ออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ใช่ผู้เชียวชาญพิเศษ แต่รวบรวมมาจากความรู้จากที่เคยอ่าน เคยดู เคยฟัง และจากประสบการณ์ส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ ที่ได้ไปประชุมวิชาการ และฟังสัมมนาจากงานต่างๆทั้งในประเทศ และต่างประเทศ (ส่วนใหญ่จะในประเทศ) และไม่ได้อยู่ภายไหนสีไหนทั้งนั้น แต่เลือกที่จะอยู่ข้างประเทศไทยเท่านั้น
อย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ ก็ได้ข่าวว่าค่อยๆถอนตัวกันไปแล้ว เพราะไม่ประสบความสำเร็จ
รถยี่ห้อเดียวกัน ประกอบในประเทศ เทียบกับรถนำเข้าจากไทย ดันราคาใกล้เคียงกัน
แถมรถที่ประกอบจากไทย accessory เยอะกว่า
Supplier ก็มีน้อย ประสิทธิภาพการผลิตก็ต่ำกว่าไทย
ของไทย เคยได้ยินมาว่าบริษัทแม่จากประเทศญี่ปุ่นมาประเมินประสิทธิภาพการผลิต บางค่ายสูงถึง 98% เรียกได้ว่า แทบไม่มีการสูญเสียระหว่างกระบวนการผลิตเลย
GDP ของไทย 440,000 ล้าน ประชากร 65 ล้านคน
เวียดนาม 188,000 ล้าน จากประชากร 90 ล้านคน
เรื่องค่าเงินของไทยก็ยังมีเสถียรภาพมากกว่า
เงินบาทเป็นสกุลเงินที่มีการใช้มากเป็นอันดับ 12 ของโลก
โครงการรถไฟฟ้า ของไทยเริ่มดำเนินการมาราวๆ 20 ปี
เปิดให้บริการสายแรกปี 2542 และพัฒนามาเรื่อยๆ และอีกไม่นานจะครอบคลุมในทุกด้านของ กทม และปริมณฑล เป็นผลดีทั้งต่อการคมนาคม การท่องเที่ยว และการติดต่อประสานงานต่างๆ
รถไฟความเร็วสูงก็จะเริ่มแล้ว
ในขณะที่เวียดนามเพิ่งจะเริ่มรถไฟฟ้าสายแรก
เรื่องกีฬา
ขนาด Asian game 1998 หรือ พศ. 2541
เศรษฐกิจไทยนรกสุดๆ เป็นช่วงที่แย่ที่สุดของช่วงวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง สัดส่วนระหว่างหนี้ต่างประเทศ กับ GDP เพิ่มสูงขึ้นมากจาก 100% กลายเป็น 180% (เริ่มแย่มาตั้งแต่ปี 2538) และไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด (อินโดนีเซีย ไทย และเกาหลีใต้)
ไทยยังสามารถจัดเอเชี่ยนเกมส์ได้ และตอนนั้นได้รับคำชมว่าสามารถจัดการแข่งขันได้อย่างยิ่งใหญ่
แต่เวียดนามตอนเศรษฐกิจรุ่งๆ กำลังโตแบบนี้
กลับยกเลิกการเป็นเจ้าภาพเอเชียนเกมส์ ทั้งๆที่ได้รับการอนุมัติแล้ว (ไม่ใช่ถอนตัวจากการเสนอตัว แต่ถอนหลังจากชนะและได้สิทธิจัดแล้ว) และอินโดนีเซียรับเป็นเจ้าภาพแทน
โดยอ้างว่า ทำไปแล้วไม่คุ้มการลงทุน ไม่สามารถพัฒนาการกีฬาได้จริง
แต่ผมว่า ในระดับนานาชาติแล้ว ความเชื่อมั่น ความเชื่อในสายตานานาชาติน่าจะลดลงไปพอสมควร
การที่ยอมกลืนเลือด ยอมเสียหน้ายกเลิกเป็นเจ้าภาพ แลกกับการสูญเสียความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติ น่าจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญกว่าที่ปกปิดไว้ ซึ่งมันคงมีอยู่ไม่กี่เรื่อง เรื่องเงินก็คือ 1 ในข้อสันนิษฐานหลัก
