[10/10] Logan : คุณ “กลัว” ชีวิตวันที่ “สังขารร่วงโรย” กันบ้างไหม? ( เปิดเผยบางส่วนของเนื้อหา )


[10/10] Logan : คุณ “กลัว” ชีวิตวันที่ “สังขารร่วงโรย” กันบ้างไหม? ( เปิดเผยบางส่วนของเนื้อหา )
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com , tonymao.nk@gmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
.
ในวัยหนุ่มสาว!!!
.
หลายคนมีความฝัน มีเป้าหมาย เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจากร่างกายที่แข็งแกร่งและสมองอันปราดเปรื่อง เมื่อปรารถนาสิ่งนั้นสิ่งนี้ ได้มุ่งมั่นทุ่มเทกับมันอย่างสุดกำลังความสามารถ หามรุ่งหามค่ำไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ชีวิตช่างสุดเหวี่ยงทุกรสชาติ ไม่ว่าเรียน ทำงาน หรือเที่ยวเล่น แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างกลับ..
.
ไม่เหมือนเดิม!!!
.
จากที่เคยเดินไกลๆ วิ่งเร็วๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว วันนี้แค่เดินขึ้นลงบันได 1-2 ชั้น ก็ยังเหนื่อยหอบ จากที่เคยดื่มจัด ก๊งเหล้าบ่อยๆ เที่ยวดึกๆ ดื่นๆ นอนหลังเที่ยงคืนตื่นเช้าติดกันประจำยังไปทำงานได้อย่างหน้าตาสดใส วันนี้แค่นอน 4-5 ทุ่ม เช้ามาก็เริ่มปวดหัวทั้งที่ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มมึนเมา จากที่เคยทนร้อนทนหนาวได้แบบสบายๆ วันนี้แค่อากาศเปลี่ยนนิดหน่อยก็เป็นหวัดเป็นไข้ จากที่สมองเคยอ่าน ตีความ ประมวลผล สรุป ได้รวดเร็ว วันนี้ต้องอ่านซ้ำมากกว่าหนึ่งรอบ คิดแล้วคิดอีก จนเกิดคำถาม..
.
นี่เราแก่แล้วหรือ?
.
คิดแล้วมันก็เศร้าจนอยากร้องไห้เหมือนกันนะครับ ว่ากันว่าคนเรา “กราฟสังขาร” จะค่อยๆ พุ่งขึ้นในช่วงอายุครึ่งหลังของเลข 1 ( 15-19 ปี ) และเข้าสู่ช่วง “พีคที่สุด” มีพละกำลังและสติปัญญาล้นเหลือในช่วงอายุเลข 2 ( 20-29 ปี ) จากนั้นจะเริ่ม “ทรงตัว” ในครึ่งแรกของช่วงอายุเลข 3 ( 30-35 ปี ) ก่อนจะค่อยๆ พุ่งลงในครึ่งหลังของช่วงอายุเลข 3 ( 35 ปีขึ้นไป ) ส่วนจะพุ่งลงแบบเนิบๆ ช้าๆ หรือพุ่งแบบดิ่งเหว ก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตและสุขภาพของแต่ละคน แต่เมื่อวันนั้นมาถึง จะทำใจกันอย่างไร? วันที่เราๆ ท่านๆ ยังต้องดิ้นรน ไม่เฉพาะตัวเรา หลายคนต้องดูแลญาติผู้ใหญ่ที่อายุแก่กว่าเราเฉลี่ย 30 ปีขึ้นไป ที่หากเราสุขภาพเริ่มถอย ท่านเหล่านั้นอาจจะยิ่งถดถอยหนักกว่าเราเสียอีก
.
และนี่คงเป็น “โจทย์” ของบทภาพยนตร์ภาคสุดท้ายของซีรีส์ชุด “X-Men” ที่โลดแล่นมายาวนานถึง 17 ปี นับตั้งแต่ภาคแรกเข้าฉายในปี 2000 อย่าง “Logan” เรื่องราวของตัวละครที่น่าจะเด่นที่สุดในซีรีส์สงครามมนุษย์กลายพันธุ์บนจอเงิน อย่าง “Wolverine” ที่ส่วนหนึ่งมาจากความเท่ของนักแสดงหนุ่มชาวออสเตรเลีย “Hugh Jackman” ( เด่นไม่เด่น ก็ขนาดฉบับหนังสือการ์ตูน เจ้าของลิขสิทธิ์ตัวละครอย่าง Marvel ยังปรับบทตัวชูโรงของกลุ่ม X-Men ที่เดิมเป็นของ “Cyclops” มนุษย์กลายพันธุ์ที่ปล่อยยิงลำแสงทำลายล้างสูงจากดวงตา ก็กลายมาเป็นป๋าวูฟแทน ) ทำให้นอกจากจะมี X-Men แล้ว ป๋าวูฟยังมีหนังเดี่ยวแยกของตัวเองอีก 3 ภาค แถมไม่เปลี่ยนนักแสดงเสียด้วย จนมีคนล้อกันว่าฮีโร่คนอื่นๆ เขาเปลี่ยนนักแสดงไปหลายคนแล้ว แต่วูฟเวอรีนไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอด 17 ปี
.
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ชมภาพยนตร์ได้เห็นแอ็คชั่นเท่ๆ ของป๋าวูฟกับกรงเล็บเคลือบโลหะอดามันเทียมที่งอกจากมือได้ฟาดฟันใส่เหล่าร้าย รวมถึงความเท่ของตัวละครมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นๆ ทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรม กระทั่งได้ย้อนเวลาไปชมช่วงวัยรุ่นของพวกเขา แต่มันจะเป็นยังไง? ถ้าวันหนึ่งเหล่าฮีโร่สังขารร่วงโรย ไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้อีกต่อไป
.
ในภาพยนตร์ Logan คุณจะไม่ได้เห็นความเท่แบบที่เคยเห็น แค่เปิดเรื่องมา ภาพแรกคือป๋าวูฟในสภาพมนุษย์วัยกลางคน สายตาเริ่มฝ้าฟาง ความว่องไวลดลงจนถูกโจรกระจอกกระทืบได้ ทักษะการต่อสู้ด้วยกรงเล็บแบบภาคก่อนๆ หายไปหมด อาศัยลูกบ้าล้วนๆ กว่าจะไล่โจรไปได้ก็แทบทุลักทุเล แถมยังมีเลือดไหลเต็มตัว ต้องปฐมพยาบาลด้วยผ้าพันแผล เพราะพลังพิเศษประจำตัวอย่างการฟื้นฟูร่างกาย ( Healing Factor ) ที่เคยทำให้ป๋าวูฟถูกเข้าใจว่าเป็นอมตะ จากการคงสภาพวัยหนุ่มมาได้กว่าร้อยปี อยู่ดีๆ ก็เสื่อมลง
.
ความรันทดของโลแกนยังไม่หมดแค่นั้น นอกจากสังขารตัวเองจะอ่อนแอลง ยังต้องแบกภาระดูแล “Prof. Charles Xavier” ที่ร่างกายแก่ชราแถมยังมีภาวะสมองเสื่อม หลงๆ ลืมๆ ตามประสาคนแก่ ไม่เหลือความเป็น “ผู้นำกลุ่ม X-Men” อย่างที่เราคุ้นเคยในภาคก่อนๆ โลแกนต้องขังชาร์ลส์ไว้ในแทงก์น้ำเพื่อไม่ให้ชาร์ลส์เผลอใช้พลังจิตทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ไหว้วานให้มนุษย์กลายพันธุ์อีกคนดูแลให้กินยาตรงเวลา ส่วนตัวเองออกไปทำงานขับรถรับจ้าง หาเงินซื้อยามารักษาประคองชีวิตชาร์ลส์ รวมถึงเก็บเงินซื้อเรือยอชต์สักลำ เพื่อจะพา “ชายที่ตนนับถือที่สุด” ออกไปใช้ชีวิตในช่วงวาระสุดท้าย ในท้องทะเลที่ไม่มีใครตามไปรบกวน และไม่ต้องต่อสู้ทำร้ายใครอีก
.
ในยุคที่มนุษย์กลายพันธุ์สูญหายไปแทบหมดโลก!!!
.
