ความวิตกกังวล ก่อนงานแต่งงาน รู้ไว้ เพื่อดูแลกันและกัน
พอรู้ว่ามีผู้ชายยยย มาขอแต่งงาน ตอนแรก เราก็ดีใจมาก โลกทั้งโลกก็เป็นสีชมพู หน้าตาแจ่มใส สุขภาพจิตดี ยิ้มทั้งวันเลยค่ะ
แต่พอได้เริ่มวางแผนจัดงานแล้วละก็… ความกังวล เข้าครอบงำ จิตตก งานชานจะดีมั้ย จะออกมายังไง จะมีใครมาบ้าง กลัวเค้าไม่ชอบงานเรา อันนั้นยังไม่ได้ทำ อันนี้ก็ยังไม่มี อยากได้อันนั้นด้วย อันนี้ก็จะเอา โอ้ยยย…กังวลไปหมด ชานจะทำไงดี??? บ้างคู่ถึงขั้นคุยกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกันเลย ก็มีค่ะ
ความวิตกกังวล เกิดขึ้นจากตัวเอง ขออนุญาติ แชร์ ประสบการณ์ของตัวเอง นะคะ
เราเป็นหนักมากกก จนเอาไปฝันเกือบทุกคืนว่า งานล่มบ้าง ไม่มีใครมางานบ้าง บลาๆๆ นอนไม่สนิท จิตใจหมกหมุ่นอยู่กับงานแต่งตลอดเวลา โชคดีที่มีแฟนเตือนสติ เค้าถามเราว่า นี้งานแต่งของใคร เราแต่งเพื่อใคร เราจะกังวลมันทำไม นี้มันงานของเรา แขกที่มางานมีแต่คนที่รักเรา ข้อผิดพลาดมันมีทุกงานถึงแม้จะมี organize ก็ตาม เคยไปงานแต่งแล้วเราติงานเค้ามั้ย เราไปร่วมยินดีกับเค้า เช่นเดียวกัน กับคนที่จะมางานเราเค้ามาเพื่อแสดงความยินดี ไม่ต้องกังวล งานจะตะกุกตะกักไปบ้าง ถือว่า เป็นสีสันของงาน

ยิ้มกว้างๆ เข้าไว้

อย่าลืม!!!
ข้อแรกนะคะ
“หันหน้าคุยกัน” เหมือนก่อนวันที่เราจะตกลงแต่งงาน
ไม่ว่าจะคิดอะไรอยู่ก็ตาม เรากำลังมีชีวิตคู่ค่ะ สิ่งแรกที่เราไม่ควรลืมคือ คู่ของเรา หันมาคุยกัน ยิ้มให้กัน อย่างน้อยจะทำให้เรากังวลใจลดลง “ดีต่อใจจะใครเล่าก็เธอนั่นเอง”
ข้อที่ 2
“อย่าคิดทุกอย่างคนเดียว” อย่างที่รู้ๆ ค่ะ งานแต่งคืองานของทั้งสองคน การที่เราคิดและทำคนเดียว นอกจากจะยิ่งทำให้จิตใจห่อเหี่ยวแล้ว จะยิ่งเพิ่มความกังวลให้กับเหล่าว่าที่เจ้าสาวและเจ้าบ่าว อีกอย่าง บางทีเรารักกันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องชอบเหมือนกัน ช่วยกันคิดจะได้งานออกมาที่ทั้งสองคนชอบมากที่สุดนะคะ
“ชีวิตคู่คือเพื่อนคู่คิด” ชีวิตคู่กำลังเริ่มต้นแล้ว
ข้อที่3
“วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” หน้าที่ของเจ้าสาวและเจ้าบ่าววันงาน มีแค่ต้อนรับแขก ถ่ายรูปกับแขก พิธีการ ส่งแขก นอกเหนือจากนนี้วันจริงเราไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้นการวางแผนสำคัญมาก โดยเฉพาะ คู่ที่มีแผนจัดงานแต่งเอง วันจริงควรหา คนเป็นแม่งานแทนเราสักคน เพื่อตัดสินใจแทนเราทุกอย่าง แต่ถ้ามี organize จะสบาย แต่ราคาก็อีกเรื่องนะคะ
ข้อที่4
“ไม่มีอะไรจะ Perfect ไปซะทุกอย่าง” เมื่อเราได้จัดการวางแผนทุกอย่างเรียบร้อย แต่มีข้อผิดพลาดบางอย่าง ให้ปล่อยวาง บางอย่างที่เราไม่สามารถทำได้ อาจด้วยเรื่องงบ หรือข้อจำกัดอื่นๆ ไม่มีงานที่ไม่มีข้อผิดพลาด ถ้ามีข้อผิดผลาด แสดงว่าเราได้ทำงานนั้นจิง คำว่า “Perfect” แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน สำหรับตัวดิฉันมองว่างานแต่งที่ Perfect คืองานแต่ที่ดิฉันมีความสุขมากที่สุดก็พอ
ข้อสุดท้ายข้อที่5
“อย่าลืมว่างานแต่งเป็นเพียงวันแรกของการเริ่มต้นชีวิตคู่” เราจะกังวลทำไม นี้ชีวิตคู่ของเรากำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ สดใสไว้ค่ะบ่าวสาว ไม่งั้นแต่งหน้าไม่สวยนะค่ะ วันงานชานต้องสวย และหล่อที่สุดในงาน จ้าาาาา
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบ
ขอบคุณประสบการณ์ช่วงแต่งงานที่ทำให้รู้ว่าวันนี้มีความหมายมากแค่ไหน มันไม่ใช่แค่เพียง 1 วัน แต่มันคือ วันแรกที่ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีเธอ...

