คำว่า “กรวด” ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายคือการหลั่งน้ำ คำนี้แผลงมาจากคำว่า “จฺรวจ” ซึ่งเป็นภาษาเขมร ฉะนั้น กรวดน้ำ คือการแผ่ส่วนบุญด้วยวิธีหลั่งน้ำ
การหลั่งน้ำหรือกรวดน้ำนี้ ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาสามารถอุทิศบุญได้จริงหรือ?
ที่จริงประวัติการกรวดน้ำ มีมายาวนานมาก ดังปรากฏในพุทธประวติตอนที่พระพุทธองค์เผชิญเหล่ามารเข้ามาขัดขวางการบรรลุธรรม ดังนี้
“ย้อนหลังตามพุทธประวัติ เมื่อพระองค์ผจญมารกับพวกอีกห้าร้อยตนได้เดินทางมาที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พระพุทธองค์ประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์แก้ว พญามาร ได้กล่าวกับพระพุทธองค์เกี่ยวกับเรื่องสถานที่นั้น ในลักษณะหาเรื่องว่า
“ไอ้โล้นเอ๋ยจงฟังข้า ที่ตรงนั้นเป็นของข้า เจ้าจงลุกออกไปเสียโดยเร็ว”
พระพุทธองค์ทางสงบสำรวมในวิหารธรรมของพระ หาได้สนใจไม่ กระทั่งพญามารกล่าวอยู่อย่างนั้นสามครั้ง พระพุทธองค์จึงได้ตรัสกลับไปด้วยความสงบว่า
“ดูก่อนพญามาร ที่ตรงนี้เป็นของตถาคตมิใช่ของผู้ใด”
“ที่ตรงนั้นเป็นของเรา พวกของเราทั้งห้าร้อยตนนี้สามารถเป็นพยาน”
“ไอ้โล้นเอย จงฟังข้า เจ้ามีพยานหลักฐานใดกันหนอที่กล่าวว่าที่ตรงนี้เป็นของเจ้า”
พระพุทธองค์อยู่ในอิริยาบถสมาธิวิหารธรรมอันสงบ ค่อยๆขยับพระหัตถ์ขวาออกจากหน้าตัก คว่ำมือ แล้วมาพาดลงตรงที่เข่า ปลายนิ้วจรดแผ่นดินแล้วตรัสว่า
“ที่แห่งนี้เป็นของตถาคตด้วยอำนาจแห่งบารมีที่บำเพ็ญ
มาทุกภพ ทุกชาติที่เป็นบารมี อุปปารมี และปรมัตถบารมี บารมีทั้งสามสิบทัศ ขอแม่ธรณีจงขึ้นมาเป็นพยานแก่ตถาคต”
จากนั้นแผ่นดินเลื่อนลั่น แม่ธรณีได้ผุดโผล่มาจากพื้นดิน ถวายบังคมนมัสการพระพุทธองค์แล้วจึงกล่าวกับพญามารและพวกว่า
“เจ้ามารร้าย จงฟังข้า…ที่ตรงนี้เป็นของตถาคตผู้ตรัสธรรมหมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด พระองค์บำเพ็ญบารมีจนเต็มทุกภพทุกชาติ ทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญมหากุศล ทรงหลั่งน้ำลงบนแผ่นดิน(กรวดน้ำ)
ซึ่งเราธรณีเรารู้..และรับทราบมา..โดยตลอดทุกครั้งไป
น้ำแห่งมหากุศลที่พระองค์ทรงหลั่งลงพื้นดินนี้มีมากมหาศาลนับสุดจะพรรณนา”
“มากขนาดนั้นเชียว …โธ่ข้าไม่เชื่อดอก”
“หากเจ้าไม่เชื่อ เราจะขยับจับผมมวยของเรา บีบคั้นมัดเป็นเกลียวแล้วเจ้าจะรู้เองว่าน้ำที่พระองค์ทรงหลั่งลงพื้นธรณี
นั้นมากเพียงไหนที่อยู่บนผมของเรา”
จากนั้นพระแม่ธรณีได้แก้มวยผมที่รัดเกล้านั้นออกปล่อยสยายแล้วรวบบีบมวยบิดไปมา น้ำจากผมของแม่ธรณีไหลออกมาอย่างรวดเร็วมากถึงกับเป็นมหาสมุทรท่วมล้น ทำเอาพญามารและพวกต้องลอยคออยู่ในห้วงมหาสมุทรนั้นอยู่นาน
ก่อนที่จะอาศัยฤทธิ์เหาะหนีไป ปล่อยให้พวกรับกรรม ส่วนพระพุทธองค์ทรงลอยอยู่เหนือศรีษะของแม่ธรณี
เมื่อพญามารหนีไปแล้ว ….