เรื่องฟุตบอล ก่อนหน้านี้ลีกของเวียดนาม พัฒนาไปไกล นักกีฬาของไทยหลายๆคนได้ไปเล่นที่เวียดนาม จนได้สัญชาติ แต่เจอปัญหารุมเร้าหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องการล้มบอล และการคอรัปชั่น
ปัจจุบันนี้ลีกของไทยใช้เวลาไม่ถึงสิบปี แซงเวียดนามกลับมาแล้ว และก้าวนำเวียดนามไปมาก ทั้งแง่ของการจัดการ รายได้ ความนิยม และจำนวนผู้ชมในสนาม
วอลเลย์บอล ตอนนี้ แม้เวียดนาม จะจีไทยมาติดๆ แต่ถ้าใครติดตามดูตลอดจะรู้ว่า การฝึกซ้อม การจัดการแข่งขันล้วนต่ำกว่ามาตรฐาน รายการระดับนานาชาติ กลับไม่มีอุปกรณ์ฟิตเนสสำหรับนักกีฬา (แน่นอนว่า แม้นักกีฬาทีมชาติเวียดนามเองก็ไม่มีครบตามมาตรฐาน) สภาพอุณหภูมิสนาม และตารางเวลาการแข่งขัน
การส่งแข่งขันไม่มีความต่อเนื่อง และเลือกส่งเฉพาะบางรายการเท่านั้น บางรายการในระดับชิงแชมป์เอเชีย และรายการระดับยุวชนก็ไม่ส่งแข่งขัน (อย่างเอเชียนเกมส์ที่ผ่านมาก็ไม่ส่งแข่งด้วยปัญหาด้านงบประมาณ) ในขณะที่ไทยส่งแข่งทุกรุ่นทุกระดับ
ด้านการศึกษา
ส่วนใหญ่นักศึกษาเวียดนามมาเรียนต่อในไทย มากกว่าไทยไปเรียนต่อเวียดนาม
สายงานอื่นผมอาจจะไม่ค่อยทราบมาก แต่ในสายงานของผม การเรียนการสอนทางด้านนี้ของไทย อยู่อันดับ 1 ใน 2 ของอาเซียนแน่นอน
มีโอกาสได้เป็นผู้ต้อนรับศาตราจารย์ท่านนึงจากมาเลเซียซึ่งเดินทางมาบรรยายทางวิชาการที่ไทย นั่งรถมากับท่านจากสุวรรณภูมิจนถึงหัวหิน ท่าบอกว่า สาขาเฉพาะทางของท่าน มีท่านคนเดียวในมหาวิทยาลัย และมีคนเวียดนามมาเทรนกับท่านด้วย ซึ่งท่านบอกเองว่า สาขานี้ ในไทยดีกว่ามาก และมีผู้เชียวชาญมากกว่า แต่ละสถาบันมีอย่างน้อยๆ 3-4 คนขึ้นไป (เป็นสาขาที่เพิ่งจะมีมาไม่นาน ไม่เกิน 20 ปีมานี้ที่มีการฝึกอบรมอย่างจริงจัง เพราะวิทยาการก้างหน้าขึ้น และสามารถทดแทนวิธีการเดิมๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ)
ผลงานทางวิชาการของไทยเยอะกว่า (แต่น้อยกว่าเกาหลีมาก ผู้เชี่ยวชาญของเกาหลีสาขานี้เยอะมากจริงๆ) และจากการประชุมในระดับนานาชาติ ทั้งที่เยอรมัน อังกฤษ จีน อเมริกาที่เคยไปร่วมมา จะมีผู้เชียวชาญชาวไทยได้รับเกียรติเป็นผู้บรรยายด้วยเสมอ (เป็นความภูมิใจของคนไทยด้วยกันมาก ถึงจะจบมาจากต่างสถาบันกันก็ตาม) แต่ไม่เคยเห็นผู้เชียวชาญจากเวียดนามเลย
ที่สำคัญ คือ เวียดนามเชิญผู้บรรยายชาวไทย ไปบรรยาย ไปสอนทุกปีมานานหลายปีติดต่อกันแล้ว
เรื่องการท่องเที่ยว ของเราติดอันดับ top 5 ของโลกไปแล้ว
ทั้งในแง่ของคุณภาพสถานที่ท่องเที่ยวและการบริการ
ข้อตกลงเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ที่ทั้งเวียดนามและมาเลเซียคาดหวังไว้มาก ก็มีแนวโน้มยกเลิกไปแล้ว
เพราะเหมือนโดนัลด์ ทรัมป์ จะให้สหรัฐถอนตัวจากข้อตกลง TPP
อุตสาหกรรมบันเทิง
ละครและภาพยนตร์ไทย หลายๆเรื่องเป็นที่นิยมในเวียดนาม แต่ตรงกันข้ามไม่เคยเห็นละคร หรือ ภาพยนต์เวียดนามนำมาเผยแพร่ในไทยเลย
