สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 19
ไทยลีคก็เพลสเป็น ปกตินะ เขาไม่ได้งอมืองอเท้ากันหรอก ไปดูเกมส์กับบีจีดูได้ แตะบอล วิเดียวก็ถึงตัวแล้ว
กำลังเขียนบทความ เรื่องสารัชกับกลางเมืองทองพอดี เอารูปให้ดู
ปกติสเต็ปเมืองทอง ยุคโค้ชแบน
คือจะต่อบอลล่อให้พวกมาไล่ ใช้บอลเดินทางมากกว่า เล่นเอง ถ้าเสียบอล ก็บีบให้ออกริมเส้น แล้วใช้ฟูลแบ็กกับตัวรับซ้ายขวารุมสองแย่งบอล จากนั้นก็จะเริ่มต่อบอลใหม่ ถ้าเล่นเร็วไม่ได้ ก็จะเล่นเต็มพื้นที่ ไปเรื่อยๆล่อให้โซนแตก แต่ถ้าคู่ต่อสู้ใช้เพลสก็จะเปลี่ยนแกนข้ามซ้ายขวา แต่ถ้าใช้แมนทูแมน ก็จะ เล่นสามเหลี่ยมหนีเอา
ส่วนเกมส์รุกก็จะตามเกมส์ ถ้าคู่แข่งหลังลอย ก็จะเล่นเร็วทันที บอลตามช่องทันที แต่ถ้าไม่ลอย ได้ก็เอาไม่ได้ก็ไม่เอา ถ้าใครหลงกลยิ่งไปเพลสยิ่งไล่ยิ่งเปลืองกำลัง จากนั้นก็เสร็จโจร
เกมส์รับเมืองทองค่อนข้างให้ความสำคัญกับเกมส์รับก่อนถึงกองหลังมาก แต่จะไม่ใช้วิธี 1-1 ในแดนกลาง เกือบทุกครั้ง กรณีที่เหลือตัวน้อยกว่าตรงกลางจะถอยลงไปตั้งโซน แต่ล่ะเกมส์จะน้อยมากที่จะครองบอลนาน นอกจากจังหวะที่จำเป็น แม้แต่ชนาธิป ก็เหอะ
ที่พูดมาทั้งหมด คือไทยลีค แน่นอนว่าสเต็ปนี้พิสูจน์มาแล้ว ในลีคว่ามันใช้ได้
นี่เป็นช่วงจังหวะ ก่อนได้ลูกที่ 4 (เลือกเกมส์กับ บีจีเพราะมุมกล้องมันสูงเห็นไลน์วิ่งเยอะดี)
สีแดง คือไลน์วิ่ง วงกลมสีนำ้เงินคือคนที่รอคัพเวอร์ เวลาพวกสีแดงดักบอลไม่ได้
1 เจวิ่งไปกดดันนริศ บังคับให้ออกบอลทางเดียว คือทางด้านขวาของนริศ (ริมเส้น) ส่วนตรงกลางจะมีคนอื่นคอยดักไว้

2.พอแบ็กขวาได้บอล ก็จะมีแค่ทางเลือกเดียวคือ ออกไปทางแคบ ซึ่งจะมีตัวรับ (ซ้ายขวา) วงกลมน้ำเงิน คอยดักอยู่แล้ว
ฟูลแบ็ก จะดันสูงขึ้นมาด้วย สุดท้ายก็เสร็จโจร

รูปแบบเกมรูกจริงๆเมืองทอง มันจะเยอะมาก คงพูดไม่หมดแต่หลักๆ ทุกคนต้องขยับ และขยับไปเรื่อยๆ โดยที่ตำแหน่งจะไม่ตายตัว ไปอยู่ปีก ริมเส้น กองหน้า กระทั่ง CB
อันนี้จังหวะได้ลูกที่ 4
นับตั้งแต่แย่งบอลได้ มีการจ่ายบอลไป 19 ครั้ง วนไปรอบๆ ล่อให้เกมส์รับของบีจีหมุนตาม จนระเบียบของโซนแตกออก
นี่คือจังหวะได้ประตู สารัชวิ่งเข้าไปรับบอลจากชนาธิป ล่อให้แมต สมิธตามมา ส่วนเคลตัน วิ่งคัทแบ็ก ตรงโซนที่แตก