ผมดูถึงฉากนี้ก็รู้สึก “หดหู่” สงสารชะตากรรมของทั้ง 2 แล้วครับ ถ้าตัดความเป็นมนุษย์กลายพันธุ์มีพลังพิเศษออกไป ชีวิตของโลแกนกับชาร์ลส์นี่คือ “ชีวิตจริงๆ” ของคนเรานี่เอง ดังที่เราเห็นใครหลายคนทำงานโรงงานบ้าง ออฟฟิศบ้าง ค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ไม่ร่ำรวย หาเช้ากินค่ำ สังขารตัวเองก็ไม่ได้ดีนักเพราะอายุเข้าเลข 4 กันแล้ว ร่างกายไม่ได้แข็งแรงเหมือนก่อน แต่ยังต้องทำงานหนักๆ เพื่อหาเงินมากๆ ไปเลี้ยงพ่อแม่ที่แก่ชรา ลองคิดดูลูกอายุ 40+ ส่วนพ่อแม่อายุ 70+ ถ้าพ่อแม่ยังแข็งแรงดูแลตัวเองได้ก็ยังพอไหว แต่บางครอบครัวพ่อแม่ก็เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ บวกกับสารพัดโรคภัยรุมเร้าในวัยชรา จะทิ้งก็ไม่ได้เพราะตอนที่เป็นเด็กๆ ไม่รู้ประสีประสา พ่อแม่ท่านก็ทนลำบากเลี้ยงดูมาตลอดหลายปี บ้านไหนเจอแบบนี้สภาพคงทุลักทุเลไม่ต่างจากที่เห็นในภาพยนตร์เท่าไร  
.
ภาพลักษณ์ของโลแกนในเรื่องนี้ เขากลายเป็นคนแก่ติดเหล้างอมแงม ไม่แยแสอะไร ดูเย็นชาและเบื่อหน่ายโลก กระทั่งการมาของหญิงสาวปริศนา จ้างแกมขอร้องให้โลแกนพาเด็กสาวคนหนึ่งชื่อ “ลอร่า” ไปส่งที่ชายแดนประเทศแคนาดา ตอนแรกเขาปฏิเสธแบบไม่ใยดี แต่ต่อมาก็ต้องตกกระไดพลอยโจนยอมช่วย เมื่อเขาและชาร์ลส์ถูกกองกำลังลึกลับไล่ล่า เลยกลายเป็นการเดินทางที่ยาวนานของ “คน 3 รุ่น” ชาร์ลส์ โลแกน และลอร่า  
.
( ไม่รู้มีใครคิดแบบผมไหม? อาจจะเป็นเพราะผมมองด้วยสายตาคนดู เลยรู้สึกแปลกๆ ที่โลแกนดูแลชาร์ลส์เหมือนลูกดูแลพ่อ ทั้งๆ ที่อายุโลแกนมากกว่าชาร์ลส์ แต่ถ้ามองด้วยสายตาตัวละครในเรื่อง ก็คงเข้าใจว่าโลแกนอายุน้อยกว่า )
.
หากใครคิดว่า Logan เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเท่ๆ แบบ X-Men หรือวูฟเวอรีนภาคก่อน บอกเลยว่าอาจจะผิดหวัง อย่างที่กล่าวไปตอนต้น ตัวเอกของเราคนหนึ่งไม่ว่องไวและแข็งแกร่งเหมือนเดิม ส่วนอีกคนแม้แต่จะดูแลตัวเอง ควบคุมพลังของตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ทุกฉากการต่อสู้และการไล่ล่าเกิดขึ้นอย่างทุลักทุเล ให้คนดูต้องเอาใจช่วยทั้งชาร์ลส์และโลแกนตลอด ที่สำคัญไม่เหมาะกับเด็กเล็กๆ เพราะฉากต่อสู้ค่อนข้าง “โหดเลือดสาด” เอามากๆ
.
แต่จุดเด่นของเรื่องนี้อยู่ที่ “การเล่าเรื่อง” โดยเฉพาะผู้ที่ติดตามซีรีส์ X-Men มาตั้งแต่ภาคแรก จะยิ่งเข้าใจและซาบซึ้ง ว่าทำไมชายที่อยู่บนโลกมายาวนาน เห็นมุมมืดๆ ของมนุษย์มามากจนเบื่อหน่ายอย่างโลแกน ถึงยอมรับนับถือคนที่เกิดทีหลังอย่างชาร์ลส์ ตลอดการเดินทาง บทสนทนาที่ชาร์ลส์พูดกับโลแกน กับลอร่า หรือตัวละครอื่นๆ ที่ผ่านมาในเรื่อง เป็นสิ่งที่ “เฒ่าผู้ลุ่มลึกในประสบการณ์” พยายามถ่ายทอดข้อคิดต่างๆ ให้กับคนรุ่นหลัง ซึ่งโลแกนที่แม้จะอายุมากกว่า ( แต่หน้าตาหนุ่มกว่า ) แต่กลับไม่ได้มีความ “สุขุม” ดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพแบบที่ชาร์ลส์มี