ขอให้บ่าวสาวที่กำลังจะแต่งงาน แล้ววิตกกังวลอยู่ สู้ๆ นะค่ะ เอาใจช่วยค่ะ
ความวิตกกังวล ก่อนงานแต่งงาน รู้ไว้ เพื่อดูแลกันและกัน
พอรู้ว่ามีผู้ชายยยย มาขอแต่งงาน ตอนแรก เราก็ดีใจมาก โลกทั้งโลกก็เป็นสีชมพู หน้าตาแจ่มใส สุขภาพจิตดี ยิ้มทั้งวันเลยค่ะ
แต่พอได้เริ่มวางแผนจัดงานแล้วละก็… ความกังวล เข้าครอบงำ จิตตก งานชานจะดีมั้ย จะออกมายังไง จะมีใครมาบ้าง กลัวเค้าไม่ชอบงานเรา อันนั้นยังไม่ได้ทำ อันนี้ก็ยังไม่มี อยากได้อันนั้นด้วย อันนี้ก็จะเอา โอ้ยยย…กังวลไปหมด ชานจะทำไงดี??? บ้างคู่ถึงขั้นคุยกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกันเลย ก็มีค่ะ
ความวิตกกังวล เกิดขึ้นจากตัวเอง ขออนุญาติ แชร์ ประสบการณ์ของตัวเอง นะคะ
เราเป็นหนักมากกก จนเอาไปฝันเกือบทุกคืนว่า งานล่มบ้าง ไม่มีใครมางานบ้าง บลาๆๆ นอนไม่สนิท จิตใจหมกหมุ่นอยู่กับงานแต่งตลอดเวลา โชคดีที่มีแฟนเตือนสติ เค้าถามเราว่า นี้งานแต่งของใคร เราแต่งเพื่อใคร เราจะกังวลมันทำไม นี้มันงานของเรา แขกที่มางานมีแต่คนที่รักเรา ข้อผิดพลาดมันมีทุกงานถึงแม้จะมี organize ก็ตาม เคยไปงานแต่งแล้วเราติงานเค้ามั้ย เราไปร่วมยินดีกับเค้า เช่นเดียวกัน กับคนที่จะมางานเราเค้ามาเพื่อแสดงความยินดี ไม่ต้องกังวล งานจะตะกุกตะกักไปบ้าง ถือว่า เป็นสีสันของงาน
อย่าลืม!!!
ข้อแรกนะคะ “หันหน้าคุยกัน” เหมือนก่อนวันที่เราจะตกลงแต่งงาน
ไม่ว่าจะคิดอะไรอยู่ก็ตาม เรากำลังมีชีวิตคู่ค่ะ สิ่งแรกที่เราไม่ควรลืมคือ คู่ของเรา หันมาคุยกัน ยิ้มให้กัน อย่างน้อยจะทำให้เรากังวลใจลดลง “ดีต่อใจจะใครเล่าก็เธอนั่นเอง”
ข้อที่ 2 “อย่าคิดทุกอย่างคนเดียว” อย่างที่รู้ๆ ค่ะ งานแต่งคืองานของทั้งสองคน การที่เราคิดและทำคนเดียว นอกจากจะยิ่งทำให้จิตใจห่อเหี่ยวแล้ว จะยิ่งเพิ่มความกังวลให้กับเหล่าว่าที่เจ้าสาวและเจ้าบ่าว อีกอย่าง บางทีเรารักกันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องชอบเหมือนกัน ช่วยกันคิดจะได้งานออกมาที่ทั้งสองคนชอบมากที่สุดนะคะ
“ชีวิตคู่คือเพื่อนคู่คิด” ชีวิตคู่กำลังเริ่มต้นแล้ว
ข้อที่3 “วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” หน้าที่ของเจ้าสาวและเจ้าบ่าววันงาน มีแค่ต้อนรับแขก ถ่ายรูปกับแขก พิธีการ ส่งแขก นอกเหนือจากนนี้วันจริงเราไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้นการวางแผนสำคัญมาก โดยเฉพาะ คู่ที่มีแผนจัดงานแต่งเอง วันจริงควรหา คนเป็นแม่งานแทนเราสักคน เพื่อตัดสินใจแทนเราทุกอย่าง แต่ถ้ามี organize จะสบาย แต่ราคาก็อีกเรื่องนะคะ
ข้อที่4 “ไม่มีอะไรจะ Perfect ไปซะทุกอย่าง” เมื่อเราได้จัดการวางแผนทุกอย่างเรียบร้อย แต่มีข้อผิดพลาดบางอย่าง ให้ปล่อยวาง บางอย่างที่เราไม่สามารถทำได้ อาจด้วยเรื่องงบ หรือข้อจำกัดอื่นๆ ไม่มีงานที่ไม่มีข้อผิดพลาด ถ้ามีข้อผิดผลาด แสดงว่าเราได้ทำงานนั้นจิง คำว่า “Perfect” แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน สำหรับตัวดิฉันมองว่างานแต่งที่ Perfect คืองานแต่ที่ดิฉันมีความสุขมากที่สุดก็พอ
ข้อสุดท้ายข้อที่5 “อย่าลืมว่างานแต่งเป็นเพียงวันแรกของการเริ่มต้นชีวิตคู่” เราจะกังวลทำไม นี้ชีวิตคู่ของเรากำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ สดใสไว้ค่ะบ่าวสาว ไม่งั้นแต่งหน้าไม่สวยนะค่ะ วันงานชานต้องสวย และหล่อที่สุดในงาน จ้าาาาา
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบ
ขอบคุณประสบการณ์ช่วงแต่งงานที่ทำให้รู้ว่าวันนี้มีความหมายมากแค่ไหน มันไม่ใช่แค่เพียง 1 วัน แต่มันคือ วันแรกที่ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีเธอ...