สวัสดีค่ะ ทริปนี้ไปมาปีที่แล้วช่วงวันหยุด 10-14 ธ.ค. แต่เนื่องจากวันแรกไปถึงก็ดึกแล้ว เลยทำให้เหลือเวลาเที่ยวแค่ 3 วัน แต่วันกลับเราตกเครื่องนะอาจจะดูเละเทะไปบ้าง แต่รวมๆก็ถือว่ารอดอยู่ค่ะ555+ และนี่เป็นรีวิวแรกของเรา และเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวเป็นครั้งแรก(แต่ในประเทศจัดไปหลายที่แล้วค่ะ^^) เรียกว่าpassport ของเราเลยล่ะ แถมไม่ได้แพลนไรไว้เลย เนื่องจากเกือบจะไม่ได้ไป ส่วนภาษานั้น ก็แบบว่าถูๆไถๆ แถกันแบบสีข้างพังกันไป แต่อย่าไปเครียดค่ะ เราจะไปเที่ยว เราต้องสนุก พอได้ตั๋วรถไฟที่สั่งซื้อไว้แล้วจะมีไกด์บุ๊คมาให้ เลยนั่งอ่านแล้วแพลนคร่าวๆตามที่รถไฟจะไปได้ ก่อนขึ้นเครื่อง 1 วันค่ะ (ไม่ควรทำตามอย่างยิ่ง555) เลยมาบอกเล่ากันฟังสำหรับคนที่สนใจ อาจมีตกหล่น ติดๆขัดๆไปบ้าง ต้องขออภัยด้วย แต่สำหรับคนที่ไปเที่ยวจนเชี่ยวชาญพื้นที่แล้ว อาจข้ามๆกระทู้ไปได้เลยค่ะ
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เริ่มแรก ขอพูดถึงสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนนะคะ ทริปนี้ไปแบบ low cost & Slow life สิ่งไหนพอประหยัดได้ จัดไปค่ะ
1.ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
2.passport
3.เอกสารการจองที่พัก เราจองไว้ 2 ที่ค่ะ โอซาก้า 1 คืน เกียวโต 1 คืน (เราจองผ่าน agoda หมดเลย สะดวกดี) เนื่องจากไฟลท์ที่ไป จะถึงที่โน่นประมาณสี่ทุ่ม ซึ่งเราก็มโนไปเองว่ากว่าจะผ่าน ตม.เค้า กว่าจะรอกระเป๋าคงนานมั่ง (ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้นานอะไร ตม.ใจดี บอกว่ามาเที่ยวคนเดียว ก็ไม่ได้ถามไรมาก) เลยตัดสินใจว่าคืนแรกนอนที่สนามบินค่ะ ซึ่งเอาจริงๆก็ไม่ค่อยได้นอนหรอก เดินเล่นไปเรื่อย คิดแพลนว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปไหนก่อนดี ขนาดถึงญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังคงแพลนไม่เสร็จ อย่ามาเอาความเป๊ะกับเราเลย T_T
4.ตั๋วรถไฟ(ตาม passที่เราเลือก) สั่งซื้อในเวป lost trip Thailand ค่ะเนื่องจากเพิ่งจะสั่งก่อนเดินทาง 2 วัน แล้วที่นี่ออฟฟิศเค้าอยู่ที่ตึก เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ตรง MRT ศูนย์วัฒฯ ใกล้บ้านดีค่ะ สั่งเสร็จเลยโทรบอกเค้าว่าจะเข้าไปรับเองเลยทันเวลา อย่างที่บอก ทริปนี้เราไปแบบ low cost เราเลยไม่ได้ซื้อตั๋วของ JR เลยค่ะ กะว่าถ้าต้องขึ้น ค่อยซื้อแบบหยอดตู้เอา และดูจากรีวิวต่างๆ subway เค้าก็คลอบคลุมพื้นที่ดีค่ะ แต่ด้วยความไม่รู้ว่าจะเลือกตั๋วแบบไหนดี