุบัน ผมจึงมีความรู้สึกสนใจถึงแม้จะขัดแย้ง แต่ก็อยากรู้ว่าเป็นยังไง ผมจึงนั่งสมาธิปล่อยวางให้ลึกที่สุด ดูว่า ทำไมพ่อแม่ถึงเป็นแบบนี้ เมื่อถึงช่วงเวลาที่ผมเป็นสมาธิลึกที่สุด เริ่มปราศจากตัวตน ความยึดติด ความคิดทั้งปวงเริ่มหายไป ผมก็อธิษฐาน “ขออำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นกรรมที่พ่อแม่ทำไว้เรื่อง .... ทำไมพ่อแม่ผมถึงเป็นแบบนี้” ผมได้เห็นภาพ พ่อแม่ผมเป็นเหมือนเกี่ยวข้องกับพวกมาเฟีย เก็บเงินค่าคุ้มครอง รายได้ที่คุณอื่นลำบากทำแทบเป็นแทบตายในสัมมาอาชีพ ถูกพ่อแม่ข้าพเจ้านำไปใช้ เคราะห์ดีที่พ่อแม่ เก็บเฉพาะผู้ที่มีเงิน ไม่มีเงินก็ค่อยๆจ่าย ไม่รีดไถ ไม่ทุบตีผู้คนอื่น ผมจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ หลายๆครั้ง ผู้คนในชีวิตหากเจอเคราะห์กรรมที่ตนเองทำไว้ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ทุกข์ใจไม่ต่างกับผู้คนที่ถูกกระทำ หากไม่เจอกับตัวผมไม่มีทางเชื่อ เพราะพ่อแม่นั่นแหละที่ไม่ยอมประหยัด ผมโทษแบบนี้มาเสมออยู่หลายปี มาวันนี้ผมแทบทรุด ความคิด ความอ่านที่ผมมีมาทั้งหมด มันเกิดอะไรขึ้น ผมต้องมาเชื่อกรรมแล้วงอมืองอตืนปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างงั้นหรือ ไม่มีทาง ผมเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ ผมจึงศึกษาวิธีบรรเทากรรมของเหล่านักปฏิบัติที่ตรวจกรรม ผมจึงประยุกต์และอธิษฐานผลบุญที่ได้จากสมาธิ หากพ่อแม่ข้าพเจ้าได้สร้างกรรมกับพวกท่านเหล่านี้ไว้ เรื่อง ..... ขอให้ผลบุญนี้จงส่งผลเป็นขอขมากรรม ขออโหสิกรรม ขอให้ท่านเหล่านั้นจงมีความสุข ความเจริญยิ่งๆขึ้นไป พอเวลาผ่านไป ทุกอย่างดีขึ้นจากเดิมเหมือนปาฏิหาริย์ที่ผล 100% ผมเห็นน้อยลงกว่าเดิม สมมติทุกข์ใจ อาทิตย์ ละ 4 วัน เป็น เดือน ละ 2-5 วัน เป็นต้น ถึงแม้ผมช่วยพ่อแม่ได้ไม่หมด แต่ทุกอย่างก็ดีขึ้นทุกวัน ทุกเดือนเรื่อยๆ (คนเราเมื่อมีความพยายาม ต่อให้ไม่บรรเทากรรมเมื่อผลกรรมหมดก็ย่อมหลุดไปในสักวันหนึ่งอยู่ดี) ทุกวันนี้พ่อแม่ถวายสังฆทานเดือนละครั้ง ทะเลาะทุกข์ใจประมาณ เดือนละ ครั้งหรือสองครั้ง จากเมื่อก่อนวันเว้นวัน ไม่เห็นแม่ร้องให้อีก นับว่าเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าภูมิใจอย่างยิ่ง
ประสบการณ์และผลที่ได้จากการนั่งสมาธิ
เริ่มต้น ผมเกิดในครอบครัวฐานะที่มีปัญหาทางครอบครัว ทะเลาะกันเกือบทุกวัน เรื่องปัญหาหนี้สินและการใช้เงิน ผมทำทุกวิถีทางที่เป็นทางโลกเพื่อที่อยากให้บ้านสงบสุข หาเงินมาให้ไม่กี่วันหมด ทุกครั้งที่ยุ่งกับการเงินพ่อ แม่ ทำให้ทะเลาะกับพ่อ แม่ ทั้งสิ้น ไม่มีความสุข ผู้ใหญ่ไม่ฟังลูกสักนิด โดนเสมอว่า เป็นเด็กเป็นเล็กจะไปรู้อะไร แต่แล้วผมได้เหมือนเห็นแสงสว่าง เมื่อเจอธรรมมะที่ว่า “นั่งสมาธิเกิดปัญญา” ในเมื่อผมหาทางออกทางโลกไม่ได้ พยายามทุกวิถีทางจนเหนื่อย บางทีปัญญาผมอาจไม่ถึง ผมลองไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย ช่วงนั้นผมคงคิดประมาณแบบนี้ ผมจึงเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังขึ้น ผมดูลมหายใจ เมื่อย เหนื่อย ท้อ สารพัสความคิดโผล่ขึ้นมา ทำทำไม ทำไปแล้วได้ผลจริงหรอ ผมอ่านวิธีการนั่งสมาธิหลายๆที่จึงรู้ว่า การนั่งสมาธิต้องปล่อยวางก่อน ทำให้เป็นธรรมชาติ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ช่วงนั้นใครมันละจะปล่อยวางได้ ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ผมรู้แต่ว่า การที่เราจะประสบความสำเร็จด้านใดด้านหนึ่งได้ เราก็ต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ผมนึกถึงภาพที่แม่ต้องร้องให้ ที่ครอบครัวต้องลำบาก ผมบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรจะเสีย ไม่มีอะไรให้ลำบากไปกว่าเห็นภาพนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกือบทุกวันที่เป็นอยู่ ผมพยายามทุกวัน วันแล้ววันเล่า ปล่อยวางให้ได้ นั่งสมาธิดูลมหายใจ เหนื่อย ท้อ ลำบาก ก็คิดถึงว่าวันหนึ่งเราต้องช่วยครอบครัวให้ได้ เห็นภาพที่แม่ร้องให้ ไม่มีอะไรที่ทุกข์ใจไปมากกว่านี้ ไม่มีอะไรที่เจ็บปวดเท่านี้ ผมยอมตายดีกว่าที่จะเห็นภาพเหล่านี้ซ้ำไปมา แล้วการเจ็บปวด เมื่อยแค่นี้จะทำอะไรผมได้ ผมบอกแบบนี้ทุกครั้งที่ท้อและหมดกำลังใจ ผมรู้เคล็ดลับว่าถ้าจะทำให้ได้ผล มีปัญญาที่แท้จริง ต้องปล่อยวาง เป็นธรรมชาติ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป วันแล้ววันเล่า ผ่านไป
ระยะที่สอง การนั่งสมาธิ ผมเริ่มนั่งสมาธิทุกวัน เริ่มเกิดนิมิตรขึ้น ขนลุก เห็นแสงวงกลม ช่วงแรกๆผมเองก็อยากรู้ เป็นคนอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว แต่คำสอนของเหล่าพระอริยะ นักปฏิบัติบอกไม่ให้สนใจ ผมเองก็ไม่รู้จะสนใจทำไม ในเมื่อของพวกนี้ช่วยอะไรผมไม่ได้ ความอยากรู้ อยากเห็นที่มีก็หายไป ในตอนนั้นรู้เพียงต้องช่วยครอบครัวให้ได้ จนผมอ่านเจอ วิธีเบิกบุญ ผมประยุกต์และอธิษฐานประมาณว่า “ขออำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระแม่ธรณี หากข้าพเจ้าได้เคยสร้าง สะสมบุญ บารมีไว้ในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ บุญ บารมีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้กระทำมา ขอให้ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้ทั้งหมดจงส่งผลให้ข้าพเจ้าช่วยครอบครัวสำเร็จ มีทั้งทรัพย์ภายนอกและภายในมหาศาลด้วยเทอญ” ผมนั่งสมาธิบ่อยๆ ผมเริ่มรู้สึกมองในมุมมองที่แตกต่างออกจากเดิม วิธีการแก้ปัญหาในทางโลกผมเริ่มใช้วิธีอื่นที่แปลกออกไป ผมเริ่มเห็นจุดอ่อนของคน รู้ว่าควรทำแบบไหนให้ได้ผลดี ความเครียดที่มากเหมือนเมื่อก่อนเริ่มเบาบาง เริ่มรู้สึกสุขกับสมาธิ แต่ความอยากช่วยครอบครัวไม่ได้น้อยลงไป หลังจากที่ผมเบิกบุญ อธิษฐานในอุโบสถกับสมาธิช่วงที่ลึกที่สุดได้ไม่นาน ผมเริ่มรู้สึกเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน การนั่งสมาธิของผมสงบเร็วขึ้นมาก เข้าใจผู้คนมากขึ้น เริ่มมองมุมมองของคนอื่นๆด้วยมุมมองของคนนั้นๆ เมื่อก่อนจะมองมุมมองคนอื่นด้วยมุมมองตนเองทั้งสิ้น
ระยะที่สาม ผลบุญเริ่มปรากฎขึ้น ผมเริ่มศึกษาธรรมมะ วิธีการช่วยเหลือคนของเหล่าพระอริยะ ผลของอภิญญา โลกทิพย์ต่างๆ ผมนั่งสมาธิให้ลึกที่สุด สงบที่สุด ผมเริ่มอธิษฐานในสิ่งที่อยากได้ในช่วงที่เป็นสมาธิที่สุด โดยเริ่มจาก “เมื่อใดก็ตามที่ผมได้พูดวิธีการแก้ปัญหาของใคร หรือแนะนำธรรมมะที่ตรงกับความเป็นจริงที่เกิดประโยชน์ขอให้ผู้คนที่ฟัง จงเชื่อและไปใช้ให้เกิดประโยชน์” ในช่วงนี้ผมเริ่มมีอภิญญา สัมผัสที่หก ผมเริ่มถามคำถามในฌานได้ ผมเป็นคนที่ทำอะไร ต้องรู้ลึก รู้จริง ลงมือทำอย่างจริงจัง ผมอ่านเจอว่าคนอื่นทำได้ ผมก็ต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องหาเหตุผลว่าทำไม เมื่อรู้ว่าคนอื่นทำได้ พอช่วงที่สงบที่สุดในฌานผมก็ถาม คำถามขึ้นมาบ้าง คำตอบก็โผล่มาแบบมหัศจรรย์ ช่วงแรกๆ มีคิดไปเองบ้าง ตรงบ้าง เคล็ดลับอยู่ที่ ปล่อยวางอีกนั่นเอง เป็นธรรมชาติ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ความรู้ทั้งหลายตัวดีเลยที่ขวางกั้นจิตใต้สำนึกที่ทรงพลังเวลาถามคำถามในฌาน ผมรู้ว่าอะไรดี อะไรเสีย อะไรเน่า แล้วผมจะยึดติดกับความรู้เหล่านั้นเวลาต้องการฌาน ช่วงถาม นั่งสมาธิทำไม เมื่อรู้แบบนั้นผมจึงฝึกจิตตัวเองให้คล่องในฌาน เวลาถามต้องปล่อยวางทุกเรื่อง เวลากำหนดดูเรื่องอะไรต้องมีสมาธิก่อน เท่านั้นไม่พอ ผมรอช่วงที่ผมนั่งสมาธิลึกที่สุด อธิษฐานว่า “เวลาถามคำถามในฌาน ขอให้ไม่ปรุงแต่ง ตรงความเป็นจริงทุกประการ” อธิษฐานบ่อยๆ ให้รู้ไปว่าผมจะแพ้จิตที่ฟุ้งซ่านและปรุงแต่งเหล่านั้น เมื่อผมฝึกจนชำนาญ ก็ถึงเวลาทำตามความฝัน ผมสามารถกำหนดดูในสิ่งที่สมองไม่มีความรู้ ข้อมูล ผมก็หาคำตอบได้ เช่น คนนี้คิดกับผมยังไง คนนี้จะไปไหน เป็นต้น ในตอนนี้ผมลองกับคนอื่นตรงทั้งหมด ผมจึงพร้อมที่จะลองกับพ่อแม่ ผมแนะนำพ่อ แม่ ทัก พ่อแม่ทุกๆเรื่อง คิดอะไร พรุ่งนี้เจออะไร แรกๆพ่อแม่ก็ไม่เชื่อ พอเจอความจริงหลายๆครั้ง แบบผมรู้ได้ยังไงมากขึ้นทุกๆวัน ก็ถึงเวลาที่ผมจะเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของพ่อ แม่ได้ (ในตอนนี้หากถามผมว่า เป็นเพราะผมอธิษฐานหรือผมได้อภิญญากันแน่ถึงสำเร็จ คำตอบที่ถูกต้อง คือ ทั้งสองอย่าง หากคุณอธิษฐานด้วยผลบุญที่มหาศาลบ่อยๆและคุณกระทำในความเป็นจริงในการแก้ปัญหาอย่างสม่ำเสมอด้วยอิทธิบาท 4 และอริยสัจ 4 [อริยสัจ 4 ใช้สำหรับแก้ปัญหาได้ดีนัก ปัญหาทางโลกทุกอย่าง ไม่แค่ในเส้นทางแห่งการดับทุกข์อย่างเดียว] ต่อให้คุณไม่มีอภิญญา ผมก็เชื่อว่าคุณก็ทำสำเร็จได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับบุญแต่ละคนไม่เหมือนกัน) ผมจึงเริ่มพาพ่อแม่ไปทำบุญ แน่นอนช่วงแรกยากอย่างมหาศาล แต่ผมเองก็รู้จุดอ่อน รู้ว่าควรพูดยังไง โน้มน้าวยังไง ปัญญาที่ได้จากสมาธิ ทำให้ทำทุกอย่างได้ตรงจุดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ บางทีการพูดทางโลกถึงแม้ตรงจุดก็ยากสำเร็จผมรู้ข้อนี้ดีสำหรับบางคนที่ไม่เปิดทางให้ ผมจึงอธิษฐานไว้ก่อน “ขอให้ข้าพเจ้าได้พาพ่อแม่ไปทำบุญสำเร็จ ขอให้พ่อแม่ข้าพเจ้าได้สร้างบุญ บารมียิ่งๆขึ้นไป รอดพ้นจากทุกข์ที่เป็นอยู่” อธิษฐานช่วงที่สมาธิลึกที่สุดหรืออธิษฐานในอุโบสถบ่อยๆ พอถึงเวลาจริงการชวนพ่อแม่ทำบุญ บลาๆ ไม่ยากอย่างที่คิด
ระยะที่สี่ “กรรม” ผมไม่เคยเชื่อว่า กรรมจะมีผลมาก หากเรามีความพยายามมากพอ ย่อมเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ มีแต่คนขี้เกียจเท่านั้นแหละที่โทษกรรมแล้วไม่ยอมทำอะไร แต่แล้ววันนี้ผมต้องมองในมุมมองใหม่ ถึงช่วงเวลาที่ผมไปยุ่งกับการเงินของพ่อแม่ พ่อแม่ผมนั้นมีเงินเรียกว่าเยอะ แต่กลับมีรายจ่ายที่เยอะเช่นกัน เงินที่อยู่ในกระเป๋า ของพ่อแม่ เมื่อมีแปปเดียวก็หมด เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยไป ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร คือบางอย่างรายจ่ายไม่จำเป็น แต่พอมีเหมือนโดนอีการุมแปปเดียวหมด ผมพยายามให้พ่อแม่ประหยัดเท่าไรก็ไม่เป็นผล พยายามอธิษฐานด้วยสมาธิที่ลึกที่สุดก็มีผลไม่กี่วันรอบนี้ดูเหมือนผมจะยอมแพ้ แต่ไม่มีวัน ถ้าผมยอมแพ้ พ่อแม่ก็เป็นแบบนี้ ถ้าผมพยายามแล้วประสบความสำเร็จ พ่อแม่ก็มีชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าถามว่าไม่สำเร็จเหนื่อยฟรีดิ ความเหนื่อยมันเป็นเพียงอุปทานเท่านั้น ผมเริ่มงงว่าทำไมคราวนี้ไม่เป็นผล แต่แล้วก็เหมือนปาฏิหาริย์ (ผมเริ่มเข้าใจ การอธิษฐานในช่วงที่สมาธิลึกที่สุด จะดลจิตดลใจเรา ตัวเรา หรือผู้อื่น เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราอธิษฐานไว้ หากบารมีไม่ถึงพร้อมก็จะได้ใกล้เคียง หรือทางสร้างบารมีเพื่อให้ได้สิ่งนั้น) ผมได้เจอกับหนังสือกฎแห่งกรรมของเหล่าพระอริยะ นักปฏิบัติที่มีฌาน เปิดกรรมให้กับคนที่มาหา ผมจึงแปลกใจกับความเชื่อทั้งหมดที่ผมเคยมีมามันขัดแย้งกัน แต่เนื่องด้วยผมอธิษฐานด้วยฌานในสมาธิที่ลึกที่สุดแน่นอนย่อมทรงพลังมากกว่าความเชื่อที่เป็นตัวตนผมในปัจจุบัน ผมจึงมีความรู้สึกสนใจถึงแม้จะขัดแย้ง แต่ก็อยากรู้ว่าเป็นยังไง ผมจึงนั่งสมาธิปล่อยวางให้ลึกที่สุด ดูว่า ทำไมพ่อแม่ถึงเป็นแบบนี้ เมื่อถึงช่วงเวลาที่ผมเป็นสมาธิลึกที่สุด เริ่มปราศจากตัวตน ความยึดติด ความคิดทั้งปวงเริ่มหายไป ผมก็อธิษฐาน “ขออำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นกรรมที่พ่อแม่ทำไว้เรื่อง .... ทำไมพ่อแม่ผมถึงเป็นแบบนี้” ผมได้เห็นภาพ พ่อแม่ผมเป็นเหมือนเกี่ยวข้องกับพวกมาเฟีย เก็บเงินค่าคุ้มครอง รายได้ที่คุณอื่นลำบากทำแทบเป็นแทบตายในสัมมาอาชีพ ถูกพ่อแม่ข้าพเจ้านำไปใช้ เคราะห์ดีที่พ่อแม่ เก็บเฉพาะผู้ที่มีเงิน ไม่มีเงินก็ค่อยๆจ่าย ไม่รีดไถ ไม่ทุบตีผู้คนอื่น ผมจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ หลายๆครั้ง ผู้คนในชีวิตหากเจอเคราะห์กรรมที่ตนเองทำไว้ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ทุกข์ใจไม่ต่างกับผู้คนที่ถูกกระทำ หากไม่เจอกับตัวผมไม่มีทางเชื่อ เพราะพ่อแม่นั่นแหละที่ไม่ยอมประหยัด ผมโทษแบบนี้มาเสมออยู่หลายปี มาวันนี้ผมแทบทรุด ความคิด ความอ่านที่ผมมีมาทั้งหมด มันเกิดอะไรขึ้น ผมต้องมาเชื่อกรรมแล้วงอมืองอตืนปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างงั้นหรือ ไม่มีทาง ผมเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ ผมจึงศึกษาวิธีบรรเทากรรมของเหล่านักปฏิบัติที่ตรวจกรรม ผมจึงประยุกต์และอธิษฐานผลบุญที่ได้จากสมาธิ หากพ่อแม่ข้าพเจ้าได้สร้างกรรมกับพวกท่านเหล่านี้ไว้ เรื่อง ..... ขอให้ผลบุญนี้จงส่งผลเป็นขอขมากรรม ขออโหสิกรรม ขอให้ท่านเหล่านั้นจงมีความสุข ความเจริญยิ่งๆขึ้นไป พอเวลาผ่านไป ทุกอย่างดีขึ้นจากเดิมเหมือนปาฏิหาริย์ที่ผล 100% ผมเห็นน้อยลงกว่าเดิม สมมติทุกข์ใจ อาทิตย์ ละ 4 วัน เป็น เดือน ละ 2-5 วัน เป็นต้น ถึงแม้ผมช่วยพ่อแม่ได้ไม่หมด แต่ทุกอย่างก็ดีขึ้นทุกวัน ทุกเดือนเรื่อยๆ (คนเราเมื่อมีความพยายาม ต่อให้ไม่บรรเทากรรมเมื่อผลกรรมหมดก็ย่อมหลุดไปในสักวันหนึ่งอยู่ดี) ทุกวันนี้พ่อแม่ถวายสังฆทานเดือนละครั้ง ทะเลาะทุกข์ใจประมาณ เดือนละ ครั้งหรือสองครั้ง จากเมื่อก่อนวันเว้นวัน ไม่เห็นแม่ร้องให้อีก นับว่าเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าภูมิใจอย่างยิ่ง