จังหวะต่อมาชนาธิปจ่ายข้ามไปให้ เคลตัน แมตสมิธ เข้ามาซ้อน เกิดช่องของโซน
นักเตะเมืองทองทุกคนขยับทันที เกิดช่องให้จ่ายบอล 3 ทางเลือกรวมถึงพลิกเล่นเองด้วย
จากรูปจะเห็นได้ว่า ทุกคนขยับก่อนบอลมาถึงเครตันด้วยซ้ำ
ขณะที่ชนาธิปจ่ายบอลเสร็จแล้ว ก็จะเป็นตัวรองบอล คอยรีบาวด์ ไม่ได้ขึ้นไป
จะเห็นได้ว่า ตำแหน่งของเมืองไม่ได้ตายตัว สารัชที่ควรจะอยู่ตำแหน่งของตัวรับ กลายเป็นยืนสูงกว่าธีรศิลป
และธีรศิลปอยู่ด้านล่างของสารัช เพื่อ แทนที่ในเกมส์รับ

อันนี้เป็นเวลาป้องกันหน้ากรอบ
สีน้ำเงินคือตัวรุก สีดำคือกองหลัง สีแดงคือตัวรับ
ถ้าคนใดคนหนึ่งขยับ อีกคนจะเข้าไปแทนที่ ทุกคนต้องเล่นตำแหน่งที่ไม่ใช่ของตัวเองได้
มุ้ยทำหน้าที่บีบให้ออกทางเดียว สีดำคือกองหลังอาโอยาม่า วิ่งไปประกบกองหน้าที่ฉีกออกริมเส้น ขณะที่โดไปประกบปีก
ตามปกติจะเกิดช่องว่างในกรอบ แต่สารัชจะวิ่งไปเป็น CB แทนที่อาโอยาม่าทันที ส่วนเจถอยลงมาแทนที่สารัช
และวัฒนา ทำหน้าที่รองบอลที่ หลุดมาจากทางนั้น

อนึ่งเมืองทองนั้นเล่นหลายแผนตามแต่ แทคติก บางครั้ง 2 แผน บางครั้ง 5 แผนในเกมส์เดียว โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวแต่อย่างใด
อาจเป็นเพราะตัวผู้เล่นชุดนี้ค่อนข้างยืดหยุ่น สามารถเล่นได้หลากหลาย นอกเหนือจากตำแหน่งประจำตัวเอง
ยกตัวอย่าง อดิศร พรมรักษ์ สามารถเล่นได้ตั้งแต่ CB ไปจนถึง แบ็กขวา ปีกขวา (จริงๆกองหน้าริมเส้น ก็เคยเล่นมาแล้ว)
แต่จะกล่าวหลักๆ ระบบที่เมืองทอง ยืนพื้นไปตามปกติ
เมืองทองนั้นวางระบบไม่เหมือนทีมใดๆในไทยลีค เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ว่าได้ ที่ใกล้เคียงที่สุด คือชลบุรี (ยุค เทิดศักดิ์ เลคที่ 2 ปี2016) แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว เมืองทองนั้นเล่นระบบ 442 แต่ที่ไม่เหมือนคือ ตามปกติหาก เล่น 442 จะวางตัวผู้เล่น ยืนเรียงเป็นหน้ากระดาน แต่เมืองทองนั้นวางตัวมิดฟิดล์ซ้อนกัน เมื่อมองจากมุมบนจะเห็นเป็นรูปกล่อง
และนี่คือระบบ 442 BOX ของเมืองทอง
อันนี้คือ ฟอร์เมชั่นพื้นฐานของเมืองทอง 442 box แบ่งเป็นตัวรุกและตัวรับ ยืนซ้อนกันเป็นรูปกล่อง ไม่มีปีกแต่ใช้วิธีปิดกลางเปิดข้าง
สีน้ำเงินคือกองหน้า
สีดำคือกองหลัง
สีแดงคือมิดฟิดล์ ที่วางเป็น รูปแบบกล่องที่เมืองทองจะรักษาไว้ตลอดเวลา