และไม่ใช่แค่ในเวียดนาม กระแสละครไทย โด่งดังทั้งในลาว กัมพูชา พม่าและจีน จนถึงขั้นที่ผู้ผลิตของกัมพูชาต้องร้องขอให้ทางรัฐบาลช่วยเหลือเนื่องจากถูกละครไทยตีตลาดไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งผู้ชมได้
ภาพยนตร์ไทยหลายๆเรื่องก็เป็นที่นิยมในฟิลิปปินส์อินโดนีเซีย
สุดท้าย ถ้าจะว่ากันเรื่องของอนาคต เวียดนามจะมีโอกาสแซงไทยไหม ก็คงมีโอกาสแหละครับ
แต่คาดว่าคงไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้ 30-40 ปีนี้แน่ๆ ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นผมคงตายจากโลกไปแล้ว
ได้แต่หวังว่าคนรุ่นหลังที่ทั้งเก่งและดี จะร่วมมือกันพัฒนาประเทศชาติต่อไป
ส่วนที่ทะเลาะกัน เราคงห้ามเขาไม่ได้ ได้แต่หวังให้เลิกตีกันสักที
แต่คนดีๆที่เขายังทำงานอยู่ ยังหวังพัฒนาวงการของตัวเองและประเทศชาติก็ยังมีอยู่
เช่นในสายงานของผม ไทยเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำ Asean journal และมีตีพิมพ์ออกมาแล้ว
ดึงการประชุมวิชาการในระดับนานาชาติมาจัดประชุมในไทยได้ และบางงานเราได้จัดเป็นชาติแรกของอาเซียน
เป็นคนริเริ่มจัดการประชุมวิขาการอาเซียน
แม้จะเป็นแค่จุดเล็กๆ แต่อย่างน้อยก็พยายามผลักดันตัวเอง เปิดตัวเองในระดับนานาชาติ พยายามที่จะเป็นผู้นำวิชาการในภูมิภาพนี้มากขึ้น ดึงระดับผู้นำและอาจารย์ในสาขาวิชานี้ให้มาเปิดหูเปิดตากับประเทศไทย
ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่เข้ามาแสดงความเห็นครับ
เวียดนามจะแซงไทยได้จริงๆหรือ (ความเห็นจากอีกฝั่ง ที่ยังเห็นความหวังของประเทศไทย)
อย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ ก็ได้ข่าวว่าค่อยๆถอนตัวกันไปแล้ว เพราะไม่ประสบความสำเร็จ
รถยี่ห้อเดียวกัน ประกอบในประเทศ เทียบกับรถนำเข้าจากไทย ดันราคาใกล้เคียงกัน
แถมรถที่ประกอบจากไทย accessory เยอะกว่า
Supplier ก็มีน้อย ประสิทธิภาพการผลิตก็ต่ำกว่าไทย
ของไทย เคยได้ยินมาว่าบริษัทแม่จากประเทศญี่ปุ่นมาประเมินประสิทธิภาพการผลิต บางค่ายสูงถึง 98% เรียกได้ว่า แทบไม่มีการสูญเสียระหว่างกระบวนการผลิตเลย
GDP ของไทย 440,000 ล้าน ประชากร 65 ล้านคน
เวียดนาม 188,000 ล้าน จากประชากร 90 ล้านคน
เรื่องค่าเงินของไทยก็ยังมีเสถียรภาพมากกว่า
เงินบาทเป็นสกุลเงินที่มีการใช้มากเป็นอันดับ 12 ของโลก
โครงการรถไฟฟ้า ของไทยเริ่มดำเนินการมาราวๆ 20 ปี
เปิดให้บริการสายแรกปี 2542 และพัฒนามาเรื่อยๆ และอีกไม่นานจะครอบคลุมในทุกด้านของ กทม และปริมณฑล เป็นผลดีทั้งต่อการคมนาคม การท่องเที่ยว และการติดต่อประสานงานต่างๆ
รถไฟความเร็วสูงก็จะเริ่มแล้ว
ในขณะที่เวียดนามเพิ่งจะเริ่มรถไฟฟ้าสายแรก
เรื่องกีฬา
ขนาด Asian game 1998 หรือ พศ. 2541
