เอกชนโวย กฟผ.โดดลงทุนพลังงานทดแทนแข่งกับเอกชน ปิดทางรายเล็ก อาศัยความได้เปรียบทั้งการเงิน-เข้าถึงสายส่งได้มากกว่า แม้เปิดทางให้เอกชนร่วมลงทุนแต่เชื่อติด พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ โครงการเกิดยาก เอกชนจี้เคลียร์ข้อกังขา 4 ประเด็น ด้าน สนพ.แจง กฟผ.ยังไม่ได้เข้าขอหารือรายละเอียด ชี้ กฟผ.ต้องลงทุนส่วนที่เอกชนทำไม่ได้เช่น "โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ"
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภายหลังจากที่กระทรวงพลังงานอนุมัติแผนพลังงานทดแทนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมกำลังผลิต 2,000 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ของประเทศ หรือ PDP (Power Development Plan 2015) ที่กำหนดไว้เพียง 515 เมกะวัตต์นั้น เท่ากับว่า กฟผ.กำลังมีแผนจะเข้ามาลงทุนแข่งขันกับเอกชนในการทำธุรกิจพลังงานทดแทน
ทั้งที่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามรัฐวิสาหกิจเข้ามาลงทุนในกิจการที่มีภาคเอกชนดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งเอกชนยังมองอีกว่าการดำเนินการดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก หรือ SMEs ก่อนเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะในกรณีที่การรับซื้อไฟฟ้าใช้วิธีประมูลแข่งขันกัน (Bidding) กฟผ.ในฐานะองค์กรรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ย่อมมีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนทางการเงิน ซึ่งต่ำกว่าผู้ประกอบการรายกลาง และรายเล็กอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ตามที่ กฟผ.ได้เปิดทางให้เอกชนรายอื่นเข้ามาร่วมลงทุนด้วยนั้น ยังอาจจะมีปัญหาด้านขั้นตอนการขออนุญาตต่าง ๆ เพราะการลงทุนร่วมรัฐและเอกชนต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก อาจส่งผลกระทบให้โครงการอาจล่าช้าออกไป
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่ กฟผ.จะต้องให้ความชัดเจนต่อคือ 1) วิธีการให้ได้กำลังผลิตรวม 2,000 เมกะวัตต์ เช่น สัดส่วนที่ กฟผ.จะดำเนินการเอง สัดส่วนที่จะร่วมทุนกับเอกชน หรือสัดส่วนที่จะเปิดให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนเองแล้ว กฟผ.รับซื้อไฟฟ้า
2) กรณีอัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุว่า "เท่ากับเอกชน" นั้น เป็นราคาตามอัตรา FiT ที่ประกาศเป็นเพดานราคาหรือเป็นราคาเท่ากับผลการ Competitive Bidding ของเอกชนที่ชนะการประมูล
3) กฟผ.เป็นผู้ดูแลระบบสายส่งไฟฟ้าแรงดันสูง เมื่อ กฟผ.จะเข้ามาในกิจการพลังงานหมุนเวียนอาจจะทำให้ กฟผ.และผู้ร่วมทุนเอกชนมีความได้เปรียบเหนือเอกชนรายอื่นในการเข้าถึงระบบสายส่ง อาจเกิดความไม่เป็นธรรมได้
และ 4) นอกจากความได้เปรียบในเรื่องของสายส่งแล้ว เอกชนรายอื่น ๆ ด้านโรงไฟฟ้าชีวมวลและก๊าซชีวภาพถูกกำหนดให้ต้องแข่งขันประมูลราคา โดยที่ราคาเชื้อเพลิงมีความแตกต่างกัน และยังมีโอกาสที่ผู้ประกอบการรายเล็กจะเสียเปรียบรายใหญ่ด้านต้นทุนการเงินนั้นจะดำเนินการอย่างไร
"ผู้ประกอบการเอกชนยังมองว่าหาก กฟผ.ต้องการทำพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง ควรทำพลังงานชีวมวลในพื้นที่จังหวัดกระบี่ที่มีประเด็นต่อต้านจากภาคประชาชนในพื้นที่มากกว่า และถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงมาก และจะได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการส่งเสริมพลังงานทดแทนด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เคยมีการเสนอให้โรงไฟฟ้ากระบี่ใช้พลังงานชีวมวลที่ร้อยละ 20 เพื่อลดมลพิษและการต่อต้านเหมือนกับทางประเทศในแถบยุโรป แต่ข้อเสนอนี้ก็เงียบไป และกลับมาครีเอตสัดส่วน 2,000 เมกะวัตต์ ผลิตไฟแข่งกับเอกชน ยิ่งเพิ่มแรงเสียดทานให้ กฟผ.มากขึ้น" แหล่งข่าวกล่าว
