เกือบจะทุกองค์กรจะมีกฏและวินัยกำกับคอยควบคุมสมาชิกขององค์กร ถ้าเป็นองค์กรเล็กๆ ก็ไม่มีอะไรมากมาย แต่ถ้าเป็นองค์กรใหญ่ๆ อย่างเช่นกองทัพๆ ก็จะมีกฏวินัยที่เข้มงวด รวมไปถึงการมี “ศาลทหาร” ที่มีอำนาจในการตัดสินเกือบจะเทียบเท่าหรือเท่าเทียมศาลสถิตย์ทั่วไปไว้คอยกำกับและตัดสินคนคือนายทหารในสังกัดของตัวเอง....
ในอดีต...หนึ่งในข้อตกลงใน”สนธิสัญญาเบาริ่ง” ที่สยามเคยเสียเปรียบอังกฤษก็เรื่อง “สิทธิภาพนอกอาณาเขต” นั่นก็คือ เมื่อคนอังกฤษหรือคนในอาณัติอังกฤษทำความผิดในสยาม “ผู้ต้องหา” คนนั้นจะไม่ให้ขึ้นศาลไทยแต่ให้ขึ้นศาลอังกฤษ หมายความว่า คนพม่า คนจีน(ฮ่องกง) ที่อาศัยอยู่ในสยามตอนนั้น เวลาทำผิดก็ไม่ต้องขึ้นศาลไทยเลย นั่นถือว่าเป็น “อภิสิทธิ์” ที่ชาวต่างชาติได้รับในดินแดนไทย
ด้านพุทธศาสนจักร....... นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติพระธรรมวินัยขึ้นเมื่องสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว พระธรรมวินัยก็เป็นทั้งเสมือนหนึ่ง “รัฐธรรมนูญ” และเป็นส่วนหนึ่งของ “พระรัตนตรัย” ด้วย เข้าใจว่าสมัยนั้นฝ่ายบ้านเมืองยังไม่มี “รัฐธรรมนูญ” ที่เป็นแบบแผนหรือแม่บทของกฏหมายด้วยซ้ำ ในสมัยอยุธยา ฏกหมายที่เป็นรูปธรรมหรือที่เรียกว่า “พระไอยการ” เกิดขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(แต่ก็ไม่ได้เขียนครอบทุกจุด) และที่เป็นระเบียบแบบแผนจริงๆ ก็เห็นจะเป็น “
กฏหมายตราสมดวง” ของรัชกาลที่๑ ดังนั้น มีแนวโน้มเป็นอย่างสูงว่าการพิจารณาดำเนินคดีกับพระสงฆ์ในยุคก่อน หรือแม้ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าจะยึด “พระธรรมวินัย” เป็นหลัก ผมเคยยกตัวอย่างแล้วว่า สมเด็จพระนารายณ์มีพระประสงค์ที่จะสึกพระรูปหนึ่งที่กำลังทำตัวเหมือนผู้มีอิทธิพล แม้จะทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุดในราชอาณาจักร แต่พระองค์ก็ทรงตรัสให้ทหารวังไปเผดียงถามพระราชาคณะว่าจะสามารถสึกพระรูปนั้นได้อย่างได้ไหม? อย่างไร? ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่า กระบวนการที่จะใช้อำนาจบ้านเมืองเข้าไปในศาสนจักรนั้นทำได้ แต่ต้องให้ฝ่ายศาสนจักรชำระหรือตั้งอธิกรณ์และระงับอธิกรณ์เสียก่อน
ถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะปรามาสว่า พระสงฆ์จะมาใส่ใจเและเข้าใจรื่องศาลเรื่องการตัดสินได้อย่างไร มันเป็นเรื่องของทางโลก อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติพระวินัยทิ้งไว้เฉยๆ ใครจะอ้างพระวินัยใส่ร้ายพระรูปนั้นรูปนี้ก็ทำได้ตามใจ...อย่างนั้นไม่ใช่เลย การกล่าวหาว่าพระรูปนั้นรูปนี้ล่วงอาบัติ ก็ต้องมีกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องสืบสวน สอบสวนที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นหลักที่เรียกว่า “อธิกรณสมถะ” นี่คือแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้สำหรับการพิจารณาอธิกรณ์ต่างๆ เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วและยังมีอยู่ในพระไตรปิฏก !! มีอะไรบ้าง ผมตัดแปะจากวิกิมาให้อ่านนะครับ
อธิกรณสมถะ การทำอธิกรณ์ให้สงบระงับ หมายถึง วิธีระงับอธิกรณ์ตามพระธรรมวินัย 7 อย่าง คือ
สัมมุขาวินัย ตัดสินในที่พร้อมหน้าทั้ง โจทย์และจำเลยพร้อมพยาน ตามพยานหลักฐาน
สติวินัย ถือสติเป็นหลัก การยกเลิกความผิดเพราะเป็นพระอรหันต์หรืออริยบุคคลที่จะไม่ทำผิดวินัยในข้อนั้นได้
