อุทธรณ์ลดโทษ จำคุก1ปี“คุณหญิงเป็ด อดีตผู้ว่าฯสตง.-อดีตผอ.สตง.”คดีสัมมนาพ่วงกฐิน ไม่รอลงอาญา

จริงๆมันต้องโดนหนักกว่าชาวบ้าน
ตำแหน่งผู้ว่าฯสตง กลับผิดทำเสียเอง
ดีว่าคล้องนกหวีด ไม่งั้นหนักกว่านี้

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนายคัมภีร์ สมใจ อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารงานและทรัพยากรบุคคล สตง. ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีจัดสัมมนา ที่ จ.น่าน วันที่ 31 ตุลาคม 2546 ทั้งๆที่ไม่ได้มีการสัมมนากันจริง แต่จัดสัมมนาเพื่อให้ข้าราชการที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนานั้นไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทานที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน แล้วให้เบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในงบฯเดียวกัน294,440บาท ทำให้ สตง.เสียหาย ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดคุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์

โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 157 ให้จำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ จากนั้นคุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 200,000 บาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี

ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว ประเด็นที่คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์สู้ประเด็นการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า หลังจากคณะอนุกรรมการไต่สวน รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับข้อกล่าวหาและพิจารณาว่ามีมูลแล้ว คณะอนุกรรมการฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยที่ 1 ทราบ และแจ้งด้วยว่า ในการแก้ข้อกล่าวหาจำเลยอาจทำเป็นหนังสือหรือชี้แจงด้วยวาจาก็ได้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อรับทราบข้อกล่าวหา

ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ประธานอนุกรรมการฯ ลงลายมือชื่อในคำสั่งเรียกพยานไว้ล่วงหน้านั้นเพื่อให้อนุกรรมการฯใช้ดุลพินิจไประบุชื่อพยานในภายหลัง โดยไม่ปรากฏว่ามีการมอบหมายจากคณะอนุกรรมการฯนั้น เห็นว่าอำนาจนั้นเป็นการใช้อำนาจที่จำเป็นต้องทำหนังสือหรือคำสั่ง เพื่อดำเนินการตามแนวทางการไต่สวน จะต้องลงนามโดยประธานอนุกรรมการฯจะต้องลงนามตามระเบียบ ป.ป.ช. ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการไต่สวน พ.ศ.2547 ข้อ 8 วรรคสอง แม้โจทก์จะไม่มีรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการฯที่เป็นพยานเอกสารมาแสดงสนับสนุนแต่ก็ไม่ได้เป็นข้อพิรุธที่บ่งชี้ว่าไม่มีการมอบหมายหรือกำหนดแนวทางการไต่สวนของอนุกรรมการฯ ดังนั้นการไต่สวนของคณะอนุกรรมการฯ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายกับผู้หนึ่งผู้ใด ตาม มาตรา 157 ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า หลังจากคณะทำงานด้านการจัดสัมมนาที่มี นายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าเห็นว่าการจัดโครงการสัมมนาที่จ.น่านในช่วงเวลาเดียวกับการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานจะเป็นประโยชน์ตามหลักการทำงานเชิงบูรณาการ แล้วต่อมาจำเลยที่ 2 มีบันทึกจัดโครงการสัมมนาเสนอให้คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 พิจารณาอนุมัติ ซึ่งกำหนดสัมมนาดังกล่าวนั้นตรงกับวันถวายผ้าพระกฐิน ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม- 1 พฤศจิกายน 2546 การที่จะเข้าร่วมสัมมนาที่จัดขึ้นในวันเวลาเดียวกัน แต่ต่างสถานที่กันจึงเป็นเรื่องผิดสังเกต และหลังจากที่โครงการสัมมนาได้รับการอนุมัติไม่นานมีรายงานว่ามีจำนวนข้าราชการที่สมัครใจไปร่วมพิธีทอดกฐินซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเองนั้นมีจำนวนลดลง ทั้งที่การตรวจสอบจำนวนข้าราชการนั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว ตั้งแต่สิ้นเดือนกันยายน 2546 โดยเมื่อทราบจำนวนข้าราชการที่สมัครใจไปร่วมพิธีแล้ว จำเลยทั้งสองกับผู้บริหาร สตง.ก็ดำเนินการให้ข้าราชการในโครงการสัมมนาทั้งหมดไปร่วมการถวายผ้าพระกฐินทันทีพร้อมกับปรับเปลี่ยน ลดระยะเวลาสัมมนาโดยไม่ปรากฏว่าเป็นประโยชน์ตามหลักการทำงานเชิงบูรณาการแต่อย่างใด
http://www.matichon.co.th/news/480167
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่