จะเล่นแบบนี้ได้ นักเตะทุกคนจะต้องวินัยดีเอามากๆ ต้องมองการเคลื่อนไหวของเพื่อนร่วมทีมตลอดเวลา ถ้ามีคนใดคนหนึ่งไม่เคลื่อนไหวตามเพื่อนร่วมทีม ระบบจะเสียไปทันที
กำลังเขียนบทความ เรื่องสารัชกับกลางเมืองทองพอดี เอารูปให้ดู
ปกติสเต็ปเมืองทอง ยุคโค้ชแบน
คือจะต่อบอลล่อให้พวกมาไล่ ใช้บอลเดินทางมากกว่า เล่นเอง ถ้าเสียบอล ก็บีบให้ออกริมเส้น แล้วใช้ฟูลแบ็กกับตัวรับซ้ายขวารุมสองแย่งบอล จากนั้นก็จะเริ่มต่อบอลใหม่ ถ้าเล่นเร็วไม่ได้ ก็จะเล่นเต็มพื้นที่ ไปเรื่อยๆล่อให้โซนแตก แต่ถ้าคู่ต่อสู้ใช้เพลสก็จะเปลี่ยนแกนข้ามซ้ายขวา แต่ถ้าใช้แมนทูแมน ก็จะ เล่นสามเหลี่ยมหนีเอา
ส่วนเกมส์รุกก็จะตามเกมส์ ถ้าคู่แข่งหลังลอย ก็จะเล่นเร็วทันที บอลตามช่องทันที แต่ถ้าไม่ลอย ได้ก็เอาไม่ได้ก็ไม่เอา ถ้าใครหลงกลยิ่งไปเพลสยิ่งไล่ยิ่งเปลืองกำลัง จากนั้นก็เสร็จโจร
เกมส์รับเมืองทองค่อนข้างให้ความสำคัญกับเกมส์รับก่อนถึงกองหลังมาก แต่จะไม่ใช้วิธี 1-1 ในแดนกลาง เกือบทุกครั้ง กรณีที่เหลือตัวน้อยกว่าตรงกลางจะถอยลงไปตั้งโซน แต่ล่ะเกมส์จะน้อยมากที่จะครองบอลนาน นอกจากจังหวะที่จำเป็น แม้แต่ชนาธิป ก็เหอะ
ที่พูดมาทั้งหมด คือไทยลีค แน่นอนว่าสเต็ปนี้พิสูจน์มาแล้ว ในลีคว่ามันใช้ได้
นี่เป็นช่วงจังหวะ ก่อนได้ลูกที่ 4 (เลือกเกมส์กับ บีจีเพราะมุมกล้องมันสูงเห็นไลน์วิ่งเยอะดี)
สีแดง คือไลน์วิ่ง วงกลมสีนำ้เงินคือคนที่รอคัพเวอร์ เวลาพวกสีแดงดักบอลไม่ได้
1 เจวิ่งไปกดดันนริศ บังคับให้ออกบอลทางเดียว คือทางด้านขวาของนริศ (ริมเส้น) ส่วนตรงกลางจะมีคนอื่นคอยดักไว้

2.พอแบ็กขวาได้บอล ก็จะมีแค่ทางเลือกเดียวคือ ออกไปทางแคบ ซึ่งจะมีตัวรับ (ซ้ายขวา) วงกลมน้ำเงิน คอยดักอยู่แล้ว
ฟูลแบ็ก จะดันสูงขึ้นมาด้วย สุดท้ายก็เสร็จโจร

รูปแบบเกมรูกจริงๆเมืองทอง มันจะเยอะมาก คงพูดไม่หมดแต่หลักๆ ทุกคนต้องขยับ และขยับไปเรื่อยๆ โดยที่ตำแหน่งจะไม่ตายตัว ไปอยู่ปีก ริมเส้น กองหน้า กระทั่ง CB
อันนี้จังหวะได้ลูกที่ 4
นับตั้งแต่แย่งบอลได้ มีการจ่ายบอลไป 19 ครั้ง วนไปรอบๆ ล่อให้เกมส์รับของบีจีหมุนตาม จนระเบียบของโซนแตกออก
นี่คือจังหวะได้ประตู สารัชวิ่งเข้าไปรับบอลจากชนาธิป ล่อให้แมต สมิธตามมา ส่วนเคลตัน วิ่งคัทแบ็ก ตรงโซนที่แตก

จังหวะต่อมาชนาธิปจ่ายข้ามไปให้ เคลตัน แมตสมิธ เข้ามาซ้อน เกิดช่องของโซน
นักเตะเมืองทองทุกคนขยับทันที เกิดช่องให้จ่ายบอล 3 ทางเลือกรวมถึงพลิกเล่นเองด้วย
จากรูปจะเห็นได้ว่า ทุกคนขยับก่อนบอลมาถึงเครตันด้วยซ้ำ
ขณะที่ชนาธิปจ่ายบอลเสร็จแล้ว ก็จะเป็นตัวรองบอล คอยรีบาวด์ ไม่ได้ขึ้นไป
จะเห็นได้ว่า ตำแหน่งของเมืองไม่ได้ตายตัว สารัชที่ควรจะอยู่ตำแหน่งของตัวรับ กลายเป็นยืนสูงกว่าธีรศิลป
และธีรศิลปอยู่ด้านล่างของสารัช เพื่อ แทนที่ในเกมส์รับ

อันนี้เป็นเวลาป้องกันหน้ากรอบ
สีน้ำเงินคือตัวรุก สีดำคือกองหลัง สีแดงคือตัวรับ
ถ้าคนใดคนหนึ่งขยับ อีกคนจะเข้าไปแทนที่ ทุกคนต้องเล่นตำแหน่งที่ไม่ใช่ของตัวเองได้
มุ้ยทำหน้าที่บีบให้ออกทางเดียว สีดำคือกองหลังอาโอยาม่า วิ่งไปประกบกองหน้าที่ฉีกออกริมเส้น ขณะที่โดไปประกบปีก
ตามปกติจะเกิดช่องว่างในกรอบ แต่สารัชจะวิ่งไปเป็น CB แทนที่อาโอยาม่าทันที ส่วนเจถอยลงมาแทนที่สารัช
และวัฒนา ทำหน้าที่รองบอลที่ หลุดมาจากทางนั้น

อนึ่งเมืองทองนั้นเล่นหลายแผนตามแต่ แทคติก บางครั้ง 2 แผน บางครั้ง 5 แผนในเกมส์เดียว โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวแต่อย่างใด
อาจเป็นเพราะตัวผู้เล่นชุดนี้ค่อนข้างยืดหยุ่น สามารถเล่นได้หลากหลาย นอกเหนือจากตำแหน่งประจำตัวเอง
ยกตัวอย่าง อดิศร พรมรักษ์ สามารถเล่นได้ตั้งแต่ CB ไปจนถึง แบ็กขวา ปีกขวา (จริงๆกองหน้าริมเส้น ก็เคยเล่นมาแล้ว)
แต่จะกล่าวหลักๆ ระบบที่เมืองทอง ยืนพื้นไปตามปกติ
เมืองทองนั้นวางระบบไม่เหมือนทีมใดๆในไทยลีค เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ว่าได้ ที่ใกล้เคียงที่สุด คือชลบุรี (ยุค เทิดศักดิ์ เลคที่ 2 ปี2016) แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว เมืองทองนั้นเล่นระบบ 442 แต่ที่ไม่เหมือนคือ ตามปกติหาก เล่น 442 จะวางตัวผู้เล่น ยืนเรียงเป็นหน้ากระดาน แต่เมืองทองนั้นวางตัวมิดฟิดล์ซ้อนกัน เมื่อมองจากมุมบนจะเห็นเป็นรูปกล่อง
และนี่คือระบบ 442 BOX ของเมืองทอง
อันนี้คือ ฟอร์เมชั่นพื้นฐานของเมืองทอง 442 box แบ่งเป็นตัวรุกและตัวรับ ยืนซ้อนกันเป็นรูปกล่อง ไม่มีปีกแต่ใช้วิธีปิดกลางเปิดข้าง
สีน้ำเงินคือกองหน้า
สีดำคือกองหลัง
สีแดงคือมิดฟิดล์ ที่วางเป็น รูปแบบกล่องที่เมืองทองจะรักษาไว้ตลอดเวลา