ด้านนายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนของ กฟผ. รวม 2,000 เมกะวัตต์นั้น ยังต้องหารือร่วมกันในประเด็นอัตราค่าไฟฟ้า เนื่องจาก กฟผ.ใช้ระบบคำนวณจากผลตอบแทนการลงทุน หรือ ROIC คือ รายได้จะต้องเพียงพอเท่ากับการจ่ายคืนหนี้ด้วย ซึ่งแตกต่างจากการผลิตไฟฟ้าของเอกชน
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ.จะเป็นผู้ผลิตจะต้องไม่แพงว่าราคาที่เอกชนทำได้ โดยสัดส่วนดังกล่าว สนพ.ต้องการให้เป็นประเภท Firm แต่ไม่จำเป็นต้องเป็น Firm ทั้ง 2,000 เมกะวัตต์ และ กฟผ.ต้องเสนอค่าไฟราคาฐานสำหรับโครงการนี้ให้พิจารณาด้วย
"ตอนนี้ยังไม่มีการหารือกับ กฟผ. เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขามาเล่าแนวคิดว่า อยากจะปรับพอร์ตให้มีการลงทุนพลังงานทดแทนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่ง สนพ.มองว่า กฟผ.จะต้องเน้นผลิตพลังงานทดแทนในส่วนที่ภาคเอกชนทำไม่ได้ เช่น โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ เพราะ กฟผ.มีเขื่อนหลายแห่ง สามารถดำเนินการได้ เป็นต้น"
ในขณะที่นายชนินทร์ เชาวน์นิรัติศัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ในฐานะบริษัทลูกของ กฟผ.กล่าวว่า คงไม่เข้าไปดำเนินการในส่วนนี้ร่วมกับ กฟผ.เพราะอาจถูกโจมตีว่า กฟผ.เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทลูก แต่ในกรณีที่ใช้วิธีประมูลและแข่งขันอย่างแท้จริงมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วม
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับแผนพลังงานทดแทนของ กฟผ.รวม 2,000 เมกะวัตต์ ที่นำเสนอต่อกระทรวงพลังงานนั้น แบ่งเป็นประเภทชีวมวล 1,032.50 เมกะวัตต์ แสงอาทิตย์ 486 เมกะวัตต์ ลม 307 เมกะวัตต์ น้ำ 125.15 เมกะวัตต์ ขยะ 43 เมกะวัตต์ ก๊าซชีวภาพ 5 เมกะวัตต์ พลังงานใต้พิภพ 2 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเกิดการลงทุนรวมประมาณ 200,000 ล้านบาท กำลังผลิตที่ กฟผ.เสนอเพิ่มดังกล่าวนั้นจะเหลือกำลังผลิตเพื่อให้เปิดรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนประมาณ 10,143 เมกะวัตต์
JJNY : เอกชนโวยกฟผ.ฮุบพลังงานทดแทน 200MWปิดทางรายเล็กแข่งประมูล-กังขาค่าไฟฟ้า
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภายหลังจากที่กระทรวงพลังงานอนุมัติแผนพลังงานทดแทนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมกำลังผลิต 2,000 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ของประเทศ หรือ PDP (Power Development Plan 2015) ที่กำหนดไว้เพียง 515 เมกะวัตต์นั้น เท่ากับว่า กฟผ.กำลังมีแผนจะเข้ามาลงทุนแข่งขันกับเอกชนในการทำธุรกิจพลังงานทดแทน
ทั้งที่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามรัฐวิสาหกิจเข้ามาลงทุนในกิจการที่มีภาคเอกชนดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งเอกชนยังมองอีกว่าการดำเนินการดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก หรือ SMEs ก่อนเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะในกรณีที่การรับซื้อไฟฟ้าใช้วิธีประมูลแข่งขันกัน (Bidding) กฟผ.ในฐานะองค์กรรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ย่อมมีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนทางการเงิน ซึ่งต่ำกว่าผู้ประกอบการรายกลาง และรายเล็กอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ตามที่ กฟผ.ได้เปิดทางให้เอกชนรายอื่นเข้ามาร่วมลงทุนด้วยนั้น ยังอาจจะมีปัญหาด้านขั้นตอนการขออนุญาตต่าง ๆ เพราะการลงทุนร่วมรัฐและเอกชนต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก อาจส่งผลกระทบให้โครงการอาจล่าช้าออกไป
