เล่าเรื่องเมื่อผมเกิด ไขมันอุดตันในเส้นเลือดสมองแบบเฉียบพลัน (Stroke)
ผ่านมา 6 ปี แล้ว ซึ่งหมายความว่าผมหมดจากผลข้างเคียง ที่เกิด Stroke ครั้งนั้นแล้ว เพียงเกิด Stroke ครั้งเดียวก็เกิดผลข้างเคียงไปถึง 4 ปีที่เดียว ซึ่งมีเพียงไม่ถึง 20 % ที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลันแล้ว ไม่ตาย ไม่เป็นอัมพาต ไม่เป็นอัมพฤต แบบผม.
เมื่อเช้าของวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2554 ผมตื่นมาก็สดชื่นตัวเบาดี และผมก็ต้องไปส่งลูกชายไปเรียนพิเศษตั้งแต่เช้า ขับรถไปส่งลูกชายและก็ขับกลับบ้าน จะไปรับเขาอีกที่ก็เที่ยง ระยะทางแค่ 6-7 กิโลเมตรจากบ้าน
กลับถึงบ้านรู้สึกอากาศดี ได้ทักทายกับเพื่อนบ้าน เปิดประตูรั้วเข้าบ้านจึงเดินแวะไปดูต้นไม้และ หนูที่เลี้ยงไว้ แล้วเดินไปเพื่อจะเปิดประตูเลื่อนมุ้งลวด แต่ขณะเดินเกือบจะถึง เกิดอาการเซประกองตัวไม่ได้ในทันที่ทันใด สติสัมปชัญญะก็รู้ทันในปัจจุบันในทันที่เช่นกัน เพียงวินาทีนั้น ก็รู้ว่าต้องล้มทั้งยืนขณะเดินแบบขม้ำหน้าหัวกระแทกพื้นปูน ไปทางทิศทางที่กำลังเดินแน่นอน
จึงใช้แรงที่ยังพอบังคับร่างกายได้ ที่มันไหลไปตามทิศทางที่เดินนั้น เบี่ยงตัวพลิกหันหลังไปทางตามทิศทางแรงที่มันไหลไป หันหลังพิงประตูบ้านที่ยังร็อกอยู่ได้พอดี แล้วเกร็งขาไว้ ไม่ให้มันทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้มันทรุดตัวลงอย่างช้าๆ แต่ก็หมดสิ้นสติ ก่อนก้นถึงพื้น
ก็จะเกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมในช่วงไม่กี่วินาที สติสัมปชัญญะผมดีมากรู้ทันจนจัดการทุกอย่างได้อย่างพอดิบพอดี และใช้ได้ทันในเพียงไม่กี่วินาที่นั้น สิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นการที่ผมได้ฝึกเจริญสติสัมปชัญญะมาตั้งแต่วัยเด็กแล้วนั้นเอง. จะเล่าให้ฟัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ โดยปกติผมเป็นนักปฏิบัติธรรม เจริญสติ หรือฝึกสติ หรือกำหนดสติ อยู่ตลอดเนื่องๆ ตั้งแต่แต่ผมเกิดปิ้งไอเดียร ขึ้นมาเองตอนวัยเด็ก ป.3 เพราะผมเรียนไม่เก่ง แต่ได้นั่งคู่กับเด็กเก่งสุดของโรงเรียน ส่วนผมท่องจำอะไรไม่เคยได้เลย แต่อยากเก่งเหมือนเขา และเผลอใจลอยในห้องเรียนบ่อย ไม่คอยรู้เรื่องที่ครูสอน จึงเกิดจุดเริ่มขึ้นดังนี้
เรื่องมีอยู่ว่าขณะที่กำลังเรียนวิชา คณิตศาสตร์ อยู่ ผมก็เริ่มเผลอ มองไปทางหน้าต่างของห้อง เห็นก่อไผ่ ที่ใบกำลังไหวเพราะต้องลม ใจผมจึงลอยไปเรื่อยพักหนึ่ง พอรู้สึกตัวก็ อาว... เราเผลอใจลอยอีกแล้วนี้ จึงตั้งปฏิญาณตนตั้งแต่นั้นว่า ไม่ให้ตัวเองใจลอยอีก เมื่อใจลอยจะรีบดึงกลับมาให้เร็วที่สุด และต้องรู้ทันทีว่าขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และก่อนหน้านี้เราทำอะไรไปบ้างแล้ว
ออ. ตอนเด็กนั้นยังไม่รู้คำว่า สติ นั้นคืออะไร
หลังจากนั้นการเผลอใจลอยก็จะน้อยลง จนหมดไป และผลการเรียนก็เก่งขึ้นไปตามลำดับ จนเป็นที่ 2 ของห้องแพ้คนที่ 1 ของโรงเรียน(เขาเป็นลูกครู ทั้งพ่อและแม่) จนถึง ป.7
ดังนั้นผมฝึกสติเองตั้งแต่วัยเด็กแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่านั้นแหละคือการฝึกสติ.
