ระหว่างนั่งรอเครื่องผมพอจะมีเวลานั่งตั้งสติคิด เรื่อยเปื่อยจนคิดถึงเรื่องวัดธรรมกาย ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ชอบเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับวัดธรรมกาย
เมื่อปีหรือสองปีก่อน ภรรยาผมเล่าให้ฟังคุยเกี่ยวกับวัดธรรมกายว่าครอบครัวเพื่อนของเธอ หมายรวมถึงคุณพ่อ คุณแม่ และตัวเพื่อนเอง ยอมขายบ้าน ขายรถ ทรัพย์สินต่างๆ เพื่อบริจาคให้วัดธรรมกายและเข้าไปอยู่ที่นั่น ผมได้ยินและเถียงว่าเป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นใครทำอะไรแบบนั้น ไม่มีใครบ้าขนาดนั้นหรอก เป็นไปไม่ได้ต้องมีอะไรมากกว่านั้น แล้วจะอยู่กินกันอย่างไรเมื่อไม่มีรายได้ แต่ภรรยาของผมยืนยัน โดยบอกว่าที่เค้าทำขนาดนั้นเพราะเมื่อบริจาคแล้ว เค้าก็ไปอยู่ในบริเวณวัดในนั้นมีบ้านให้อยู่ ถ้าป่วยก็รักษาให้ มีทั้งอาหาร และเครื่องนุ่งห่มให้ ซึ่งคงไม่ได้ให้ฟรีเห็นบอกว่าเข้าก็มีงานให้ทำทั้งเลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ฯ (ผมไม่รู้ข้อเท็จจริง) แต่หากเป็นจริงอย่างที่ภรรยาผมเล่า แล้วมนุษย์เรายังจะต้องการอะไรอีกหรือครับ อย่างไรก็ตามเมื่อผมได้ฟังก็เฉยๆและปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่าไม่ได้ต้องการมีชีวิตแบบนั้น
จนมาถึงตอนนี้มีข่าวร้ายๆมากมายเกี่ยวกับธรรมกายแต่ที่ผมสลดใจจนถึงขั้นอยากเขียนอะไรยาวๆขนาดนี้ทั้งที่ไม่เคยมาก่อนเพราะ คุณลุงคนหนึ่งยอมละทิ้งทุกอย่างที่มี เพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองให้วัดธรรมกาย และที่ร้ายกว่านั้นคือมีคนจำนวนไม่น้อยต่อว่าคุณลุงในแง่ลบทั้งที่คุณลุงได้เสียชีวิตไปแล้ว
ส่วนตัวผมคิดว่าแทนที่จะนั่งด่า หรือ โต้เถียงกันไม่น่าจะมีประโยชน์เพราะเราไม่สามารถเอาเหตุผลไป "รบ"กับความเชื่อได้ ผมว่าเราควรหาข้อเท็จจริงว่าเหล่าผู้คนที่ต่อต้านการตรวจสอบ บุกค้า จับกุมผู้ต้องสงสัย เหล่านั้นกำลังเชื่ออะไร เชื่อว่าอะไร กำลังปกป้องอะไร จะได้หาทางเจรจาได้อย่างถูกต้อง
การเจรจาไม่ควรเจรจากับตัวแทน(แกนนำผู้หาผลประโยชน์เจ้าตนเอง)ควรค่อยๆเจรจากับบุคคลหรือ กลุ่มคนที่ถูกชักนำไปในทางที่ผิด(ผิดตามความคิดเราหรือคนที่เราคิดว่าเค้าถูกหลอก) อาจจะใช้เวลานานแต่นั่นเพราะวัดธรรมกายก็ใช้เวลาสร้างความเชื่อเหล่านั้นมานาน
ตัวอย่าง เพื่อนของภรรยาผมที่ครอบครัวขายทรัพย์สินจนหมดสิ้นแล้ว สมมุติเราอธิบายจนเค้าเข้าใจได้แล้ว แต่หากเค้าเลิกปกป้องธรรมกาย และธรรมกายล่มสลายไปชีวิตครอบครัวเค้าจะเป็นอย่างไรครับ....เป็นท่านๆจะทำอย่างไรครับ เป็นผมก็คิดหนักระหว่างทำสิ่งที่ถูกต้องแต่ต้องแลกกับชีวิตครอบครัว อนาคต หรือก็คือ ยอมสละทุกอย่างเพื่อทำสิ่งที่คนอื่นคิดว่าถูกต้อง(เอ๋...กำลังทำเพื่อใคร) หากกรณีนี้เราจะช่วยเหลือเยี่ยวยาคนประเภทนี้ยังไง หรือ ปล่อยเค้าตามยถากรรมเพราะเค้าทำตัวเอง