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่ กฟผ.จะต้องให้ความชัดเจนต่อคือ 1) วิธีการให้ได้กำลังผลิตรวม 2,000 เมกะวัตต์ เช่น สัดส่วนที่ กฟผ.จะดำเนินการเอง สัดส่วนที่จะร่วมทุนกับเอกชน หรือสัดส่วนที่จะเปิดให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนเองแล้ว กฟผ.รับซื้อไฟฟ้า
2) กรณีอัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุว่า "เท่ากับเอกชน" นั้น เป็นราคาตามอัตรา FiT ที่ประกาศเป็นเพดานราคาหรือเป็นราคาเท่ากับผลการ Competitive Bidding ของเอกชนที่ชนะการประมูล
3) กฟผ.เป็นผู้ดูแลระบบสายส่งไฟฟ้าแรงดันสูง เมื่อ กฟผ.จะเข้ามาในกิจการพลังงานหมุนเวียนอาจจะทำให้ กฟผ.และผู้ร่วมทุนเอกชนมีความได้เปรียบเหนือเอกชนรายอื่นในการเข้าถึงระบบสายส่ง อาจเกิดความไม่เป็นธรรมได้
และ 4) นอกจากความได้เปรียบในเรื่องของสายส่งแล้ว เอกชนรายอื่น ๆ ด้านโรงไฟฟ้าชีวมวลและก๊าซชีวภาพถูกกำหนดให้ต้องแข่งขันประมูลราคา โดยที่ราคาเชื้อเพลิงมีความแตกต่างกัน และยังมีโอกาสที่ผู้ประกอบการรายเล็กจะเสียเปรียบรายใหญ่ด้านต้นทุนการเงินนั้นจะดำเนินการอย่างไร
"ผู้ประกอบการเอกชนยังมองว่าหาก กฟผ.ต้องการทำพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง ควรทำพลังงานชีวมวลในพื้นที่จังหวัดกระบี่ที่มีประเด็นต่อต้านจากภาคประชาชนในพื้นที่มากกว่า และถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงมาก และจะได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการส่งเสริมพลังงานทดแทนด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เคยมีการเสนอให้โรงไฟฟ้ากระบี่ใช้พลังงานชีวมวลที่ร้อยละ 20 เพื่อลดมลพิษและการต่อต้านเหมือนกับทางประเทศในแถบยุโรป แต่ข้อเสนอนี้ก็เงียบไป และกลับมาครีเอตสัดส่วน 2,000 เมกะวัตต์ ผลิตไฟแข่งกับเอกชน ยิ่งเพิ่มแรงเสียดทานให้ กฟผ.มากขึ้น" แหล่งข่าวกล่าว
ด้านนายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนของ กฟผ. รวม 2,000 เมกะวัตต์นั้น ยังต้องหารือร่วมกันในประเด็นอัตราค่าไฟฟ้า เนื่องจาก กฟผ.ใช้ระบบคำนวณจากผลตอบแทนการลงทุน หรือ ROIC คือ รายได้จะต้องเพียงพอเท่ากับการจ่ายคืนหนี้ด้วย ซึ่งแตกต่างจากการผลิตไฟฟ้าของเอกชน
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ.จะเป็นผู้ผลิตจะต้องไม่แพงว่าราคาที่เอกชนทำได้ โดยสัดส่วนดังกล่าว สนพ.ต้องการให้เป็นประเภท Firm แต่ไม่จำเป็นต้องเป็น Firm ทั้ง 2,000 เมกะวัตต์ และ กฟผ.ต้องเสนอค่าไฟราคาฐานสำหรับโครงการนี้ให้พิจารณาด้วย
"ตอนนี้ยังไม่มีการหารือกับ กฟผ. เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขามาเล่าแนวคิดว่า อยากจะปรับพอร์ตให้มีการลงทุนพลังงานทดแทนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่ง สนพ.มองว่า กฟผ.จะต้องเน้นผลิตพลังงานทดแทนในส่วนที่ภาคเอกชนทำไม่ได้ เช่น โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ เพราะ กฟผ.มีเขื่อนหลายแห่ง สามารถดำเนินการได้ เป็นต้น"
ในขณะที่นายชนินทร์ เชาวน์นิรัติศัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ในฐานะบริษัทลูกของ กฟผ.กล่าวว่า คงไม่เข้าไปดำเนินการในส่วนนี้ร่วมกับ กฟผ.เพราะอาจถูกโจมตีว่า กฟผ.เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทลูก แต่ในกรณีที่ใช้วิธีประมูลและแข่งขันอย่างแท้จริงมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วม
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับแผนพลังงานทดแทนของ กฟผ.รวม 2,000 เมกะวัตต์ ที่นำเสนอต่อกระทรวงพลังงานนั้น แบ่งเป็นประเภทชีวมวล 1,032.50 เมกะวัตต์ แสงอาทิตย์ 486 เมกะวัตต์ ลม 307 เมกะวัตต์ น้ำ 125.15 เมกะวัตต์ ขยะ 43 เมกะวัตต์ ก๊าซชีวภาพ 5 เมกะวัตต์ พลังงานใต้พิภพ 2 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเกิดการลงทุนรวมประมาณ 200,000 ล้านบาท กำลังผลิตที่ กฟผ.เสนอเพิ่มดังกล่าวนั้นจะเหลือกำลังผลิตเพื่อให้เปิดรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนประมาณ 10,143 เมกะวัตต์