รบกวนสอบถามทีนะคะ ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เหตุการณ์คือ พี่ชายถูกรถชนเสียชีวิตคาที่ ขณะเดินเท้าเพื่อกลับบ้าน ซึ่งไม่ไกลจากทางเข้าหมู่บ้านมากนัก
ประมาณไม่เกิน 200 เมตร ก็จะถึงบ้าน และได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ ในอีก 2 วันต่อมาได้มีการลงข่าวอ้างว่าทางพี่ชายเดินข้ามถนนตัดหน้ารถทำให้ไม่สามารถเบรคได้ทัน
ทั้งนี้จากสภาพที่เกิดเหตุเป็นบริเวณตลาด พี่ชายหรือคนทั่วไปที่อาศัยบริเวณนั้นก็จะต้องเดินเลาะสะพานปูน
เพื่อกลับมายังหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกันตลาด แต่มีคลองเล็กๆ คั่นกลาง ทางเดินกลับไปอีกฝั่งจึงเป็นเพียงไหล่ทางของสะพานปูน
เท่านั้น โดยเป็นการเดินเลาะไหล่ทางสะพานปูน(ไม่มีฟุตบาท) มาเรื่อยๆ มิใช่การเดินข้ามถนนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ในวันเกิดเหตุ เนื่องจากมีตลาดนัด ทำให้มีคนจอดรถบริเวณไหล่ทางบนสะพานปูน ซึ่งจอดกันเป็นปกติ
ทำให้เวลาเดินต้องเดินลัดเลาะด้านนอกของรถที่จอด เพราะรถจอดติดขอบสะพานไปแล้ว
และเป็นเหตุให้รถฟอร์จูนเนอร์ ซึ่งขับแซงมาทางไหล่ทาง เฉี่ยวชน กระเด็นไปประมาณ 10 เมตร
จนเป็นเหตุให้พี่ชายเราคอหักและส่วนอื่นๆ หัก ส่งผลให้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที
ทั้งนี้คู่กรณีได้รับสารภาพกับทางตำรวจและครอบครัวเราว่า ได้ขับรถชนจริง เนื่องจากมองไม่เห็น เพราะบริเวณนั้นมืด
ทางตำรวจจึงตั้งข้อหา ขับรถโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต โดยได้ลงบันทึกประจำวันและแจ้งข้อกล่าวหาไว้เป็นที่เรียบร้อย
แต่ทั้งนี้เนื่องจากรถฟอร์จูนเน่อร์ ของคุ่กรณีไม่มีประกันภาคสมัครใจ(ทั้งที่เป็นรถใหม่เพิ่งออกมาได้เพียง 1 ปี)
ทางครอบครัวจึงจะได้รับเงินชดเชยการเสียชีวิตจาก ประกันภาคบังคับ(พรบ.) เท่านั้น คาดว่าเป็นจำนวนเงิน 300,000 บาท
ซึ่งปัจจุบัน ประมาณ 1 เดือนจากวันเกิดเหตุ ยังไม่ได้รับเงินจำนวนนี้แต่อย่างใด
และครอบครัวเรา ได้เรียกร้องให้ทางคู่กรณีเยียวยาและชดเชยค่าสินไหมจากการเสียชีวิตของพี่ชายไปเป็นจำนวนเงิน 700,000 บาท
ไม่รวมกับเงินชดเชยจาก พรบ. โดยก่อนหน้านี้ ทางคู่กรณีได้เข้ามาขอโทษและไปร่วมงานฌาปนกิจโดยส่งตัวแทนไป
และไปเองในวันเผา พร้อมทั้งให้เงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจ 25,000 บาท
หลังจากนั้น ได้มีการนัดเจรจาเพื่อประนีประนอม โดยทางคู่กรณีไม่มา และได้ให้ตัวแทนมาเจรจา ว่าให้ได้ประมาณ 200,000 บาท
โดยทางตัวแทนได้แจ้งว่า คู่กรณีไม่มีเงินให้ ซึ่งทางครอบครัวเราไม่สามารถรับได้กับเงินตรงนั้น
พี่ชายอายุ 44 ปี เป็นคนดูแลพ่อ อายุ 70 ปี ซึ่งป่วยเป็น พาร์คินสัน และช่วยแม่เวลาต้องไปขายกับข้าวในตอนเช้า
แล้วพี่ชายจะไปทำงาน รปภ.ในตอนมืด โชคดีที่ไม่มีบุตรหรือภรรยา และเป็นคนรับภาระผ่อนบ้านหลังปัจจุบัน
ทางครอบครัวเราจึงได้แจ้งกับตำรวจว่า ขอให้สรุปสำนวนส่งฟ้องไปเลยดีกว่า เนื่องจากไม่ต้องการเงินชดเชยแล้ว
คู่กรณีไม่ยอมมาเจอ นัดจะคุยก็ไม่มาคุย และมันเทียบไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
ต้องการให้เรื่องจบไวๆ เพราะพ่อแม่ก็ต้องมานั่งร้องไห้ทุกครั้งที่มีคนถามเรื่องคดีพี่ชายเรา และอยากให้คนผิดได้รับการลงโทษ
ครอบครัวเราต้องสูญเสียลูกชายของพ่อและแม่ไป เราและน้องต้องสูญเสียพี่ชาย ไป แต่คู่กรณีจะไม่สูญเสียอะไรเลย
อ้างแค่ไม่มีเงิน ทุกอย่างก็คือจบ? ?
ทั้งนี้ทราบมาว่า รถยนต์ของคู่กรณีก็สามารถนำกลับไปขับได้ปกติ ไม่ได้ติดอยู่ที่โรงพักแต่อย่างด
หรือหากไปชนคนอื่นอีก ก็คิดว่าคงให้ทาง พรบ.จ่าย และแจ้งว่าไม่มีเงินให้อีกเหมือนเดิม
ทางคู่กรณีเคยแจ้งว่าจะติดต่อกลับมาเพื่อเจรจา แต่ก็เงียบไปเหมือนเคย สอบถามไปทางตำรวจเจ้าของคดีหลายครั้ง
ก็บอกว่าจะนัดให้ นัดให้ จนล่าสุดตำรวจแจ้งว่าไม่สามารถเรียกทางคู่กรณีมาคุยได้ และเหมือนคู่กรณีจะอิดออดไม่พูดเรื่องเงิน
จึงอยากให้ทางครอบครัวเรา เข้าไปเจรจากับทางหัวหน้าของตำรวจเจ้าของคดีเพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรต่อไป
หากเราเขียนไม่เข้าใจ ตกหล่น ตรงไหน ต้องขอโทษด้วยนะคะ ด้วยอารมณ์โมโห และหงุดหงิด อาจจะรีบไปหน่อย
รถชนพี่ชายเสียชีวิต จะดำเนินการยังไงต่อดี
เหตุการณ์คือ พี่ชายถูกรถชนเสียชีวิตคาที่ ขณะเดินเท้าเพื่อกลับบ้าน ซึ่งไม่ไกลจากทางเข้าหมู่บ้านมากนัก
ประมาณไม่เกิน 200 เมตร ก็จะถึงบ้าน และได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ ในอีก 2 วันต่อมาได้มีการลงข่าวอ้างว่าทางพี่ชายเดินข้ามถนนตัดหน้ารถทำให้ไม่สามารถเบรคได้ทัน
ทั้งนี้จากสภาพที่เกิดเหตุเป็นบริเวณตลาด พี่ชายหรือคนทั่วไปที่อาศัยบริเวณนั้นก็จะต้องเดินเลาะสะพานปูน
เพื่อกลับมายังหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกันตลาด แต่มีคลองเล็กๆ คั่นกลาง ทางเดินกลับไปอีกฝั่งจึงเป็นเพียงไหล่ทางของสะพานปูน
เท่านั้น โดยเป็นการเดินเลาะไหล่ทางสะพานปูน(ไม่มีฟุตบาท) มาเรื่อยๆ มิใช่การเดินข้ามถนนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ในวันเกิดเหตุ เนื่องจากมีตลาดนัด ทำให้มีคนจอดรถบริเวณไหล่ทางบนสะพานปูน ซึ่งจอดกันเป็นปกติ
ทำให้เวลาเดินต้องเดินลัดเลาะด้านนอกของรถที่จอด เพราะรถจอดติดขอบสะพานไปแล้ว
และเป็นเหตุให้รถฟอร์จูนเนอร์ ซึ่งขับแซงมาทางไหล่ทาง เฉี่ยวชน กระเด็นไปประมาณ 10 เมตร
จนเป็นเหตุให้พี่ชายเราคอหักและส่วนอื่นๆ หัก ส่งผลให้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที
ทั้งนี้คู่กรณีได้รับสารภาพกับทางตำรวจและครอบครัวเราว่า ได้ขับรถชนจริง เนื่องจากมองไม่เห็น เพราะบริเวณนั้นมืด
ทางตำรวจจึงตั้งข้อหา ขับรถโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต โดยได้ลงบันทึกประจำวันและแจ้งข้อกล่าวหาไว้เป็นที่เรียบร้อย
แต่ทั้งนี้เนื่องจากรถฟอร์จูนเน่อร์ ของคุ่กรณีไม่มีประกันภาคสมัครใจ(ทั้งที่เป็นรถใหม่เพิ่งออกมาได้เพียง 1 ปี)
ทางครอบครัวจึงจะได้รับเงินชดเชยการเสียชีวิตจาก ประกันภาคบังคับ(พรบ.) เท่านั้น คาดว่าเป็นจำนวนเงิน 300,000 บาท
ซึ่งปัจจุบัน ประมาณ 1 เดือนจากวันเกิดเหตุ ยังไม่ได้รับเงินจำนวนนี้แต่อย่างใด
และครอบครัวเรา ได้เรียกร้องให้ทางคู่กรณีเยียวยาและชดเชยค่าสินไหมจากการเสียชีวิตของพี่ชายไปเป็นจำนวนเงิน 700,000 บาท
ไม่รวมกับเงินชดเชยจาก พรบ. โดยก่อนหน้านี้ ทางคู่กรณีได้เข้ามาขอโทษและไปร่วมงานฌาปนกิจโดยส่งตัวแทนไป
และไปเองในวันเผา พร้อมทั้งให้เงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจ 25,000 บาท
หลังจากนั้น ได้มีการนัดเจรจาเพื่อประนีประนอม โดยทางคู่กรณีไม่มา และได้ให้ตัวแทนมาเจรจา ว่าให้ได้ประมาณ 200,000 บาท
โดยทางตัวแทนได้แจ้งว่า คู่กรณีไม่มีเงินให้ ซึ่งทางครอบครัวเราไม่สามารถรับได้กับเงินตรงนั้น
พี่ชายอายุ 44 ปี เป็นคนดูแลพ่อ อายุ 70 ปี ซึ่งป่วยเป็น พาร์คินสัน และช่วยแม่เวลาต้องไปขายกับข้าวในตอนเช้า
แล้วพี่ชายจะไปทำงาน รปภ.ในตอนมืด โชคดีที่ไม่มีบุตรหรือภรรยา และเป็นคนรับภาระผ่อนบ้านหลังปัจจุบัน
ทางครอบครัวเราจึงได้แจ้งกับตำรวจว่า ขอให้สรุปสำนวนส่งฟ้องไปเลยดีกว่า เนื่องจากไม่ต้องการเงินชดเชยแล้ว
คู่กรณีไม่ยอมมาเจอ นัดจะคุยก็ไม่มาคุย และมันเทียบไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
ต้องการให้เรื่องจบไวๆ เพราะพ่อแม่ก็ต้องมานั่งร้องไห้ทุกครั้งที่มีคนถามเรื่องคดีพี่ชายเรา และอยากให้คนผิดได้รับการลงโทษ
ครอบครัวเราต้องสูญเสียลูกชายของพ่อและแม่ไป เราและน้องต้องสูญเสียพี่ชาย ไป แต่คู่กรณีจะไม่สูญเสียอะไรเลย
อ้างแค่ไม่มีเงิน ทุกอย่างก็คือจบ? ?
ทั้งนี้ทราบมาว่า รถยนต์ของคู่กรณีก็สามารถนำกลับไปขับได้ปกติ ไม่ได้ติดอยู่ที่โรงพักแต่อย่างด
หรือหากไปชนคนอื่นอีก ก็คิดว่าคงให้ทาง พรบ.จ่าย และแจ้งว่าไม่มีเงินให้อีกเหมือนเดิม
ทางคู่กรณีเคยแจ้งว่าจะติดต่อกลับมาเพื่อเจรจา แต่ก็เงียบไปเหมือนเคย สอบถามไปทางตำรวจเจ้าของคดีหลายครั้ง
ก็บอกว่าจะนัดให้ นัดให้ จนล่าสุดตำรวจแจ้งว่าไม่สามารถเรียกทางคู่กรณีมาคุยได้ และเหมือนคู่กรณีจะอิดออดไม่พูดเรื่องเงิน
จึงอยากให้ทางครอบครัวเรา เข้าไปเจรจากับทางหัวหน้าของตำรวจเจ้าของคดีเพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรต่อไป
หากเราเขียนไม่เข้าใจ ตกหล่น ตรงไหน ต้องขอโทษด้วยนะคะ ด้วยอารมณ์โมโห และหงุดหงิด อาจจะรีบไปหน่อย