จขกท.กำลังสงสัยว่าตัวเองกำลังซึมเศร้ารึเปล่าน่ะค่ะ เพราะเสียใจกับการสอบไม่ติดโรงเรียนมหิดลวิทย์ฯมากๆ ผ่านมาจะ2เดือนแล้วยังร้องไห้อยู่เลยค่ะ เกราะตอนนั้นตั้งใจมากๆ ทุ่มเทฝืนตัวเองอ่านหนังสือทำแบบฝึกหัดเป็นตั้งๆหลายพันข้อ ไปเรียนพิเศษทุกวันตลอดปิดเทอมแล้วก็กลับมาอ่านหนังสือต่อ บางวันก็อ่านวันละสิบกว่าชั่วโมงเลยค่ะ แล้วตอนแรกออกจากห้องสอบคือมั่นใจมากๆว่าต้องติด เช็คคำตอบก็แล้วเช็คยอดคะแนนปีก่อนๆก็แล้วคิดว่าเลยมีนมาสูงอยู่เลยมั่นใจมากๆ
แต่ผลคือไม่ติดแม้กระทั่งรอบแรกค่ะ พ่อแม่ก็ไม่อยากให้ไปดูคะแนนให้เสียอกเสียใจด้วยเพราะแก้อะไรไม่ได้แล้ว แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเราพลาดตรงไหนหรือว่าเราฝนรันข้อผิดไป(ปีนี้เป็นปีแรกที่เปลี่ยนรูปแบบข้อสอบค่ะ) แต่เหมือนพูดไปก็แค่ปลอบใจตัวเอง จากเดิมเราเป็นคนชอบเก็บตัวค่ะ จะไม่ร้องไห้ให้คนอื่นเห็นเลย กั้นกำแพงกับคนอื่นๆไว้เกือบทุกคนแต่วันที่ประกาศผลเราเข้าใจว่าถ้าเห็นชื่อตัวเองแสดงว่าติด มือไม้มันสั่นไปหมดเลย วินาทีแรกที่เห็นชื่อตัวเองนี่กรี้ดแล้วก็กระโดดกลางห้องเรียนเลยค่ะ แต่พอจะกลับมาอ่านรายละเอียดอีกทีกลับกวาดสายตาไปเจอคำว่า"ไม่" วินาทีนั้นใจไม่ดีเลยค่ะ หน้าชา ลืมหายใจไปเลย มือไม้สั่นกว่าเดิม รู้สึกหัววูบ รู้แค่ว่าต้องโทรไปบอกแม่ เราว่าเราจะไม่ร้องนะ แต่พอบอกแม่ว่าไม่ติดแล้วแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไรนะลูก วินาทีนั้นปล่อยออกมาหมดเลยค่ะ พีคคือคาบนั้นต้องสอบ... ตอนนั้นทำอะไรไม่ไปแล้ว สติหลุดไปแล้วค่ะ คาบนั้นช็อคไปเลย แต่หลังจากนั้นเราก็ร้องไห้มันกลางห้องเลยค่ะ คือร้องเสียงดังมากๆ แต่ต้องไปถ่ายหนังสือรุ่นต่อ!!! จุดๆนั้นคือยิ้มไม่ออกเลย.
แค่ทำให้ปากเป็นเส้นตรงยังรู้สึกลำบากเลยค่ะ วันต่อมาเราก็ไปเรียนพิเศษแบบคล้ายๆคุมองแต่เป็นวิชาภาษาอังกฤษค่ะ ครูบอกว่าถ้าได้ข่าวดีให้มาหาครูวันประกาศนะ เราก็ไปเรียนแบบรู้สึกหนักอึ้งมากๆ พอไปถึงก็แทบไม่ได้เรียนเลยค่ะ ร้องไห้มันกลางห้องเลย แล้วก็มีเรียนวันเสาร์กับอาจารย์พิเศษที่เชิญมาจากข้างนอกมาสอนที่รร.ค่ะ. เพราะก่อนหน้านั้นเราหยุดเรียนมาอ่านหนังสือที่บ้านบ่อยเลยไม่เคยเจอท่านมาก่อน วันนั้นเราก็ร้องไห้อีกรอบ ไม่กี่วันหลังจากนั้นเราก็ได้ไปเที่ยวกับรุ่นพี่ที่แอบชอบค่ะ แล้ววันนั้นเราก็ไม่ร่าเริงเลยจนตอนจะกลับบ้านเราร้องไห้หน้าบีทีเอสสยามตอนเย็นเลยค่ะ.....(รู้สึกอาย) ผ่านไปเป็นเดือนก็มีรุ่นพี่เตรียมในกลุ่มไลน์คอลค่ะ ไปๆมาๆเราก็ร้องไห้อีกแล้วพี่เขาก็ปลอบ หลังจากนั้นคือทุกคนคอยปลอบเรา เราก็รู้ เราก็เข้าใจ นี่มันก็ผ่านมาสองเดือนได้แล้ว คือเราต้องสอบเข้ารร.