อมูฬหวินัย ผู้หายจากเป็นบ้า การเลิกความผิดเพราะผู้กระทำผิดนั้นวิกลจริตหรือเป็นบ้า
ปฏิญญาตกรณะ ทำตามที่รับ การตัดสินตามการยอมรับผิด คำสารภาพของผู้กระทำผิด
ตัสสปาปิยสิกา ลงโทษแก่ผู้ผิดที่ไม่รับ การลงโทษพยานผู้ที่ไม่ยอมพูดในการสอบสวนของคณะสงฆ์
เยภุยยสิกา การตัดสินตามมติเสียงข้างมาก
ติณวัตถารกะ ดุจกลบไว้ด้วยหญ้า วิธีประณีประนอม การตัดสินยกฟ้อง เลิกแล้วต่อกัน(ในกรณีทะเลาะกัน)
ขออนุญาตอธิบายขยายความเล็กน้อย เรามักจะได้ยินคำว่า “อธิกรณ์”บ่อยๆ คำว่า อธิกรณ์ มาจากคำว่า อธิ+กรณ แปลโดยพยัญชนะก็แปลว่า “กระทำยิ่ง” และแปลโดยอรรถะให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ “คดีความ” พระผู้ต้องอธิกรณ์ก็คือพระผู้ต้องคดี ส่วนคำว่า “อธิกรณสมถะ” ผมได้อธิบายคำว่า “อธิกรณ” ไปแล้ว ส่วนคำว่า “สมถะ” นั้นเราก็รู้จักกันดีและได้ยินบ่อยๆ สมถะแปลว่า “ธรรมที่ยังความพอใจให้เกิดสงบ” รวมความคำว่า “อธิกรณสมถะ” ก็คือการระงับอธิกรณ์ หรือการทำให้คดีสงบ
ที่นี้มาที่จุดไฮไลต์ที่เราๆ ท่านๆ สนใจก็คือเกี่ยวกับธัมมี่แห่งธรรมกาย....ผมไม่เคยชอบแนวทางของธัมมี่เลยและแอนตี้มาตลอด แต่ยิ่งไปกว่านั้น...ผมไม่ชอบแนวทางของฝ่ายบ้านเมืองที่พยายามรวบรัด “อธิกรณ์”(คดี)เอาใจนายตนเป็นใหญ่โดยมองข้ามและไม่เคารพขั้นตอนอันพึงจะทำ สมเด็จพระสังฆราชก็มี มหาเถรสมาคมก็มี เจ้าคณะภาคก็มี เจ้าคณะเขตก็มี เจ้าคณะจังหวัดก็มี เหล่านี้ไม่ควรมองข้ามท่านไป ให้ท่านทำหน้าที่ระงับอธิกรณ์ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ให้เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนไม่ได้หรือ การใช้กำลัง(Bruteforce)อย่างนี้.....รังแต่เสียเครดิตฝ่ายที่ใช้กำลังขึ้นเรื่อยๆ
..."กระบวนการและขั้นตอนที่ถูกข้าม" เกิดจากคนๆ ก็เสียหาย, เกิดจากองค์กร/รัฐ องค์กรและรัฐนั้นๆ ก็เสียหาย..../วัชรานนท์
ในอดีต...หนึ่งในข้อตกลงใน”สนธิสัญญาเบาริ่ง” ที่สยามเคยเสียเปรียบอังกฤษก็เรื่อง “สิทธิภาพนอกอาณาเขต” นั่นก็คือ เมื่อคนอังกฤษหรือคนในอาณัติอังกฤษทำความผิดในสยาม “ผู้ต้องหา” คนนั้นจะไม่ให้ขึ้นศาลไทยแต่ให้ขึ้นศาลอังกฤษ หมายความว่า คนพม่า คนจีน(ฮ่องกง) ที่อาศัยอยู่ในสยามตอนนั้น เวลาทำผิดก็ไม่ต้องขึ้นศาลไทยเลย นั่นถือว่าเป็น “อภิสิทธิ์” ที่ชาวต่างชาติได้รับในดินแดนไทย
ด้านพุทธศาสนจักร....... นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติพระธรรมวินัยขึ้นเมื่องสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว พระธรรมวินัยก็เป็นทั้งเสมือนหนึ่ง “รัฐธรรมนูญ” และเป็นส่วนหนึ่งของ “พระรัตนตรัย” ด้วย เข้าใจว่าสมัยนั้นฝ่ายบ้านเมืองยังไม่มี “รัฐธรรมนูญ” ที่เป็นแบบแผนหรือแม่บทของกฏหมายด้วยซ้ำ ในสมัยอยุธยา ฏกหมายที่เป็นรูปธรรมหรือที่เรียกว่า “พระไอยการ” เกิดขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(แต่ก็ไม่ได้เขียนครอบทุกจุด) และที่เป็นระเบียบแบบแผนจริงๆ ก็เห็นจะเป็น “กฏหมายตราสมดวง” ของรัชกาลที่๑ ดังนั้น มีแนวโน้มเป็นอย่างสูงว่าการพิจารณาดำเนินคดีกับพระสงฆ์ในยุคก่อน หรือแม้ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าจะยึด “พระธรรมวินัย” เป็นหลัก ผมเคยยกตัวอย่างแล้วว่า สมเด็จพระนารายณ์มีพระประสงค์ที่จะสึกพระรูปหนึ่งที่กำลังทำตัวเหมือนผู้มีอิทธิพล แม้จะทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุดในราชอาณาจักร แต่พระองค์ก็ทรงตรัสให้ทหารวังไปเผดียงถามพระราชาคณะว่าจะสามารถสึกพระรูปนั้นได้อย่างได้ไหม? อย่างไร? ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่า กระบวนการที่จะใช้อำนาจบ้านเมืองเข้าไปในศาสนจักรนั้นทำได้ แต่ต้องให้ฝ่ายศาสนจักรชำระหรือตั้งอธิกรณ์และระงับอธิกรณ์เสียก่อน
ถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะปรามาสว่า พระสงฆ์จะมาใส่ใจเและเข้าใจรื่องศาลเรื่องการตัดสินได้อย่างไร มันเป็นเรื่องของทางโลก อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติพระวินัยทิ้งไว้เฉยๆ ใครจะอ้างพระวินัยใส่ร้ายพระรูปนั้นรูปนี้ก็ทำได้ตามใจ...อย่างนั้นไม่ใช่เลย การกล่าวหาว่าพระรูปนั้นรูปนี้ล่วงอาบัติ ก็ต้องมีกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องสืบสวน สอบสวนที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นหลักที่เรียกว่า “อธิกรณสมถะ” นี่คือแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้สำหรับการพิจารณาอธิกรณ์ต่างๆ เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วและยังมีอยู่ในพระไตรปิฏก !! มีอะไรบ้าง ผมตัดแปะจากวิกิมาให้อ่านนะครับ
อธิกรณสมถะ การทำอธิกรณ์ให้สงบระงับ หมายถึง วิธีระงับอธิกรณ์ตามพระธรรมวินัย 7 อย่าง คือ
สัมมุขาวินัย ตัดสินในที่พร้อมหน้าทั้ง โจทย์และจำเลยพร้อมพยาน ตามพยานหลักฐาน
สติวินัย ถือสติเป็นหลัก การยกเลิกความผิดเพราะเป็นพระอรหันต์หรืออริยบุคคลที่จะไม่ทำผิดวินัยในข้อนั้นได้
อมูฬหวินัย ผู้หายจากเป็นบ้า การเลิกความผิดเพราะผู้กระทำผิดนั้นวิกลจริตหรือเป็นบ้า
ปฏิญญาตกรณะ ทำตามที่รับ การตัดสินตามการยอมรับผิด คำสารภาพของผู้กระทำผิด
ตัสสปาปิยสิกา ลงโทษแก่ผู้ผิดที่ไม่รับ การลงโทษพยานผู้ที่ไม่ยอมพูดในการสอบสวนของคณะสงฆ์
เยภุยยสิกา การตัดสินตามมติเสียงข้างมาก
ติณวัตถารกะ ดุจกลบไว้ด้วยหญ้า วิธีประณีประนอม การตัดสินยกฟ้อง เลิกแล้วต่อกัน(ในกรณีทะเลาะกัน)
ขออนุญาตอธิบายขยายความเล็กน้อย เรามักจะได้ยินคำว่า “อธิกรณ์”บ่อยๆ คำว่า อธิกรณ์ มาจากคำว่า อธิ+กรณ แปลโดยพยัญชนะก็แปลว่า “กระทำยิ่ง” และแปลโดยอรรถะให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ “คดีความ” พระผู้ต้องอธิกรณ์ก็คือพระผู้ต้องคดี ส่วนคำว่า “อธิกรณสมถะ” ผมได้อธิบายคำว่า “อธิกรณ” ไปแล้ว ส่วนคำว่า “สมถะ” นั้นเราก็รู้จักกันดีและได้ยินบ่อยๆ สมถะแปลว่า “ธรรมที่ยังความพอใจให้เกิดสงบ” รวมความคำว่า “อธิกรณสมถะ” ก็คือการระงับอธิกรณ์ หรือการทำให้คดีสงบ
ที่นี้มาที่จุดไฮไลต์ที่เราๆ ท่านๆ สนใจก็คือเกี่ยวกับธัมมี่แห่งธรรมกาย....ผมไม่เคยชอบแนวทางของธัมมี่เลยและแอนตี้มาตลอด แต่ยิ่งไปกว่านั้น...ผมไม่ชอบแนวทางของฝ่ายบ้านเมืองที่พยายามรวบรัด “อธิกรณ์”(คดี)เอาใจนายตนเป็นใหญ่โดยมองข้ามและไม่เคารพขั้นตอนอันพึงจะทำ สมเด็จพระสังฆราชก็มี มหาเถรสมาคมก็มี เจ้าคณะภาคก็มี เจ้าคณะเขตก็มี เจ้าคณะจังหวัดก็มี เหล่านี้ไม่ควรมองข้ามท่านไป ให้ท่านทำหน้าที่ระงับอธิกรณ์ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ให้เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนไม่ได้หรือ การใช้กำลัง(Bruteforce)อย่างนี้.....รังแต่เสียเครดิตฝ่ายที่ใช้กำลังขึ้นเรื่อยๆ