.
แน่นอนว่า 2 นักแสดงหลักที่เราคุ้นเคยมายาวนานอย่าง ฮิวจ์ แจ็คแมน และ แพทริก สจ๊วร์ต ยังคงแบกหนังทั้งเรื่องในบทโลแกนและชาร์ลส์ได้อย่างทรงพลัง รวมถึงสาวน้อย Dafne Keen ในบทลอร่า ที่มาช่วยแบกอีกคนโดยเฉพาะเนื้อเรื่องช่วงครึ่งหลัง ก็ทำได้ดีทั้งที่เธออายุแค่ไม่กี่ขวบเท่านั้น  
.
ตลอด 17 ปีของซีรีส์ X-Men และ Wolverine ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก บางภาคก็ดีจนน่าใจหาย บางภาคก็แย่จนคนดูโห่ ก็เหมือนกับการเดินทางในห้วงเวลาตลอดชีวิตของคนเรา มีสุข มีทุกข์ มีเศร้า มีเหงา มีทำถุก มีทำผิด หลากหลายเหตุการณ์ผ่านเข้ามาไม่ว่าตั้งใจหรือบังเอิญ แต่ลงท้ายทุกคนก็ต้องมีวันที่สังขารร่วงโรย วันที่สูญเสียเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง และท้ายที่สุดไม่มีใครหนีความตายอันเป็นสัจธรรมของชีวิตไปได้ เฉกเช่นมนุษย์กลายพันธุ์ที่ดูเหมือนจะเป็นอมตะก็ยังมีวันแก่ และนักแสดงนำทั้ง 2 รู้สึก “อิ่มตัว” กับการรับบทฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษ ในวันที่อายุอานามมากขึ้น
.
ถึงกระนั้น Logan ก็เป็นการ “ปิดฉาก” ได้อย่างยิ่งใหญ่ น่าจะขึ้นหิ้งภาพยนตร์ชั้นดีมากเรื่องหนึ่งได้เลย!!!
.
สำหรับผมที่ได้ดู X-Men ภาคแรก ในวัย 15 ปี และปิดท้ายซีรีส์กับ Logan ในวัย 32 ปี ยอมรับว่า “กลัววันแก่” กลัวจะมีสภาพรันทดแบบตัวละครในเรื่อง รวมถึงอย่างที่หลายๆ คน หลายๆ ครอบครัวพบเจอ
.
แล้วคุณล่ะ? กลัววันที่สังขารร่วงโรยกันไหม?
.
------------------------------------

ปล.เพลง Hurt ของ Johnny Cash ครับ เศร้าและเข้ากับหนังมากๆ ( ตัวของ Johnny ร้องเพลงนี้ปี 2002 ก่อนจะเสียชีวิตในปี 2003 )

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
ถ้าพูดถึงหนังโลแกน เอาจริงๆ แก่นที่มันสื่อ

ในตัวละครโลแกนจริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่กลัวชีวิตวันที่สังขารร่วงโย

เพราะโลแกนไม่เคยกลัว อยู่มาขนาดนี้ ไม่มีกลัวแล้ว

แต่กลับกัน ด้วยความเป็นอมตะ โลแกนใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมาย

บางห้วงความคิด โลแกนคิดจะจบชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ

แต่เหตุการณ์ในเรื่องนี้ มันตอบโลแกนได้ต่างหากว่า

การใช้ชีวิตแบบมีจุดหมาย มันเป็นแบบนี้นี่เอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่