เตรียมอุดมฯให้คุณพ่อคุณแม่ค่ะ แต่คือเราไม่ค่อยมีใจฝักใฝ่ในสถานศึกษาแห่งนี้นักเลย เราก็ยังอ่านหนังสืออยู่ทุกวันตั้งแต่วันที่รู้ว่าไม่ติด วางแผนใหม่ หาหนังสืออ่านใหม่ จัดโต๊ะใหม่ แต่ถึงจะรู้อยู่แก่ใจแต่อาจจะเพราะอยู่บ้านอย่างเดียว เวลาที่ไม่ได้ทำอะไรจริงๆจังๆเราก็พาลน้ำตาจะไหลเกือบตลอดเวลาเลยค่ะ เพราเมื่อปีก่อนๆเคยเครียดจัดจนเข้าโรงพยาบาลทั้งๆที่วันรุ่นขึ้นคุณหมอได้เขียนจดหมายมอบตัวให้ไปพบจิตแพทย์ให้แล้ว เราก็เลยสงสัยว่าตัวเองอาจจะซึมเศร้าแล้วจริงๆ แถมนอกจากร้องไห้แล้วก็ยังมือการเหมือนครั้งก่อนคือตัวและมือไม้สั่น นั่งกอดเข่า จิกผมตัวเอง ตี จิกเนื้อตัวเอง แถมอยู่ๆก็เกิดเอาตุ๊กตามาสุมเต็มที่นอนเลยค่ะ เพราะเดิมเป็นคนแพ้ขนตุ๊กตาด้วย ยังไม่มีความคิดจะฆ่าตัวตายอะไรแบบนั้น แต่เราก็รู้สึกหมดความเชื่อมั่น หมดอาลัยตายอยากและผิดหวังในตัวเองเป็นที่สุดเลยค่ะ แต่ถ้าจะไปพบจิตแพทย์ก็ไม่รู้จะพูดกับคุณพ่อคุณแม่ยังไงดีน่ะค่ะ รู้สึกแย่มากๆ แต่พ่อแม่ก็เข้าใจหนูเป็นอย่างดีและทุกคนก็ดีกับหนูมากๆจนหนูคิดว่าหนูเป็นคนที่โชคดีมากๆเลย หนูพยายามจะทำตัวเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ ไม่อยากทำให้ท่านหนักใจหรือเสียอะไรไปโดยใช่เหตุ พยายามจะโตขึ้นเป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพของโลก ก่อนที่จะทำอะไรก็พยายามคิดไตร่ตรองและปรึกษาคนอื่นๆให้ดีก่อน พยายามโตกว่าวัยมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ตอนนี้รู้สึกไม่เหลือและเหมือนกำลังแค่กินบุญเก่าอยู่เลยล่ะค่ะ
ปล.ขอโทษนะคะที่พิมอะไงงงๆไปบ้างแล้วก็ต้องมาทำให้ทุกคนต้องมาฟังเรื่องโง่ๆซ้ำๆแบบนี้เพราะร้องไห้เมื่อกี้ก่อนจะตัดสินใจมาตั้งกระทู้อีกรอบค่ะ
ซึมเศร้าคืออะไร
แต่ผลคือไม่ติดแม้กระทั่งรอบแรกค่ะ พ่อแม่ก็ไม่อยากให้ไปดูคะแนนให้เสียอกเสียใจด้วยเพราะแก้อะไรไม่ได้แล้ว แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเราพลาดตรงไหนหรือว่าเราฝนรันข้อผิดไป(ปีนี้เป็นปีแรกที่เปลี่ยนรูปแบบข้อสอบค่ะ) แต่เหมือนพูดไปก็แค่ปลอบใจตัวเอง จากเดิมเราเป็นคนชอบเก็บตัวค่ะ จะไม่ร้องไห้ให้คนอื่นเห็นเลย กั้นกำแพงกับคนอื่นๆไว้เกือบทุกคนแต่วันที่ประกาศผลเราเข้าใจว่าถ้าเห็นชื่อตัวเองแสดงว่าติด มือไม้มันสั่นไปหมดเลย วินาทีแรกที่เห็นชื่อตัวเองนี่กรี้ดแล้วก็กระโดดกลางห้องเรียนเลยค่ะ แต่พอจะกลับมาอ่านรายละเอียดอีกทีกลับกวาดสายตาไปเจอคำว่า"ไม่" วินาทีนั้นใจไม่ดีเลยค่ะ หน้าชา ลืมหายใจไปเลย มือไม้สั่นกว่าเดิม รู้สึกหัววูบ รู้แค่ว่าต้องโทรไปบอกแม่ เราว่าเราจะไม่ร้องนะ แต่พอบอกแม่ว่าไม่ติดแล้วแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไรนะลูก วินาทีนั้นปล่อยออกมาหมดเลยค่ะ พีคคือคาบนั้นต้องสอบ... ตอนนั้นทำอะไรไม่ไปแล้ว สติหลุดไปแล้วค่ะ คาบนั้นช็อคไปเลย แต่หลังจากนั้นเราก็ร้องไห้มันกลางห้องเลยค่ะ คือร้องเสียงดังมากๆ แต่ต้องไปถ่ายหนังสือรุ่นต่อ!!! จุดๆนั้นคือยิ้มไม่ออกเลย.
