ขอแชร์ประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัส วัดพระธรรมกาย

กระทู้สนทนา
ช่วงนี้ขอโหนกระแสวัดพระธรรมกาย ด้วยการแชร์ประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสกับทางวัดพระธรรมกาย โดยผมได้เข้าวัดพระธรรมกายครั้งแรกเมื่อประมาณปี 2542 ตอนนั้นผมบวชอยู่วัดที่ราชบุรีและได้รับกิจนิมนต์ให้ไปฉันเพลที่วัดพระธรรมกายเนื่องในวันวิสาขบูชา นั้นเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัส ซึ่งในวันนั้นมีพระสงฆ์ที่อยู่ในวัดประมาณ 200,000 รูป และญาติโยมประมาณ 3-4 แสนคน ซึ่งเป็นที่น่าตื่นตาตืนใจสำหรับพระใหม่อย่างผมมาก เนื่องจากการบริหารจัดการเป็นไปอย่างเรียบร้อย น่าเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างมาก นี้คือครั้งแรกที่ผมได้ไปวัดพระธรรมกาย ผมบวชอยู่ 9 เดือนก็สึกออกมา ทำงานเกี่ยวกันธุรกิจก่อสร้าง ก็มีโอกาสได้เข้าไปทำงานก่อสร้างในวัดบ้างประปราย โดยได้เข้าไปมีส่วนในการก่อสร้าง วิหารคต หอเทียนแม่ชีจันทร์ และสภามหาธรรมกาย ซึ่งในขณะนั้น ประเทศไทยก็มีการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ควบคู่กันไปด้วย สำหรับตัวผมเองช่วงนั้นก็จะวิ่งสลับไปมาระหว่าง 2 โครงการนี้ ระหว่างที่ได้ทำงานให้วัดพระธรรมกายได้มีการสนทนา เรื่องงาน และธรรมะ กับหลวงพี่ ที่คุมงานก่อสร้างซึ่งท่านจบปริญญาโทจาก ม.จุฬา ออกจากบริษัทก่อสร้างที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ด้วยฐานเงินเดือน 2xx,xxx เมื่อประมาณปี 2538 โดยเข้ามาบวชที่วัดนี้ ซึ่งผมฟังแล้วตกใจว่า ท่านละทางโลกมาได้อย่างไร ท่านชวนผมให้พาคนที่บ้านมาทำบุญ ซึ่งแน่นอน ผมไม่ชวนมาแน่ๆ เพราะอะไร ..............
เพราะผมคิดว่าถ้าคนแก่ ได้เข้ามาทำบุญที่วัดพระธรรมกาย ส่วนใหญร้อยละ 80-90% แทบไม่อยากไปทำบุญกับวัดอื่นๆ ค่อนข้างแน่นอน เพราะการบริหารจัดการ ของวัด สามารถทำให้คนที่เข้าไปวัดครั้งแรก เลื่อมใส ศรัทธาได้อย่างไม่ยาก (สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ไม่เท่า สัมผัส) อันนี้จริงๆ สำหรับผม มีคำถามมากมายที่ได้สอบถามหลวงพี่ คงเป็นคำถามที่หลายๆ ท่านสงสัยเป็นแน่แท้ หลวงพี่ตอบผมว่า