เราเลยสั่งซื้อไป 2 แบบ ซึ่งจริงๆแล้วใช้แบบ Kansai thru pass อย่างเดียวก็ได้ แต่เราชอบสถานที่ที่ใช้บัตร Osaka amazing pass เข้าฟรีได้ เลยเอามา2ใบเลยค่ะ โลภค่ะ รักพี่เสียดายน้อง(ประหยัดยังไงของแกรรรร) เลือกแบบเดินทางได้ 2 วันทั้งคู่ ที่คิดไว้ว่าน่าจะมีเวลาเที่ยวได้แค่ 3 วัน เลยคิดว่า ไปไกลมากไม่ได้ เวลาจะไม่พอ แล้ว2ใบนี้น่าจะคลอบคลุมแล้ว

4.1 Kansai thru pass จะใช้ในวันที่ 1 และ 3 เนื่องจากข้อดีของบัตรนี้คือใช้แบบไม่ต่อเนื่องกันได้ และใช้ขึ้นรถโดยสารของเค้าได้ เราใช้ออกจากสนามบินเข้ามาในเมืองและไปวากายาม่าในวันแรก และเดินทางไปเกียวโต กับกลับมาสนามบินในวันสุดท้าย
4.2 Osaka amazing pass ใบนี้ 2 วันเหมือนกัน แต่ต้องใช้แบบต่อเนื่อง เราใช้ในวันที่ 1และ 2 โดยใช้เดินทางไปรอบๆ Osaka และไปตามสถานที่ที่สามารถใช้ตั๋วใบนี้เข้าฟรีได้
5.เงินเยนค่ะ เราไปแลกที่ super rich ที่เซ็นทรัล พระราม9 ค่ะ ใกล้บ้านนั่นเอง
6. กล้องถ่ายรูปพร้อม accessory ตามแต่จะชอบ ไปทั้งรัวชัตเตอร์ให้เมมฯระเบิดกันไปเลยค่ะ
7. กระเป๋าเดินทางพร้อม costume แนวคาวาอี๊ทั้งหลาย พอดีไปช่วงหนาว แฟชั่นแนวหนาวๆที่ใส่ที่ไทยไม่ได้ ขนไปเลยค่ะ (ดูเก็บกด555)
7.สำหรับคนติดโชเชี่ยลอาจเช่า pocket wifi ไปใช้กันนะคะ แต่เราแนวโลวคอส เลยโหลดแอฟฯ ที่จับwifi ฟรีของญี่ปุ่นไปใช้ค่ะ ซึ่งแรงใช้ได้ มีเน็ตให้ใช้ทุกสถานี แต่ข้อเสียคือ หลุดบ่อย ต้องคอยเปลี่ยนไปเรื่อยๆค่ะ แต่เราไม่ซีเรียสเรื่องนี้อยู่แล้ว เอาไว้แค่ดูตารางเวลารถไฟ (อันนี้ก็โหลดแอฟฯ แสดงเวลาของรถไฟมาไว้ค่ะ) และไว้ใช้เข้า map เพื่อดูทิศทางค่ะ นอกนั้นกะว่าจะอัพรูปหรือเล่นโซเชี่ยลตอนเข้าที่พักแล้วใช้wifiของโรงแรมเอา
อันนี้คือที่เราคิดว่าเป็นสิ่งของหลักๆที่ควรมีนะคะ เตรียมพร้อมแล้วก็ไปค่ะ ดอนเมือง – คันไซ ก่อนลงเครื่องกัปตันบอกเราว่าเป็นเวลาประมาณ สามทุ่มกว่าๆ อุณหภูมิภาคพื้นดิน อยู่ที่ประมาณ 5 องศา ประมาณยอดดอยบ้านเรา ชิลๆ ลงเครื่องแล้วเดินตามๆเค้าไปค่ะ สังเกตป้ายไปเรื่อย แถว ตม.ยาวอยู่ค่ะ แต่เค้าจัดการกันได้เร็ว ระหว่างต่อคิว จะมี จนท.เค้ามาช่วยสอดส่องเอกสารการเข้าเมืองของเราให้ค่ะ ว่ากรอกครบมั้ย ถ้าเค้ามาใกล้ๆยื่นให้ดูไปเลยค่ะ ถ้าขาดตกตรงไหน เค้าจะให้เราเติมให้ครบค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา พอถึงจุดสแกน เรื่องเอกสารจะได้ไวขึ้นค่ะ และpassport เราก็แบบขาวสะอาดกันเลย แต่เราผ่านแบบชิลๆนะคะ เตรียมตัวมาพร้อม(รึป่าวว) ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ ยิ้มเข้าไว้ แล้วเดินไปรอรับกระเป๋าเลยจ้า