เศรษฐกิจไทยนรกสุดๆ เป็นช่วงที่แย่ที่สุดของช่วงวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง สัดส่วนระหว่างหนี้ต่างประเทศ กับ GDP เพิ่มสูงขึ้นมากจาก 100% กลายเป็น 180% (เริ่มแย่มาตั้งแต่ปี 2538) และไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด (อินโดนีเซีย ไทย และเกาหลีใต้)
ไทยยังสามารถจัดเอเชี่ยนเกมส์ได้ และตอนนั้นได้รับคำชมว่าสามารถจัดการแข่งขันได้อย่างยิ่งใหญ่
แต่เวียดนามตอนเศรษฐกิจรุ่งๆ กำลังโตแบบนี้
กลับยกเลิกการเป็นเจ้าภาพเอเชียนเกมส์ ทั้งๆที่ได้รับการอนุมัติแล้ว (ไม่ใช่ถอนตัวจากการเสนอตัว แต่ถอนหลังจากชนะและได้สิทธิจัดแล้ว) และอินโดนีเซียรับเป็นเจ้าภาพแทน
โดยอ้างว่า ทำไปแล้วไม่คุ้มการลงทุน ไม่สามารถพัฒนาการกีฬาได้จริง
แต่ผมว่า ในระดับนานาชาติแล้ว ความเชื่อมั่น ความเชื่อในสายตานานาชาติน่าจะลดลงไปพอสมควร
การที่ยอมกลืนเลือด ยอมเสียหน้ายกเลิกเป็นเจ้าภาพ แลกกับการสูญเสียความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติ น่าจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญกว่าที่ปกปิดไว้ ซึ่งมันคงมีอยู่ไม่กี่เรื่อง เรื่องเงินก็คือ 1 ในข้อสันนิษฐานหลัก
เรื่องฟุตบอล ก่อนหน้านี้ลีกของเวียดนาม พัฒนาไปไกล นักกีฬาของไทยหลายๆคนได้ไปเล่นที่เวียดนาม จนได้สัญชาติ แต่เจอปัญหารุมเร้าหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องการล้มบอล และการคอรัปชั่น
ปัจจุบันนี้ลีกของไทยใช้เวลาไม่ถึงสิบปี แซงเวียดนามกลับมาแล้ว และก้าวนำเวียดนามไปมาก ทั้งแง่ของการจัดการ รายได้ ความนิยม และจำนวนผู้ชมในสนาม
วอลเลย์บอล ตอนนี้ แม้เวียดนาม จะจีไทยมาติดๆ แต่ถ้าใครติดตามดูตลอดจะรู้ว่า การฝึกซ้อม การจัดการแข่งขันล้วนต่ำกว่ามาตรฐาน รายการระดับนานาชาติ กลับไม่มีอุปกรณ์ฟิตเนสสำหรับนักกีฬา (แน่นอนว่า แม้นักกีฬาทีมชาติเวียดนามเองก็ไม่มีครบตามมาตรฐาน) สภาพอุณหภูมิสนาม และตารางเวลาการแข่งขัน
การส่งแข่งขันไม่มีความต่อเนื่อง และเลือกส่งเฉพาะบางรายการเท่านั้น บางรายการในระดับชิงแชมป์เอเชีย และรายการระดับยุวชนก็ไม่ส่งแข่งขัน (อย่างเอเชียนเกมส์ที่ผ่านมาก็ไม่ส่งแข่งด้วยปัญหาด้านงบประมาณ) ในขณะที่ไทยส่งแข่งทุกรุ่นทุกระดับ
ด้านการศึกษา
ส่วนใหญ่นักศึกษาเวียดนามมาเรียนต่อในไทย มากกว่าไทยไปเรียนต่อเวียดนาม
สายงานอื่นผมอาจจะไม่ค่อยทราบมาก แต่ในสายงานของผม การเรียนการสอนทางด้านนี้ของไทย อยู่อันดับ 1 ใน 2 ของอาเซียนแน่นอน
มีโอกาสได้เป็นผู้ต้อนรับศาตราจารย์ท่านนึงจากมาเลเซียซึ่งเดินทางมาบรรยายทางวิชาการที่ไทย นั่งรถมากับท่านจากสุวรรณภูมิจนถึงหัวหิน ท่าบอกว่า สาขาเฉพาะทางของท่าน มีท่านคนเดียวในมหาวิทยาลัย และมีคนเวียดนามมาเทรนกับท่านด้วย ซึ่งท่านบอกเองว่า สาขานี้ ในไทยดีกว่ามาก และมีผู้เชียวชาญมากกว่า แต่ละสถาบันมีอย่างน้อยๆ 3-4 คนขึ้นไป (เป็นสาขาที่เพิ่งจะมีมาไม่นาน ไม่เกิน 20 ปีมานี้ที่มีการฝึกอบรมอย่างจริงจัง เพราะวิทยาการก้างหน้าขึ้น และสามารถทดแทนวิธีการเดิมๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ)