แม่ธรณีกราบบังคมทูลลาแล้วกลับสู่ผืนแผ่นดินพร้อมสูบพวกเสนาพญามารนั้นไปทั้งหมดด้วย”
การกรวดน้ำ คือ การตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่เราได้ทำไว้แล้วไปให้แก่ผู้ที่ล่วงลับแล้ว หรือ เจ้ากรรมนายเวรที่เราเคยมีกรรมร่วมสร้างกันมา ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม เมื่อเรา พร้อมที่รินน้ำไหลลงไปที่พื้นดินหรือที่รองรับ แล้วเอาไปเทที่พื้นดินอีกต่อหนึ่ง หรือรดที่โคนต้นไม้ก็ได้ เหตุที่ทำเช่นนี้
เพราะพื้นดินหรือแผ่นดิน คือพระแม่ธรณี ที่ท่านจะได้รับทราบ วัตถุประสงค์ว่าเราจะปล่อยบุญไปให้ใครบ้าง
1. การกรวดน้ำ มี 2 วิธี คือ
•ใช้น้ำเป็นสื่อ รินน้ำลงไปพร้อมกับอุทิศผลบุญกุศลไปด้วย
•ไม่ใช้น้ำ ใช้แต่สิบนิ้วพนม อธิษฐาน แล้วอุทิศผลบุญกุศลไปให้
2. การอุทิศผลบุญ มี 2 วิธี คือ
•อุทิศเจาะจง ได้แก่ การออกชื่อผู้ที่เราจะให้ท่านรับ เช่น พ่อ…แม่…ลูก…หรือใครก็ได้
•อุทิศไม่เจาะจง ได้แก่ การกล่าวรวมๆ กันไป เช่น ญาติทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น
ทางที่ถูก ควรทำทั้งสองวิธี คือ ผู้ที่มีคุณหรือมีเวรต่อกันมาก เราก็ควรอุทิศเจาะจงที่เหลือก็อุทิศรวมๆ
3. น้ำกรวด ควรเป็นน้ำที่สะอาด ไม่มีสีและกลิ่น และเมื่อกรวดก็ควรรินลงในที่สะอาดหรือไปเทในที่สะอาด อย่ารินลงในกระโถนหรือที่สกปรก
4. น้ำเป็นสื่อ-ดินเป็นพยาน หรือพระแม่ธรณีได้รับรู้
การกรวดน้ำ มิใช่จะอุทิศไปให้ผู้ตายกินน้ำ แต่ใช้น้ำเป็นสื่อและใช้แผ่นดินเป็นพยานให้รับรู้ในการอุทิศส่วนบุญ
5.ควรกรวดน้ำตอนไหน ควรกรวดน้ำทันทีในขณะที่พระอนุโมทนา แต่ถ้าไม่สะดวกจะทำตอนหลังก็ได้ แต่ทำในขณะนั้นดีกว่า เพราะเหตุผล 2 ประการ คือ
•ถ้ามีเปรตญาติมารอรับส่วนบุญ ท่านก็ยอมได้รับในทันที
•การรอไปกรวดที่บ้าน หรือกรวดภายหลังบางครั้งก็อาจลืมไปผู้ที่เขาตั้งใจรับก็อด ผู้ที่เราตั้งใจจะให้ก็ชวดไปด้วย
6. ควรรินน้ำตอนไหน ควรเริ่มรินน้ำพร้อมกับตั้งใจอุทิศในขณะที่พระผู้นำสวดว่า “ยะถา วาริวะหาปูรา…” และรินให้หมดในเมื่อพระว่ามาถึง “มะณิโชติระโส ยะถา…” พอพระทั้งหมดรับพร้อมว่า “สัพพีติโย วิวัชชันตุ” เราก็พนมมือรับพรท่านไปจนจบ จึงจะถือว่าถูกต้อง
7. ถ้ายังว่าบทกรวดน้ำไม่เสร็จ จะทำอย่างไร ก็ควรใช้บทกรวดน้ำที่สั้นๆ หรือใช้บทกรวดน้ำย่อก็ได้ เช่น
“อิทัง โน ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย” ขออุทิศส่วนบุญนี้สำเร็จแก่(ออกชื่อผู้ล่วงลับ) และญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด”
หรือใช้ภาษาไทยอย่างเดียว ก็ได้ว่า
“ขออุทิศส่วนบุญกุศล ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ยแล้วนี้จงสำเร็จแก่ พ่อ แม่ ญาติ ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงได้รับส่วนบุญกุศลครั้งนี้โดยเร็วพลัน และโดยทั่วถึงกันเทอญ”
ส่วนบทยาวๆ เราควรเอาไว้กรวดส่วนตัว หรือกรวดน้ำในขณะทำวัตรสวดมนต์รวมกันก็ได้
ข้อสำคัญ ถ้าเป็นภาษาพระ ควรจะรู้คำแปล หรือความหมายด้วย ถ้าไม่รู้ความหมายก็ควรใช้คำไทยอย่างเดียวดีกว่า เพราะป้องกันความโง่งมงายได้
8. อย่าทำน้ำสกปรก ด้วยการเอานิ้วไปรองไว้ ควรรินน้ำไหลเป็นสายไม่ขาดระยะ และไม่ควรใช้วิธีเกาะตัวกันเป็นกลุ่ม หรือเป็นทางเหมือนเล่นงูกินหาง ถ้าเป็นงานพิธีต่างๆ ให้เจ้าภาพหรือประธาน รินน้ำกรวดเพียงคนเดียว หรือคู่เดียวก็พอ คนนอกนั้นก็พนมมือตั้งใจอุทิศไปให้
9. การทำบุญและอุทิศส่วนบุญ ควรสำรวมจิตใจ อย่าให้จิตฟุ้งซ่าน ปลูกศรัทธา ความเชื่อ และความเลื่อมใสมั่นคงในจิตใจ ผลของบุญและการอุทิศส่วนบุญ ย่อมมีอานิสงส์มาก
10 .บุญเป็นของกายสิทธิ์ ยิ่งให้ยิ่งมาก ยิ่งตะหนี่ยิ่งน้อย ยิ่งอุทิศให้คนอื่นหมดเลย เราก็ยิ่งจะได้บุญหมดเลย
บทกรวดน้ำแบบยาว หรือ บทกรวดน้ำอิมินา
ตั้งนะโม 3 จบ
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา
ด้วยบุญนี้ อุททิศให้ อุปัชฌาย์ ผู้เลิศคุณ
อาจะริยูปะการาจะ มาตาปิตา จะ ญาตะกา
และอาจารย์ ผู้เกื้อหนุน ทั้งพ่อแม่ และปวงญาติ
ปิยา มะมัง สุริโย จันทิมา ราชา คุณะวันตา นะราปิ จะ
สูรย์จันทร์ และราชา ผู้ทรงคุณหรือสูงชาติ
พรัหมะมารา จะ อินทา จะ โลกะปาลา จะ เทวะตา
พรหม มาร และอินทราช ทั้งทวยเทพ และโลกบาล
ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ
ยมราช มนุษย์มิตร ผู้เป็นกลาง ผู้จองผลาญ
สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ ปุญญานิ ปะกะตานิ เม
ขอให้สุขศานติ์ทุกทั่วหน้า อย่าทุกข์ทน บุญผองที่ข้าทำจงอำนวยศุภผล
สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ ขิปปัง ปาเปถะ โว มะตัง
ให้สุขสามอย่างล้น ให้ลุถึงนิพพานพลัน
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อิมินา อุททิเสนะ จะ
ด้วยบุญนี้ที่เราทำ และอุทิศให้ปวงสัตว์
ขิปปังหัง สุละเภ เจวะ ตัณหุปาทานะเฉทะนัง
เราพลันได้ ซึ่งการตัด ตัวตัณหา อุปาทาน
เย สันตาเน หินา ธัมมา ยาวะ นิพพานะโต มะมัง
สิ่งชั่วในดวงใจ กว่าเราจะถึงนิพพาน
นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว
มลายสิ้นจากสันดาน ทุก ๆ ภพ ที่เราเกิด
อุชุจิตตัง สะติปัญญา สัลเลโข วิริยัมหินา
มีจิตตรง และสติปัญญาอันประเสริฐ พร้อมทั้งความเพียรเลิศเป็นเครื่องขูดกิเลสหาย
มารา ละภันตะ โนกาสัง กาตุญจะ วิริเยสุ เม
โอกาส อย่าพึงมี แก่หมูมารทั้งสิ้นทั้งหลาย เป็นช่อง ประทุษร้ายทำลายล้างความเพียรจม
พุทธาทิปะวะโร นาโถธัมโม นาโถ วะรุตตะโม
พระพุทธผู้วรนาถ พระธรรมที่พึ่งอุดม
นาโถ ปัจเจกะพุทโธ จะ สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง
พระปัจเจกะพุทะสมทบ พระสงฆ์ ที่ผึ่งพยอง
เตโสตตะมานุภาเวนะ มาโรกาสัง ละภันตุ มา
ด้วยอานุภาพนั้น อย่าเปิดโอกาสให้แก่มาร ( เทอญ )
บทกรวดน้ำแบบสั้น
อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
ขอบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าเถิด ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุข สุขใจเถิดฯ
บทกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร
ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้าด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://kuakiddeedee.wordpress.com/2013/06/18/water/
การกรวดน้ำ
การหลั่งน้ำหรือกรวดน้ำนี้ ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาสามารถอุทิศบุญได้จริงหรือ?
ที่จริงประวัติการกรวดน้ำ มีมายาวนานมาก ดังปรากฏในพุทธประวติตอนที่พระพุทธองค์เผชิญเหล่ามารเข้ามาขัดขวางการบรรลุธรรม ดังนี้
“ย้อนหลังตามพุทธประวัติ เมื่อพระองค์ผจญมารกับพวกอีกห้าร้อยตนได้เดินทางมาที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พระพุทธองค์ประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์แก้ว พญามาร ได้กล่าวกับพระพุทธองค์เกี่ยวกับเรื่องสถานที่นั้น ในลักษณะหาเรื่องว่า
“ไอ้โล้นเอ๋ยจงฟังข้า ที่ตรงนั้นเป็นของข้า เจ้าจงลุกออกไปเสียโดยเร็ว”
พระพุทธองค์ทางสงบสำรวมในวิหารธรรมของพระ หาได้สนใจไม่ กระทั่งพญามารกล่าวอยู่อย่างนั้นสามครั้ง พระพุทธองค์จึงได้ตรัสกลับไปด้วยความสงบว่า
“ดูก่อนพญามาร ที่ตรงนี้เป็นของตถาคตมิใช่ของผู้ใด”
“ที่ตรงนั้นเป็นของเรา พวกของเราทั้งห้าร้อยตนนี้สามารถเป็นพยาน”
“ไอ้โล้นเอย จงฟังข้า เจ้ามีพยานหลักฐานใดกันหนอที่กล่าวว่าที่ตรงนี้เป็นของเจ้า”
พระพุทธองค์อยู่ในอิริยาบถสมาธิวิหารธรรมอันสงบ ค่อยๆขยับพระหัตถ์ขวาออกจากหน้าตัก คว่ำมือ แล้วมาพาดลงตรงที่เข่า ปลายนิ้วจรดแผ่นดินแล้วตรัสว่า
“ที่แห่งนี้เป็นของตถาคตด้วยอำนาจแห่งบารมีที่บำเพ็ญ
มาทุกภพ ทุกชาติที่เป็นบารมี อุปปารมี และปรมัตถบารมี บารมีทั้งสามสิบทัศ ขอแม่ธรณีจงขึ้นมาเป็นพยานแก่ตถาคต”
จากนั้นแผ่นดินเลื่อนลั่น แม่ธรณีได้ผุดโผล่มาจากพื้นดิน ถวายบังคมนมัสการพระพุทธองค์แล้วจึงกล่าวกับพญามารและพวกว่า
“เจ้ามารร้าย จงฟังข้า…ที่ตรงนี้เป็นของตถาคตผู้ตรัสธรรมหมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด พระองค์บำเพ็ญบารมีจนเต็มทุกภพทุกชาติ ทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญมหากุศล ทรงหลั่งน้ำลงบนแผ่นดิน(กรวดน้ำ)
ซึ่งเราธรณีเรารู้..และรับทราบมา..โดยตลอดทุกครั้งไป
น้ำแห่งมหากุศลที่พระองค์ทรงหลั่งลงพื้นดินนี้มีมากมหาศาลนับสุดจะพรรณนา”
“มากขนาดนั้นเชียว …โธ่ข้าไม่เชื่อดอก”
“หากเจ้าไม่เชื่อ เราจะขยับจับผมมวยของเรา บีบคั้นมัดเป็นเกลียวแล้วเจ้าจะรู้เองว่าน้ำที่พระองค์ทรงหลั่งลงพื้นธรณี
นั้นมากเพียงไหนที่อยู่บนผมของเรา”
จากนั้นพระแม่ธรณีได้แก้มวยผมที่รัดเกล้านั้นออกปล่อยสยายแล้วรวบบีบมวยบิดไปมา น้ำจากผมของแม่ธรณีไหลออกมาอย่างรวดเร็วมากถึงกับเป็นมหาสมุทรท่วมล้น ทำเอาพญามารและพวกต้องลอยคออยู่ในห้วงมหาสมุทรนั้นอยู่นาน
ก่อนที่จะอาศัยฤทธิ์เหาะหนีไป ปล่อยให้พวกรับกรรม ส่วนพระพุทธองค์ทรงลอยอยู่เหนือศรีษะของแม่ธรณี
เมื่อพญามารหนีไปแล้ว ….
แม่ธรณีกราบบังคมทูลลาแล้วกลับสู่ผืนแผ่นดินพร้อมสูบพวกเสนาพญามารนั้นไปทั้งหมดด้วย”
การกรวดน้ำ คือ การตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่เราได้ทำไว้แล้วไปให้แก่ผู้ที่ล่วงลับแล้ว หรือ เจ้ากรรมนายเวรที่เราเคยมีกรรมร่วมสร้างกันมา ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม เมื่อเรา พร้อมที่รินน้ำไหลลงไปที่พื้นดินหรือที่รองรับ แล้วเอาไปเทที่พื้นดินอีกต่อหนึ่ง หรือรดที่โคนต้นไม้ก็ได้ เหตุที่ทำเช่นนี้
เพราะพื้นดินหรือแผ่นดิน คือพระแม่ธรณี ที่ท่านจะได้รับทราบ วัตถุประสงค์ว่าเราจะปล่อยบุญไปให้ใครบ้าง
1. การกรวดน้ำ มี 2 วิธี คือ
•ใช้น้ำเป็นสื่อ รินน้ำลงไปพร้อมกับอุทิศผลบุญกุศลไปด้วย
•ไม่ใช้น้ำ ใช้แต่สิบนิ้วพนม อธิษฐาน แล้วอุทิศผลบุญกุศลไปให้
2. การอุทิศผลบุญ มี 2 วิธี คือ
•อุทิศเจาะจง ได้แก่ การออกชื่อผู้ที่เราจะให้ท่านรับ เช่น พ่อ…แม่…ลูก…หรือใครก็ได้
•อุทิศไม่เจาะจง ได้แก่ การกล่าวรวมๆ กันไป เช่น ญาติทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น
ทางที่ถูก ควรทำทั้งสองวิธี คือ ผู้ที่มีคุณหรือมีเวรต่อกันมาก เราก็ควรอุทิศเจาะจงที่เหลือก็อุทิศรวมๆ
3. น้ำกรวด ควรเป็นน้ำที่สะอาด ไม่มีสีและกลิ่น และเมื่อกรวดก็ควรรินลงในที่สะอาดหรือไปเทในที่สะอาด อย่ารินลงในกระโถนหรือที่สกปรก
4. น้ำเป็นสื่อ-ดินเป็นพยาน หรือพระแม่ธรณีได้รับรู้
การกรวดน้ำ มิใช่จะอุทิศไปให้ผู้ตายกินน้ำ แต่ใช้น้ำเป็นสื่อและใช้แผ่นดินเป็นพยานให้รับรู้ในการอุทิศส่วนบุญ
5.ควรกรวดน้ำตอนไหน ควรกรวดน้ำทันทีในขณะที่พระอนุโมทนา แต่ถ้าไม่สะดวกจะทำตอนหลังก็ได้ แต่ทำในขณะนั้นดีกว่า เพราะเหตุผล 2 ประการ คือ
•ถ้ามีเปรตญาติมารอรับส่วนบุญ ท่านก็ยอมได้รับในทันที
•การรอไปกรวดที่บ้าน หรือกรวดภายหลังบางครั้งก็อาจลืมไปผู้ที่เขาตั้งใจรับก็อด ผู้ที่เราตั้งใจจะให้ก็ชวดไปด้วย
6. ควรรินน้ำตอนไหน ควรเริ่มรินน้ำพร้อมกับตั้งใจอุทิศในขณะที่พระผู้นำสวดว่า “ยะถา วาริวะหาปูรา…” และรินให้หมดในเมื่อพระว่ามาถึง “มะณิโชติระโส ยะถา…” พอพระทั้งหมดรับพร้อมว่า “สัพพีติโย วิวัชชันตุ” เราก็พนมมือรับพรท่านไปจนจบ จึงจะถือว่าถูกต้อง
7. ถ้ายังว่าบทกรวดน้ำไม่เสร็จ จะทำอย่างไร ก็ควรใช้บทกรวดน้ำที่สั้นๆ หรือใช้บทกรวดน้ำย่อก็ได้ เช่น
“อิทัง โน ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย” ขออุทิศส่วนบุญนี้สำเร็จแก่(ออกชื่อผู้ล่วงลับ) และญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด”
หรือใช้ภาษาไทยอย่างเดียว ก็ได้ว่า
“ขออุทิศส่วนบุญกุศล ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ยแล้วนี้จงสำเร็จแก่ พ่อ แม่ ญาติ ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงได้รับส่วนบุญกุศลครั้งนี้โดยเร็วพลัน และโดยทั่วถึงกันเทอญ”
ส่วนบทยาวๆ เราควรเอาไว้กรวดส่วนตัว หรือกรวดน้ำในขณะทำวัตรสวดมนต์รวมกันก็ได้
ข้อสำคัญ ถ้าเป็นภาษาพระ ควรจะรู้คำแปล หรือความหมายด้วย ถ้าไม่รู้ความหมายก็ควรใช้คำไทยอย่างเดียวดีกว่า เพราะป้องกันความโง่งมงายได้
8. อย่าทำน้ำสกปรก ด้วยการเอานิ้วไปรองไว้ ควรรินน้ำไหลเป็นสายไม่ขาดระยะ และไม่ควรใช้วิธีเกาะตัวกันเป็นกลุ่ม หรือเป็นทางเหมือนเล่นงูกินหาง ถ้าเป็นงานพิธีต่างๆ ให้เจ้าภาพหรือประธาน รินน้ำกรวดเพียงคนเดียว หรือคู่เดียวก็พอ คนนอกนั้นก็พนมมือตั้งใจอุทิศไปให้
9. การทำบุญและอุทิศส่วนบุญ ควรสำรวมจิตใจ อย่าให้จิตฟุ้งซ่าน ปลูกศรัทธา ความเชื่อ และความเลื่อมใสมั่นคงในจิตใจ ผลของบุญและการอุทิศส่วนบุญ ย่อมมีอานิสงส์มาก
10 .บุญเป็นของกายสิทธิ์ ยิ่งให้ยิ่งมาก ยิ่งตะหนี่ยิ่งน้อย ยิ่งอุทิศให้คนอื่นหมดเลย เราก็ยิ่งจะได้บุญหมดเลย
บทกรวดน้ำแบบยาว หรือ บทกรวดน้ำอิมินา
ตั้งนะโม 3 จบ
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา
ด้วยบุญนี้ อุททิศให้ อุปัชฌาย์ ผู้เลิศคุณ
อาจะริยูปะการาจะ มาตาปิตา จะ ญาตะกา
และอาจารย์ ผู้เกื้อหนุน ทั้งพ่อแม่ และปวงญาติ
ปิยา มะมัง สุริโย จันทิมา ราชา คุณะวันตา นะราปิ จะ
สูรย์จันทร์ และราชา ผู้ทรงคุณหรือสูงชาติ
พรัหมะมารา จะ อินทา จะ โลกะปาลา จะ เทวะตา
พรหม มาร และอินทราช ทั้งทวยเทพ และโลกบาล
ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ
ยมราช มนุษย์มิตร ผู้เป็นกลาง ผู้จองผลาญ
สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ ปุญญานิ ปะกะตานิ เม
ขอให้สุขศานติ์ทุกทั่วหน้า อย่าทุกข์ทน บุญผองที่ข้าทำจงอำนวยศุภผล
สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ ขิปปัง ปาเปถะ โว มะตัง
ให้สุขสามอย่างล้น ให้ลุถึงนิพพานพลัน
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อิมินา อุททิเสนะ จะ
ด้วยบุญนี้ที่เราทำ และอุทิศให้ปวงสัตว์
ขิปปังหัง สุละเภ เจวะ ตัณหุปาทานะเฉทะนัง
เราพลันได้ ซึ่งการตัด ตัวตัณหา อุปาทาน
เย สันตาเน หินา ธัมมา ยาวะ นิพพานะโต มะมัง
สิ่งชั่วในดวงใจ กว่าเราจะถึงนิพพาน
นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว
มลายสิ้นจากสันดาน ทุก ๆ ภพ ที่เราเกิด
อุชุจิตตัง สะติปัญญา สัลเลโข วิริยัมหินา
มีจิตตรง และสติปัญญาอันประเสริฐ พร้อมทั้งความเพียรเลิศเป็นเครื่องขูดกิเลสหาย
มารา ละภันตะ โนกาสัง กาตุญจะ วิริเยสุ เม
โอกาส อย่าพึงมี แก่หมูมารทั้งสิ้นทั้งหลาย เป็นช่อง ประทุษร้ายทำลายล้างความเพียรจม
พุทธาทิปะวะโร นาโถธัมโม นาโถ วะรุตตะโม
พระพุทธผู้วรนาถ พระธรรมที่พึ่งอุดม
นาโถ ปัจเจกะพุทโธ จะ สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง
พระปัจเจกะพุทะสมทบ พระสงฆ์ ที่ผึ่งพยอง
เตโสตตะมานุภาเวนะ มาโรกาสัง ละภันตุ มา
ด้วยอานุภาพนั้น อย่าเปิดโอกาสให้แก่มาร ( เทอญ )
บทกรวดน้ำแบบสั้น
อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
ขอบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าเถิด ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุข สุขใจเถิดฯ
บทกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร
ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้าด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://kuakiddeedee.wordpress.com/2013/06/18/water/