ที่สร้างสิ่งปลูกสร้างใหญ่โต อลังการ เพราะสร้างเท่าไรก็ไม่เพียงพอกับญาติโยมที่เข้ามาทำบุญในวัด และอยากให้วัดพระธรรมกายเป็นศูนย์รวมของชาวพุทธ เหมือนนครเมกะ ที่เป็นศูนย์รวมของศาสนาอิสลาม เพื่อให้พุทธศาสนิกชนต้องมาสักครั้งหนึ่งในชีวิต สร้างศาสนสถาน ให้เป็นปฎิมากรรมเพื่อให้คนรุ่นหลังศึกษาว่าพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองเพียงใดในยุคนี้ และทั้งหลายทั้งปวงที่ทางวัดทำไปทั้งหมดสุดท้ายก็ต้องตกเป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน เพราะเป็นศาสนสถาน นั้นเอง (ซึ่งในข้อนี้ผมพึ่งมารู้ว่า พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของมูลนิธิวัด ซึ่งทางวัดทำไม่ถูก อันนี้ผมคิดของผมเอง) แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นกุศโลบายที่หลวงพี่บอกผมว่า ในช่วงชีวิตของผม จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ถึงจะทำบุญให้พระสงฆ์ จำนวน 2xx,xxx รูปได้ ซึ่งในตอนนั้น ผมรู้ความหมายของท่านดี เพราะตอนผมบวชผมก็เคยได้รับนิมนต์มาเหมือนกัน ท่านบอกว่า ทำบุญ 50 สตางค์ บาทหนึ่งหรือเท่าไรก็คือเราได้ทำบุญกับพระสงฆ์ 2xx,xxx รูป (ตอนนั้นผมยังไม่เคยได้ยินเรื่องทำบุญมากได้บุญมากนะครับ) ผมเห็นตรงกับท่านคือ เราเดินทางไปทำบุญทั้งชีวิตก็คงไม่มีทางครบได้ อันนี้ทำให้ผมคิดทันทีว่าผมควรทำบุญเท่าไร อย่างไรก็ดี วันนั้นผมทำบุญไป 200 บาทตามกำลังทรัพย์ของผม และผมก็รู้สึกภาคภูมิใจที่ผมได้ทำบุญให้พระสงฆ์ 2xx,xxx รูป การทำบุญไม่ต้องถามว่าเงินของเราจะไปที่ให้ ให้เราตั้งจิตอธิฐานว่าทรัพย์ที่เราบริจาคเราบริจาคเพื่ออะไรเป็นพอ ถ้าถามว่ามั่นใจได้อย่างไรว่าเงินที่เราทำบุญไป ไปถึงพระสงฆ์เหล่านั้น คำตอบคือ ตอนผมบวชผมได้รับมาแล้ว ซึ่งข้อมูลการบริจาคของวัด ผมว่าทุกคนที่สนใจคงหาข้อมูลได้ไม่ยาก ซึ่งผมอ่านดูแล้ว เป็นความจริงครับ สำหรับค่าใช้จ่ายที่วัดใส่ซองให้พระสงฆ์ที่มาร่วมงานที่วัดจัดในแต่ละครั้ง

คำถามที่ว่าวิจารณ์วัดขนาดนี้ เคยไปวัดไหม? เป็นคำถามที่น่าสนใจจริงๆ (สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าสัมผัส) ส่วนตัวยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง ตัวเองและคนในครอบครัวต้องสุขสบายก่อนถึงจะทำบุญให้คนอื่น เวลาทำบุญก็จะหลักร้อย หลักพัน สร้างพระประธานบ้างเพื่อสั่งสมบุญ แต่ช่วงนี้เห็นชาวพุทธ วิจารณ์ คนในศาสนาตัวเอง ทั้งๆที่ตัวคนวิจารณ์ ก็ไม่ได้รับความเสียหายหรือผลกระทบอะไร แต่วิจารณ์กันอย่างเสียๆหายๆ สนุกปาก ก็ไม่รู้ว่าทำอย่างงั้นกันไปเพื่ออะไร! คนที่เค้าเดือดร้อนจริงๆ กับการถูกกระทำ กลับเสียงแผ่วลง แผ่วลง และเงียบหายไปในที่สุด แต่คนที่เป็นเดือดเป็นร้อน คือคนที่แทบจะไม่เคยสัมผัสกับวัดพระธรรมกาย มาก่อน...........

หรือผมแค่เพียงเผลอไป...................ว่าที่นี้ประเทศไทย ประเทศที่เรียกตัวเองว่าศูนย์กลางพุทธศาสนา

ศาสนสถานสุดท้ายต้องตกเป็นสมบัติของชาติ......... อะไรเรียกว่าศาสนสถาน วัดร้าง ใช่ไหม...... ทำไมถึงไม่มีใครแย้งกันดูแลน๊าาาาา ทั่วประเทศไทยน่าจะมีเป็นร้อยๆวัด แปลกเนอะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่