จะเล่นแบบนี้ได้ นักเตะทุกคนจะต้องวินัยดีเอามากๆ ต้องมองการเคลื่อนไหวของเพื่อนร่วมทีมตลอดเวลา ถ้ามีคนใดคนหนึ่งไม่เคลื่อนไหวตามเพื่อนร่วมทีม ระบบจะเสียไปทันที
แสดงความคิดเห็น
วันนี้..ไทยเราได้ค้นหาวิธีการทำลายระบบเพรสซิ่งของญี่ปุ่นเจอแล้ว!!
ผมจึงอยากขอกล่าวถึงในมุมที่ค่อนข้างจะเป็นประโยชน์ต่อทีมชาติไทยเรา เวลาเจอทีมเพรสซิ่งอย่างเกาหลี และญี่ปุ่น
ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ไทยเราแพ้ระบบเพรสซิ่ง จากชาติมหาอำนาจเอเชียทุกกระบวนท่า ทำให้เวลาเจอทีมจากญี่ปุ่น หรือเกาหลี จะต้องบีบให้ลงไปตั้งรับลึก และโดนกดจนโงหัวไม่ขึ้นอยู่เสมอ ญี่ปุ่นเป็นบอลที่โจมตีจากการครอสบอลจากทางด้านข้างเข้าไปกลางประตู (ลักษณะคล้ายๆ ลูกที่ตีเสมอเมืองทอง 1-1 นั่นแหละคือสูตรหลักอันดับหนึ่ง ในรูปแบบยอดนิยมในการเข้าทำสไตล์ญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้)
เอาล่ะ เรารู้กันดีว่าการโยนครอสบอลเข้าไปหน้าปากประตูได้บ่อยๆ ได้เรื่อยๆ มันมี % ที่นำมาสู่ประตูได้มาก ในอดีตทำไมญี่ปุ่นมีโอกาสได้โยนบอลเข้ามากลางประตูไทยได้บ่อยๆ ก็เพราะระบบเพรสซิ่งญี่ปุ่นที่ทำงานเป็นระบบ ทำให้เราเสียการครองบอลโดยง่าย เมื่อนักเตะไทยครองบอล นักเตะญี่ปุ่นก็จะเข้ามาจี้ติดประกบตัว ไล่บี้ ไล่เพรส จนทำให้นักเตะไทยเราไม่ค่อยได้มีเวลาคิด แค่จับบอลนักเตะญี่ปุ่นก็ถึงตัวแล้ว ทำให้เมื่อได้บอลก็โยนสาดทิ้ง สาดขว้างไปให้พ้นๆ ตัวไว้ก่อน ไม่ก็จ่ายเสียโดยง่ายเพราะกดดันเพราะมีนักเตะญี่ปุ่นเพรสให้คายบอล นั่นเท่ากับว่าเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นเก็บบอลกับมาบุกเราใหม่
เราจึงแพ้ระบบเพรสซิ่งมาโดยตลอด
ในยุคหลังๆ ที่ผ่านมาในการแข่งขันแบบเป็นทางการ มีเพียง บุรีรัมย์ และเมืองทองเท่านั้น ที่สามารถเอาชนะทีมจาก J ลีกได้ (ACL)