แล้วผมก็ฝังใจเป็นคติของตนเอง ตั้งแต่เด็กด้วยความเรียนเก่งขึ้นว่า ผมต้องการมีความรู้และปัญญา แม้จะเอาเงินและทองเป็นล้านมากองตรงหน้าผมก็ไม่เอา ผมยอมเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อปัญญาและความรู้ ซึ่งสิ่งทดสอบกับคติที่ผมฝังไว้ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อพ่อกับแม่ผมได้เอาเงินและทองมูลค่าเกือบล้าน ให้ผมดูจริงๆ เพื่อให้ผมตัดใจที่อยากเรียนต่อในชั้นมัธยม เพราะพ่อบังคับไม่ให้ผมเรียนต่อ ด้วยเพราะยังไม่ได้สัญญาชาติไทย เรียนไปก็มีแต่เสียเวลาเปล่า หันมาหัดเรียนวิชาหากินกับพ่อดีกว่า.
ผมจึงต้องต่อสู้อย่างทุกข์ และเครียดกดดันในชีวิตอย่างแสนสาหัส ที่ต้องต่อสู้กับพ่อของตนเองและกฎหมาย(เพราะยังไม่ได้รับสัญชาติไทยในตอนนั้น และไม่มีสิทธิ์เรียนในระดับอุดมศึกษา) มองไปตามประสาเด็กแล้ว ก็ไม่มีมนุษย์คนไหนช่วยได้เลย ผมจึงยกเอาพระพุทธเจ้านั้นเหละ เป็นที่พึ่งที่อาศัย เพราะพี่ชายคนโตที่เรียนเก่งก็บ้าไปแล้วหนึ่งคนตอนย่างเข้าวัยหนุ่ม เมื่อโดนพ่อบังคับไม่ให้เรียนต่อ แต่ผมมีหลักยึดทางจิตใจอยู่ คือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึงที่ระลึก แล้วฝึกนั่งสมาธิด้วยตนเองตามประสาเด็ก ผมก็หยุดเรียนไป 1 ปีเมื่อจบชั้นปฐมปลาย หัดซ่อมจักรยาน ลับมีด ซ่อมวิทยุ และขายของชำ เป็นเวลา 1 ปี.
แล้วผมก็ต่อสู้มาจนได้เรียนต่อในชั้นมัธยมในปีถัดมา ก็เรียนดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งพัฒนาการปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยตามตำราปฏิบัติธรรมที่หาอ่านได้ในห้องสมุดของโรงเรียน.
แล้วผมก็สอบเอ็นทรานซ์ ติด ม.สงขลานครินทร์ คณะวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้เรียนเพราะไม่มีสิทธิ์เรียนในระดับอุดมศึกษา ต้องหยุดเรียนไปอีก 1 ปี หัดซ่อมรถจักรยานยนตร์ และทำสีรถยนต์
ผมต้องต่อสู้กับพ่อตัวเองและกฎหมายทั้งสองด้าน แล้วผมก็ได้เพียงได้ใบสอบถามทางกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ผมก็รีบเอาไปสมัครเรียนต่อมหาลัยทันที เพราะรู้อยู่แล้วว่า คงไม่ได้ใบอนุญาตแน่ เพราะพ่อไม่ยอมและขัดขวางผมทุกวิธีทาง
ตอนสมัครเรียนเรื่องต้องถึงท่าน ผอ. สวป. ของมหาลัยรามคำแห่ง ท่านใจดีจึงให้เรียนไปก่อน 1 ปี แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาเต็มตัวเหมือนคนอื่นๆ. (เคยไปตรวจรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือก สภานักศึกษา หรือประธานนักศึกษา ไม่เคยมีรายชื่อสักครั้ง)
แต่ผมไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้เรียนต่อระดับอุดุมศึกษาจากทางกระทรวงมหาดไทยอีกเลย และผมก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเรียนให้จบภายใน 3 ปี เพื่อบรรเทาไม่ให้แม่ทุกข์หนักยิ่งกว่านี้ เพราะโดนพ่อปลุกแม่ขึ้นมาทุกเช้ามืด แล้วนั่งด่าแม่ เรื่องของผมทุกวัน จนพี่ชายอีกคนทนไม่ไหว มาขอร้องให้ผมหยุดเรียน ผมจึงขอร้องกับพี่ไว้ว่า น้องขอเวลาอีก 2 ปี น้องจะเรียนให้จบภายใน 3 ปี พี่จึงต้องจำยอม.