อีกหนึ่งสิ่งที่บางคนอาจปกป้องคือ หากวัดธรรมกายทำให้สามาชิกเชื่อว่า สามารถเอาเงินบริจาคมาบริหารจัดการให้สมาชิกในวัดมีปัจจัย 4 ได้ใช้ไปตลอดชีวิตเหมือนที่กล่าวอ้างแล้ว เราจะเอาความจริงอะไรไปหักล้างดี เพื่อให้เค้าเลิกปกป้องวัดธรรมกายได้
ก่อนจะเข้าประเด็นสุดท้ายขอพูดถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษที่ทุกศาสนาสอนให้ทำความดี ซึ่งส่วนใหญ่จะสอนว่าจะได้ผลตอบแทนในภพหน้า จะได้ขึ้นสวรรค์ ฯ คนที่พอจะมีฐานะทางการเงินดีส่วนใหญ่ก็บริจาค อาหาร เงินทองตามฐานะ แล้วก็ได้ความสบายใจส่วนทางวัดจะเอาไปทำกิจการอันใด ได้ยอดบริจาคเท่าไหร่อาจจะไม่ค่อยสนใจนัก ข้อนี้ผมคิดว่าวัดธรรมกายคงจะชี้ให้เห็นผลในชาตินี้ซึ่งก็คือ การจัดหาปัจจัย 4 ให้คนอื่นที่ขาดแคลนในวัด พอผู้บริจาคเห็นชัดเลยว่าเงินที่บริจาคได้ใช้ประโยชน์อะไรบ้างก็พอใจทั้งผู้ให้และผู้รับ สุขใจทั้งสองฝ่าย
อีกประเด็นสุดท้ายก็คือ เรา(รัฐ)ปล่อยให้วัดธรรมกายที่เราคิดว่าหลอกลวงประชาชนขยายโครงข่ายใหญ่โตมาหลายปีและแพร่อิทธิพลมากขนาดนี้ได้อย่างไร ถ้าแธมมี่ทำเองมาแต่แรกคนเดียวได้ผมว่าเค้าก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งผมไม่เชื่อแบบนั้น
สำหรับผมแค่อยากระบายความคิดนี้ให้ใครสักคนฟังเผื่อมีจุดไหนทางความคิดผมมีประโยชน์ทำอะไรได้บ้างเพราะผมต้องการปกป้องคนที่ผมรักจากความเชื่อผิดๆเหมือนกัน
สรุปผมว่าการจัดการวัดธรรมกายครั้งนี้ไม่ถูกต้อง และไม่รู้ว่าจัดการกับวัดพระธรรมกายครั้งนี้เราทำเพื่อใครกันแน่
ปล.ผมไม่เคยรับฟังคำสอนของธรรมกายโดยตรง แค่ได้ยินเค้าเล่าต่อๆมาแล้วมโนต่อเอง
ปล.ผมไม่เคยไปทำกิจกรรมใดร่วมกับธรรมกาย
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
อยากระบายเรื่องธรรมกาย
เมื่อปีหรือสองปีก่อน ภรรยาผมเล่าให้ฟังคุยเกี่ยวกับวัดธรรมกายว่าครอบครัวเพื่อนของเธอ หมายรวมถึงคุณพ่อ คุณแม่ และตัวเพื่อนเอง ยอมขายบ้าน ขายรถ ทรัพย์สินต่างๆ เพื่อบริจาคให้วัดธรรมกายและเข้าไปอยู่ที่นั่น ผมได้ยินและเถียงว่าเป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นใครทำอะไรแบบนั้น ไม่มีใครบ้าขนาดนั้นหรอก เป็นไปไม่ได้ต้องมีอะไรมากกว่านั้น แล้วจะอยู่กินกันอย่างไรเมื่อไม่มีรายได้ แต่ภรรยาของผมยืนยัน โดยบอกว่าที่เค้าทำขนาดนั้นเพราะเมื่อบริจาคแล้ว เค้าก็ไปอยู่ในบริเวณวัดในนั้นมีบ้านให้อยู่ ถ้าป่วยก็รักษาให้ มีทั้งอาหาร และเครื่องนุ่งห่มให้ ซึ่งคงไม่ได้ให้ฟรีเห็นบอกว่าเข้าก็มีงานให้ทำทั้งเลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ฯ (ผมไม่รู้ข้อเท็จจริง) แต่หากเป็นจริงอย่างที่ภรรยาผมเล่า แล้วมนุษย์เรายังจะต้องการอะไรอีกหรือครับ อย่างไรก็ตามเมื่อผมได้ฟังก็เฉยๆและปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่าไม่ได้ต้องการมีชีวิตแบบนั้น
จนมาถึงตอนนี้มีข่าวร้ายๆมากมายเกี่ยวกับธรรมกายแต่ที่ผมสลดใจจนถึงขั้นอยากเขียนอะไรยาวๆขนาดนี้ทั้งที่ไม่เคยมาก่อนเพราะ คุณลุงคนหนึ่งยอมละทิ้งทุกอย่างที่มี เพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองให้วัดธรรมกาย และที่ร้ายกว่านั้นคือมีคนจำนวนไม่น้อยต่อว่าคุณลุงในแง่ลบทั้งที่คุณลุงได้เสียชีวิตไปแล้ว