คืนแรก อย่างที่บอกค่ะ เรานอนที่สนามบินค่ะ คือทางสนามบินเค้าจัดที่นอนในโซน Aero plaza ให้นอนกันฟรีนะคะ เดินออกมาจากเทอมินอลก่อน มาสำรวจทางเข้าสถานีรถไฟของเค้าด้วยค่ะ ตอนเช้าชั้นต้องมาตรงนี้ มีห้องอาบน้ำหยอดเหรียญให้บริการค่ะ สมกับที่เป็นประเทศญี่ปุ่น คนจะเยอะแค่ไหนเค้าก็ยังคงรักษาความสะอาดของพื้นที่ได้ดีค่ะ คือถ้าไปทำเลอะนี่เราคงรู้สึกผิดเลย555 แต่วันที่ไปถึง คนเยอะมาก เราเลยอยู่ในฝั่งเทอมินอลของสนามบินค่ะ คนน้อยกว่า แต่ต้องนอนบนเก้าอี้นะคะ เราเลือกจุดที่ใกล้ๆกับที่เค้ามีปลั๊กไฟค่ะ มีคนมานอนตรงจุดที่เราอยู่เหมือนกัน ตรงเก้าอี้ตรงข้ามกับเราก็มีสาวเกาหลีน่ารักๆ มานั่งชาร์ตแบตอยู่ด้วยค่ะ ซึ่งก็อย่างที่บอกค่ะ ว่าเราไม่ค่อยได้นอนหรอก ส่งยิ้มสยามไปให้เค้า เค้าก็ยิ้มตอบนะคะ นั่งเล่นอยู่สักพัก แน่ใจแล้วว่านางปักหลักอยู่กับเราตรงนี้แน่นอน เราเลยทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้ตรงนั้น แล้วสะพายเป้ใบเล็กๆที่ใส่แต่ของสำคัญ แล้วไปเดินเล่นรอบสนามบินเลยค่ะ (แบบวัดใจ เห็นบอกว่าที่นี่ความปลอดภัยอยู่ในระดับสูง) เดินสำรวจไปเรื่อยๆ ตอนนี้เกือบตี 1 แล้วค่ะ ไปเจอร้านอาหารที่เปิด 24 ชม.ของเค้าเมนูหน้าตาน่ากิน เรานี่แอบเสียดาย เพราะพอเข้าอาคารมา ก็ไปหาข้าวปั้นรองท้องในแฟมิลี่มาร์ทไปซะแล้ว เลยกลับฐานไปนั่งเล่นหาดูว่าตอนเช้าตกลงชีวิตชั้นจะไปไหนดี นั่งกางไกด์บุ๊คของตั๋วรถไฟทั้ง 2 ใบเทียบกันไป-มา แล้วไปเจอรีวิวเรื่องของน้องเหมียวนิทามะเข้า ทาสแมวอย่างเรา เลยไม่คิดไรต่อแล้วค่ะ ไปอันนี้ก่อนละกัน แล้วค่อยกลับเข้ามาที่โอซาก้าช่วงเย็น พอมีจุดหมายที่ชัดขึ้น เริ่มตื่นเต้นแล้วค่ะ เริ่มง่วง เลยงีบไปก่อนเช้านิดนึงค่ะ ส่วนสาวเกาหลีน่าจะหลับไปสักพักแล้ว ไม่อยากเสียงดังรบกวนเค้าค่ะ แหะๆ








[CR] Lost in Kansai แค่3 วันก็เที่ยวได้ แบบ low cost & Slow life ฉบับทาสแมว >0<
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เริ่มแรก ขอพูดถึงสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนนะคะ ทริปนี้ไปแบบ low cost & Slow life สิ่งไหนพอประหยัดได้ จัดไปค่ะ
1.ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
2.passport
3.เอกสารการจองที่พัก เราจองไว้ 2 ที่ค่ะ โอซาก้า 1 คืน เกียวโต 1 คืน (เราจองผ่าน agoda หมดเลย สะดวกดี) เนื่องจากไฟลท์ที่ไป จะถึงที่โน่นประมาณสี่ทุ่ม ซึ่งเราก็มโนไปเองว่ากว่าจะผ่าน ตม.เค้า กว่าจะรอกระเป๋าคงนานมั่ง (ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้นานอะไร ตม.ใจดี บอกว่ามาเที่ยวคนเดียว ก็ไม่ได้ถามไรมาก) เลยตัดสินใจว่าคืนแรกนอนที่สนามบินค่ะ ซึ่งเอาจริงๆก็ไม่ค่อยได้นอนหรอก เดินเล่นไปเรื่อย คิดแพลนว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปไหนก่อนดี ขนาดถึงญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังคงแพลนไม่เสร็จ อย่ามาเอาความเป๊ะกับเราเลย T_T
4.ตั๋วรถไฟ(ตาม passที่เราเลือก) สั่งซื้อในเวป lost trip Thailand ค่ะเนื่องจากเพิ่งจะสั่งก่อนเดินทาง 2 วัน แล้วที่นี่ออฟฟิศเค้าอยู่ที่ตึก เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ตรง MRT ศูนย์วัฒฯ ใกล้บ้านดีค่ะ สั่งเสร็จเลยโทรบอกเค้าว่าจะเข้าไปรับเองเลยทันเวลา อย่างที่บอก ทริปนี้เราไปแบบ low cost เราเลยไม่ได้ซื้อตั๋วของ JR เลยค่ะ กะว่าถ้าต้องขึ้น ค่อยซื้อแบบหยอดตู้เอา และดูจากรีวิวต่างๆ subway เค้าก็คลอบคลุมพื้นที่ดีค่ะ แต่ด้วยความไม่รู้ว่าจะเลือกตั๋วแบบไหนดี เราเลยสั่งซื้อไป 2 แบบ ซึ่งจริงๆแล้วใช้แบบ Kansai thru pass อย่างเดียวก็ได้ แต่เราชอบสถานที่ที่ใช้บัตร Osaka amazing pass เข้าฟรีได้ เลยเอามา2ใบเลยค่ะ โลภค่ะ รักพี่เสียดายน้อง(ประหยัดยังไงของแกรรรร) เลือกแบบเดินทางได้ 2 วันทั้งคู่ ที่คิดไว้ว่าน่าจะมีเวลาเที่ยวได้แค่ 3 วัน เลยคิดว่า ไปไกลมากไม่ได้ เวลาจะไม่พอ แล้ว2ใบนี้น่าจะคลอบคลุมแล้ว
4.2 Osaka amazing pass ใบนี้ 2 วันเหมือนกัน แต่ต้องใช้แบบต่อเนื่อง เราใช้ในวันที่ 1และ 2 โดยใช้เดินทางไปรอบๆ Osaka และไปตามสถานที่ที่สามารถใช้ตั๋วใบนี้เข้าฟรีได้
5.เงินเยนค่ะ เราไปแลกที่ super rich ที่เซ็นทรัล พระราม9 ค่ะ ใกล้บ้านนั่นเอง
6. กล้องถ่ายรูปพร้อม accessory ตามแต่จะชอบ ไปทั้งรัวชัตเตอร์ให้เมมฯระเบิดกันไปเลยค่ะ
7. กระเป๋าเดินทางพร้อม costume แนวคาวาอี๊ทั้งหลาย พอดีไปช่วงหนาว แฟชั่นแนวหนาวๆที่ใส่ที่ไทยไม่ได้ ขนไปเลยค่ะ (ดูเก็บกด555)
7.สำหรับคนติดโชเชี่ยลอาจเช่า pocket wifi ไปใช้กันนะคะ แต่เราแนวโลวคอส เลยโหลดแอฟฯ ที่จับwifi ฟรีของญี่ปุ่นไปใช้ค่ะ ซึ่งแรงใช้ได้ มีเน็ตให้ใช้ทุกสถานี แต่ข้อเสียคือ หลุดบ่อย ต้องคอยเปลี่ยนไปเรื่อยๆค่ะ แต่เราไม่ซีเรียสเรื่องนี้อยู่แล้ว เอาไว้แค่ดูตารางเวลารถไฟ (อันนี้ก็โหลดแอฟฯ แสดงเวลาของรถไฟมาไว้ค่ะ) และไว้ใช้เข้า map เพื่อดูทิศทางค่ะ นอกนั้นกะว่าจะอัพรูปหรือเล่นโซเชี่ยลตอนเข้าที่พักแล้วใช้wifiของโรงแรมเอา
อันนี้คือที่เราคิดว่าเป็นสิ่งของหลักๆที่ควรมีนะคะ เตรียมพร้อมแล้วก็ไปค่ะ ดอนเมือง – คันไซ ก่อนลงเครื่องกัปตันบอกเราว่าเป็นเวลาประมาณ สามทุ่มกว่าๆ อุณหภูมิภาคพื้นดิน อยู่ที่ประมาณ 5 องศา ประมาณยอดดอยบ้านเรา ชิลๆ ลงเครื่องแล้วเดินตามๆเค้าไปค่ะ สังเกตป้ายไปเรื่อย แถว ตม.ยาวอยู่ค่ะ แต่เค้าจัดการกันได้เร็ว ระหว่างต่อคิว จะมี จนท.เค้ามาช่วยสอดส่องเอกสารการเข้าเมืองของเราให้ค่ะ ว่ากรอกครบมั้ย ถ้าเค้ามาใกล้ๆยื่นให้ดูไปเลยค่ะ ถ้าขาดตกตรงไหน เค้าจะให้เราเติมให้ครบค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา พอถึงจุดสแกน เรื่องเอกสารจะได้ไวขึ้นค่ะ และpassport เราก็แบบขาวสะอาดกันเลย แต่เราผ่านแบบชิลๆนะคะ เตรียมตัวมาพร้อม(รึป่าวว) ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ ยิ้มเข้าไว้ แล้วเดินไปรอรับกระเป๋าเลยจ้า
คืนแรก อย่างที่บอกค่ะ เรานอนที่สนามบินค่ะ คือทางสนามบินเค้าจัดที่นอนในโซน Aero plaza ให้นอนกันฟรีนะคะ เดินออกมาจากเทอมินอลก่อน มาสำรวจทางเข้าสถานีรถไฟของเค้าด้วยค่ะ ตอนเช้าชั้นต้องมาตรงนี้ มีห้องอาบน้ำหยอดเหรียญให้บริการค่ะ สมกับที่เป็นประเทศญี่ปุ่น คนจะเยอะแค่ไหนเค้าก็ยังคงรักษาความสะอาดของพื้นที่ได้ดีค่ะ คือถ้าไปทำเลอะนี่เราคงรู้สึกผิดเลย555 แต่วันที่ไปถึง คนเยอะมาก เราเลยอยู่ในฝั่งเทอมินอลของสนามบินค่ะ คนน้อยกว่า แต่ต้องนอนบนเก้าอี้นะคะ เราเลือกจุดที่ใกล้ๆกับที่เค้ามีปลั๊กไฟค่ะ มีคนมานอนตรงจุดที่เราอยู่เหมือนกัน ตรงเก้าอี้ตรงข้ามกับเราก็มีสาวเกาหลีน่ารักๆ มานั่งชาร์ตแบตอยู่ด้วยค่ะ ซึ่งก็อย่างที่บอกค่ะ ว่าเราไม่ค่อยได้นอนหรอก ส่งยิ้มสยามไปให้เค้า เค้าก็ยิ้มตอบนะคะ นั่งเล่นอยู่สักพัก แน่ใจแล้วว่านางปักหลักอยู่กับเราตรงนี้แน่นอน เราเลยทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้ตรงนั้น แล้วสะพายเป้ใบเล็กๆที่ใส่แต่ของสำคัญ แล้วไปเดินเล่นรอบสนามบินเลยค่ะ (แบบวัดใจ เห็นบอกว่าที่นี่ความปลอดภัยอยู่ในระดับสูง) เดินสำรวจไปเรื่อยๆ ตอนนี้เกือบตี 1 แล้วค่ะ ไปเจอร้านอาหารที่เปิด 24 ชม.ของเค้าเมนูหน้าตาน่ากิน เรานี่แอบเสียดาย เพราะพอเข้าอาคารมา ก็ไปหาข้าวปั้นรองท้องในแฟมิลี่มาร์ทไปซะแล้ว เลยกลับฐานไปนั่งเล่นหาดูว่าตอนเช้าตกลงชีวิตชั้นจะไปไหนดี นั่งกางไกด์บุ๊คของตั๋วรถไฟทั้ง 2 ใบเทียบกันไป-มา แล้วไปเจอรีวิวเรื่องของน้องเหมียวนิทามะเข้า ทาสแมวอย่างเรา เลยไม่คิดไรต่อแล้วค่ะ ไปอันนี้ก่อนละกัน แล้วค่อยกลับเข้ามาที่โอซาก้าช่วงเย็น พอมีจุดหมายที่ชัดขึ้น เริ่มตื่นเต้นแล้วค่ะ เริ่มง่วง เลยงีบไปก่อนเช้านิดนึงค่ะ ส่วนสาวเกาหลีน่าจะหลับไปสักพักแล้ว ไม่อยากเสียงดังรบกวนเค้าค่ะ แหะๆ