ผลงานทางวิชาการของไทยเยอะกว่า (แต่น้อยกว่าเกาหลีมาก ผู้เชี่ยวชาญของเกาหลีสาขานี้เยอะมากจริงๆ) และจากการประชุมในระดับนานาชาติ ทั้งที่เยอรมัน อังกฤษ จีน อเมริกาที่เคยไปร่วมมา จะมีผู้เชียวชาญชาวไทยได้รับเกียรติเป็นผู้บรรยายด้วยเสมอ (เป็นความภูมิใจของคนไทยด้วยกันมาก ถึงจะจบมาจากต่างสถาบันกันก็ตาม) แต่ไม่เคยเห็นผู้เชียวชาญจากเวียดนามเลย
ที่สำคัญ คือ เวียดนามเชิญผู้บรรยายชาวไทย ไปบรรยาย ไปสอนทุกปีมานานหลายปีติดต่อกันแล้ว
เรื่องการท่องเที่ยว ของเราติดอันดับ top 5 ของโลกไปแล้ว
ทั้งในแง่ของคุณภาพสถานที่ท่องเที่ยวและการบริการ
ข้อตกลงเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ที่ทั้งเวียดนามและมาเลเซียคาดหวังไว้มาก ก็มีแนวโน้มยกเลิกไปแล้ว
เพราะเหมือนโดนัลด์ ทรัมป์ จะให้สหรัฐถอนตัวจากข้อตกลง TPP
อุตสาหกรรมบันเทิง
ละครและภาพยนตร์ไทย หลายๆเรื่องเป็นที่นิยมในเวียดนาม แต่ตรงกันข้ามไม่เคยเห็นละคร หรือ ภาพยนต์เวียดนามนำมาเผยแพร่ในไทยเลย
และไม่ใช่แค่ในเวียดนาม กระแสละครไทย โด่งดังทั้งในลาว กัมพูชา พม่าและจีน จนถึงขั้นที่ผู้ผลิตของกัมพูชาต้องร้องขอให้ทางรัฐบาลช่วยเหลือเนื่องจากถูกละครไทยตีตลาดไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งผู้ชมได้
ภาพยนตร์ไทยหลายๆเรื่องก็เป็นที่นิยมในฟิลิปปินส์อินโดนีเซีย
สุดท้าย ถ้าจะว่ากันเรื่องของอนาคต เวียดนามจะมีโอกาสแซงไทยไหม ก็คงมีโอกาสแหละครับ
แต่คาดว่าคงไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้ 30-40 ปีนี้แน่ๆ ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นผมคงตายจากโลกไปแล้ว
ได้แต่หวังว่าคนรุ่นหลังที่ทั้งเก่งและดี จะร่วมมือกันพัฒนาประเทศชาติต่อไป
ส่วนที่ทะเลาะกัน เราคงห้ามเขาไม่ได้ ได้แต่หวังให้เลิกตีกันสักที
แต่คนดีๆที่เขายังทำงานอยู่ ยังหวังพัฒนาวงการของตัวเองและประเทศชาติก็ยังมีอยู่
เช่นในสายงานของผม ไทยเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำ Asean journal และมีตีพิมพ์ออกมาแล้ว
ดึงการประชุมวิชาการในระดับนานาชาติมาจัดประชุมในไทยได้ และบางงานเราได้จัดเป็นชาติแรกของอาเซียน
เป็นคนริเริ่มจัดการประชุมวิขาการอาเซียน
แม้จะเป็นแค่จุดเล็กๆ แต่อย่างน้อยก็พยายามผลักดันตัวเอง เปิดตัวเองในระดับนานาชาติ พยายามที่จะเป็นผู้นำวิชาการในภูมิภาพนี้มากขึ้น ดึงระดับผู้นำและอาจารย์ในสาขาวิชานี้ให้มาเปิดหูเปิดตากับประเทศไทย
ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่เข้ามาแสดงความเห็นครับ