ส่วนตัวผมคิดว่าแทนที่จะนั่งด่า หรือ โต้เถียงกันไม่น่าจะมีประโยชน์เพราะเราไม่สามารถเอาเหตุผลไป "รบ"กับความเชื่อได้ ผมว่าเราควรหาข้อเท็จจริงว่าเหล่าผู้คนที่ต่อต้านการตรวจสอบ บุกค้า จับกุมผู้ต้องสงสัย เหล่านั้นกำลังเชื่ออะไร เชื่อว่าอะไร กำลังปกป้องอะไร จะได้หาทางเจรจาได้อย่างถูกต้อง
การเจรจาไม่ควรเจรจากับตัวแทน(แกนนำผู้หาผลประโยชน์เจ้าตนเอง)ควรค่อยๆเจรจากับบุคคลหรือ กลุ่มคนที่ถูกชักนำไปในทางที่ผิด(ผิดตามความคิดเราหรือคนที่เราคิดว่าเค้าถูกหลอก) อาจจะใช้เวลานานแต่นั่นเพราะวัดธรรมกายก็ใช้เวลาสร้างความเชื่อเหล่านั้นมานาน
ตัวอย่าง เพื่อนของภรรยาผมที่ครอบครัวขายทรัพย์สินจนหมดสิ้นแล้ว สมมุติเราอธิบายจนเค้าเข้าใจได้แล้ว แต่หากเค้าเลิกปกป้องธรรมกาย และธรรมกายล่มสลายไปชีวิตครอบครัวเค้าจะเป็นอย่างไรครับ....เป็นท่านๆจะทำอย่างไรครับ เป็นผมก็คิดหนักระหว่างทำสิ่งที่ถูกต้องแต่ต้องแลกกับชีวิตครอบครัว อนาคต หรือก็คือ ยอมสละทุกอย่างเพื่อทำสิ่งที่คนอื่นคิดว่าถูกต้อง(เอ๋...กำลังทำเพื่อใคร) หากกรณีนี้เราจะช่วยเหลือเยี่ยวยาคนประเภทนี้ยังไง หรือ ปล่อยเค้าตามยถากรรมเพราะเค้าทำตัวเอง
อีกหนึ่งสิ่งที่บางคนอาจปกป้องคือ หากวัดธรรมกายทำให้สามาชิกเชื่อว่า สามารถเอาเงินบริจาคมาบริหารจัดการให้สมาชิกในวัดมีปัจจัย 4 ได้ใช้ไปตลอดชีวิตเหมือนที่กล่าวอ้างแล้ว เราจะเอาความจริงอะไรไปหักล้างดี เพื่อให้เค้าเลิกปกป้องวัดธรรมกายได้
ก่อนจะเข้าประเด็นสุดท้ายขอพูดถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษที่ทุกศาสนาสอนให้ทำความดี ซึ่งส่วนใหญ่จะสอนว่าจะได้ผลตอบแทนในภพหน้า จะได้ขึ้นสวรรค์ ฯ คนที่พอจะมีฐานะทางการเงินดีส่วนใหญ่ก็บริจาค อาหาร เงินทองตามฐานะ แล้วก็ได้ความสบายใจส่วนทางวัดจะเอาไปทำกิจการอันใด ได้ยอดบริจาคเท่าไหร่อาจจะไม่ค่อยสนใจนัก ข้อนี้ผมคิดว่าวัดธรรมกายคงจะชี้ให้เห็นผลในชาตินี้ซึ่งก็คือ การจัดหาปัจจัย 4 ให้คนอื่นที่ขาดแคลนในวัด พอผู้บริจาคเห็นชัดเลยว่าเงินที่บริจาคได้ใช้ประโยชน์อะไรบ้างก็พอใจทั้งผู้ให้และผู้รับ สุขใจทั้งสองฝ่าย
อีกประเด็นสุดท้ายก็คือ เรา(รัฐ)ปล่อยให้วัดธรรมกายที่เราคิดว่าหลอกลวงประชาชนขยายโครงข่ายใหญ่โตมาหลายปีและแพร่อิทธิพลมากขนาดนี้ได้อย่างไร ถ้าแธมมี่ทำเองมาแต่แรกคนเดียวได้ผมว่าเค้าก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งผมไม่เชื่อแบบนั้น
สำหรับผมแค่อยากระบายความคิดนี้ให้ใครสักคนฟังเผื่อมีจุดไหนทางความคิดผมมีประโยชน์ทำอะไรได้บ้างเพราะผมต้องการปกป้องคนที่ผมรักจากความเชื่อผิดๆเหมือนกัน
สรุปผมว่าการจัดการวัดธรรมกายครั้งนี้ไม่ถูกต้อง และไม่รู้ว่าจัดการกับวัดพระธรรมกายครั้งนี้เราทำเพื่อใครกันแน่
ปล.ผมไม่เคยรับฟังคำสอนของธรรมกายโดยตรง แค่ได้ยินเค้าเล่าต่อๆมาแล้วมโนต่อเอง
ปล.ผมไม่เคยไปทำกิจกรรมใดร่วมกับธรรมกาย
ขอบคุณที่อ่านจนจบ