แค่ทำให้ปากเป็นเส้นตรงยังรู้สึกลำบากเลยค่ะ วันต่อมาเราก็ไปเรียนพิเศษแบบคล้ายๆคุมองแต่เป็นวิชาภาษาอังกฤษค่ะ ครูบอกว่าถ้าได้ข่าวดีให้มาหาครูวันประกาศนะ เราก็ไปเรียนแบบรู้สึกหนักอึ้งมากๆ พอไปถึงก็แทบไม่ได้เรียนเลยค่ะ ร้องไห้มันกลางห้องเลย แล้วก็มีเรียนวันเสาร์กับอาจารย์พิเศษที่เชิญมาจากข้างนอกมาสอนที่รร.ค่ะ. เพราะก่อนหน้านั้นเราหยุดเรียนมาอ่านหนังสือที่บ้านบ่อยเลยไม่เคยเจอท่านมาก่อน วันนั้นเราก็ร้องไห้อีกรอบ ไม่กี่วันหลังจากนั้นเราก็ได้ไปเที่ยวกับรุ่นพี่ที่แอบชอบค่ะ แล้ววันนั้นเราก็ไม่ร่าเริงเลยจนตอนจะกลับบ้านเราร้องไห้หน้าบีทีเอสสยามตอนเย็นเลยค่ะ.....(รู้สึกอาย) ผ่านไปเป็นเดือนก็มีรุ่นพี่เตรียมในกลุ่มไลน์คอลค่ะ ไปๆมาๆเราก็ร้องไห้อีกแล้วพี่เขาก็ปลอบ หลังจากนั้นคือทุกคนคอยปลอบเรา เราก็รู้ เราก็เข้าใจ นี่มันก็ผ่านมาสองเดือนได้แล้ว คือเราต้องสอบเข้ารร.เตรียมอุดมฯให้คุณพ่อคุณแม่ค่ะ แต่คือเราไม่ค่อยมีใจฝักใฝ่ในสถานศึกษาแห่งนี้นักเลย เราก็ยังอ่านหนังสืออยู่ทุกวันตั้งแต่วันที่รู้ว่าไม่ติด วางแผนใหม่ หาหนังสืออ่านใหม่ จัดโต๊ะใหม่ แต่ถึงจะรู้อยู่แก่ใจแต่อาจจะเพราะอยู่บ้านอย่างเดียว เวลาที่ไม่ได้ทำอะไรจริงๆจังๆเราก็พาลน้ำตาจะไหลเกือบตลอดเวลาเลยค่ะ เพราเมื่อปีก่อนๆเคยเครียดจัดจนเข้าโรงพยาบาลทั้งๆที่วันรุ่นขึ้นคุณหมอได้เขียนจดหมายมอบตัวให้ไปพบจิตแพทย์ให้แล้ว เราก็เลยสงสัยว่าตัวเองอาจจะซึมเศร้าแล้วจริงๆ แถมนอกจากร้องไห้แล้วก็ยังมือการเหมือนครั้งก่อนคือตัวและมือไม้สั่น นั่งกอดเข่า จิกผมตัวเอง ตี จิกเนื้อตัวเอง แถมอยู่ๆก็เกิดเอาตุ๊กตามาสุมเต็มที่นอนเลยค่ะ เพราะเดิมเป็นคนแพ้ขนตุ๊กตาด้วย ยังไม่มีความคิดจะฆ่าตัวตายอะไรแบบนั้น แต่เราก็รู้สึกหมดความเชื่อมั่น หมดอาลัยตายอยากและผิดหวังในตัวเองเป็นที่สุดเลยค่ะ แต่ถ้าจะไปพบจิตแพทย์ก็ไม่รู้จะพูดกับคุณพ่อคุณแม่ยังไงดีน่ะค่ะ รู้สึกแย่มากๆ แต่พ่อแม่ก็เข้าใจหนูเป็นอย่างดีและทุกคนก็ดีกับหนูมากๆจนหนูคิดว่าหนูเป็นคนที่โชคดีมากๆเลย หนูพยายามจะทำตัวเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ ไม่อยากทำให้ท่านหนักใจหรือเสียอะไรไปโดยใช่เหตุ พยายามจะโตขึ้นเป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพของโลก ก่อนที่จะทำอะไรก็พยายามคิดไตร่ตรองและปรึกษาคนอื่นๆให้ดีก่อน พยายามโตกว่าวัยมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ตอนนี้รู้สึกไม่เหลือและเหมือนกำลังแค่กินบุญเก่าอยู่เลยล่ะค่ะ
ปล.ขอโทษนะคะที่พิมอะไงงงๆไปบ้างแล้วก็ต้องมาทำให้ทุกคนต้องมาฟังเรื่องโง่ๆซ้ำๆแบบนี้เพราะร้องไห้เมื่อกี้ก่อนจะตัดสินใจมาตั้งกระทู้อีกรอบค่ะ