ซึ่งบุรีรัมย์ชนะระบบเพรสซิ่งของญี่ปุ่นโดยใช้บอลไดเร็ค (ซึ่งจริงๆ แล้วระบบเพรสซิ่งที่ไม่ดีพอ (ย้ำว่าไม่ดีพอ) จะแพ้ทางบอลไดเร็ค) บุรีรัมย์ตั้งเป้าจะบินให้สูงในระดับเอเชีย เพื่อที่จะชนะทีมเกาหลี และญี่ปุ่น ระยะหลังจึงหันมาเล่นบอลไดเร็ค แต่บอลไดเร็คของบุรีรัมย์ก็ทำอะไรไม่ค่อยได้กับบอลไทยลีก ที่เดินเล่น ไม่เพรสซิ่ง จึงเห็นช่วงหลังบุรีรัมย์ผลงานไม่สะแด่วเมื่อเจอทีมในไทยลีกเอง นั่นเป็นเพราะบอลไทยไม่กลัวบอลไดเร็คนั่นเอง แต่กลับกันบอลไทยมักจะแพ้ทางบอลเพรสซิ่งอย่างหมดรูป เอาแค่ทีมในไทยลีกแข่งกันเอง ทีมไหนเพรสซิ่งได้ดีกว่าทีมนั้นค่อนข้างแน่ว่าจะชนะ เพราะนักเตะไทยกลัวเพรสจริงๆ
แต่เกมส์ที่เมืองทองชนะคาชิม่า นับได้ว่าเป็นการทะลายกำแพงต้นตำหรับเพรสซิ่งของจริง ใครตั้งใจดูรูปเกมส์หรือคลิปย้อนหลัง จะสังเกตุได้เลยว่าคาชิม่าเพรสซิ่งใส่เมืองทองอย่างโหด เข้าคนซ้อนคน ยิ่งชนาธิปนี่มีตามอยู่ใกล้ๆ อย่างน้อย 2 คนตลอด หลายคนเริ่มสงสัยแล้วว่าเอ้าไหนว่านักเตะไทยกลัวเพรส แล้วทำไมทีมแชมป์เจลีกเพรสใส่เมืองทอง แต่เมืองทองไม่ยุบ และไม่ได้ลงไปรับลึกในแดนอย่างที่ทีมจากไทยทำกันเป็นประจำเมื่อเจอญี่ปุ่น
การทำลายระบบเพรสซิ่งของญี่ปุ่น โดยเมืองทอง (((โดยการใช้ความสามารถเฉพาะตัว เอาชนะแบบหนึ่งต่อหนึ่ง))) จะเห็นว่าคาชิม่าเพรสใส่ไล่บี้ แต่นักเตะเมืองทองกลับไม่สาดทิ้งหรือรีบร้อนคลายบอลอย่างทุกครั้ง แต่เลือกที่จะเลี้ยงหลบกินตัวแบบหนึ่งต่อหนึ่ง อาศัยใช้ความสามารถเฉพาะตัวเลี้ยงหลบหนีการเพรสซิ่งเอาดื้อๆ ซึ่งการเลี้ยงหลบผ่านไปได้นอกจากจะเป็นการแก้เพรสซิ่งได้แล้ว ยังเป็นการดึงตัวผู้เล่นคาชิม่าให้หลุดตำแหน่งได้อย่างดีด้วย เห็นชัดจากการพยายามเข้ามาเพรสหยุดการเลี้ยงลุยของเจ ในลูกขึ้นนำ 2-1 เมื่อเจสลัดหลุดมาได้จึงเกิดช่องว่างให้เลือกจ่ายได้ง่ายขึ้นมาก จนเป็นจังหวะต้นเหตุที่นำไปสู่การได้ประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนั่นเอง
สรุป
นักเตะไทยสามารถเอาชนะการเพรสซิ่งที่เป็นระบบได้ โดยวิธีการเลี้ยงกินตัว และใช้ความสามารถเฉพาะตัวลากหนีเพรสซิ่ง เราค้นพบการทำลายเพรสซิ่งแบบฉบับญี่ปุ่นได้แล้วนะครับ ไม่คิดว่าวิธีที่บราซิล และไอวอรี่โคสต์ ที่เลี้ยงกินตัวญี่ปุ่น เมืองทองจะใช้ได้ผลด้วยแฮะ เพราะเมื่อก่อนเราคิดว่าศักยภาพนักเตะไทยกับบราซิลมันต่างกัน คงเอาวิธีเขามาใช้ไม่ได้ แต่วันนี้เมืองทองพิสูจน์ให้เห็นแล้วนะครับ เลี้ยงกินตัวแก้เพรสได้จริง