แต่ผมได้เงินจากแม่เพียงเดือนละ 800 บาทเอง กินก็ไม่ได้อิ่มท้องเลย แถมได้รับความกดดันจนเครียดทุกด้าน และสุขภาพก็เริ่มมีปัญหาจากโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ เจ็บปวดข้อมือบวมแดงทรมานถึงกระดู ยกเว้นหลับก็จะไม่รู้สึกปวด แต่พอรู้สึกตัวตื่นก็ปวดทรมานต่อเป็นเวลา 3- 7 วัน ผมต้องอาศัยกำหนดกรรมฐาน พุทธ- โธ หรือ อานาปานาสติ อยู่เนืองๆ เมื่อนึกขึ้นได้ จนสติหรือความรู้สึกไปเด่นชัดที่จมูกตลอดเนื่องๆ แต่ก็ยังรักษาจิตใจไม่ค่อยอยู่ อย่างนี้ไม่บ้า ก็บ้าแล้ว
จึงรู้ตัวว่าถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ผมต้องบ้าแน่ ผมจึงต้องหาทางรักษาจิตใจไว้ไม่ให้บ้าไปเสียก่อน ก็คิดว่าต้องอาศัยอ่านศึกษาพระธรรม ในหอสมุดมหาลัย เพื่อบรรเทาอีกทางหนึ่ง เพราะจิตใจสงบ จากที่อมทุกข์ก็พอทำให้มันจางไปบ้าง ด้วยเกิดปีติเล็กๆ น้อย จึงให้เวลาอ่านศึกษาธรรมพอๆ กับการเรียนวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ จนสอบเทอมสุดท้ายที่รู้ตนเองจบแน่ๆ เพราะแต่วิชาเลือกเสรี ในเวลา 3 ปีพอดี
แต่จิตใจผมย้ำแย่มาก และอาจจะไม่ได้รับปริญญาเพราะหลักฐานผมนั้นไม่สมบูรณ์นั้น ผมมีโอกาสค่อยๆ บ้าและเพี้ยนไปได้ เมื่อถึงจุดวิกฤตนั้น จึงได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม ในวัดที่เป็นรูปแบบชัดเจนทันที ที่เน้นในเรื่องการเจริญสติสัมปชัญญะ ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์.
ผมปฏิบัติธรรมยิ่ง เอาชีวิตเข้าแลก ต้องประสบทุกข์วนเวียนอีกมากมายเข้ามาหา ในช่วงเวลา 4-5 เดือน จนผมปฏิบัติอย่างยิ่งยวดยิ่ง มีสติสัมปชัญญะฉับไวชัดเจนยิ่ง จนพ้นไปได้ เกิดปัญญาญาณ พร้อมทั้งรู้ตัวขึ้นมาเองทันที่ว่า เราจะไม่บ้าแบบพี่ชายคนโตอีกแล้ว ไม่ว่าจะโดนกดดันอย่างใด แม้จะไม่ได้รับปริญญา ด้วยอายุเพียง 23-24 ปี และก็ได้รับปริญญาตรีจากมหาลัยในภายหลังซึ่งรายชื่ออนุมัติล่าช้ากว่าคนอื่นๆ ไป 3 เดือน .
แต่สุขภาพร่างกายผมแย่มากๆ ท้องผูกอย่างหนัก ความเจ็บปวดทรมานที่ข้อมือบวมแข็งและอักเสบเจ็บทรมานจนถึงกระดูก ก็เป็นถี่ขึ้น จนเป็นเดือนละครั้ง
ซึ่งตั้งแต่นั้นมาผมก็ปฏิบัติธรรม ไม่เคยตกต่ำไปกว่านั้นอีกเลย แต่ชีวิตลำบากด้วยโรคและฐานะ ยาวนานไปอีก 10 ปี ผมเคยเจ็บปวดข้อและเส้นในตัวมากจนไข้ขึ้นเป็นประจำ จนถึงจุดวิกฤตคือถ้าไม่บรรเทาลงได้ ผมก็จะไม่สามารถไปทำงานได้ คือต้องออกจากงาน จนผมต้องงดกินเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด จึงบรรเทาลงพอทำให้ผมยืนหยัดทำงานกินเงินเดือนต่อไปได้ แบบแอบๆ ซ่อนๆ ต่อไป จนได้รับสัญชาติไทย
ก็คือกว่าจะตั้งตัวได้และได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ตามสิทธิ์ประกันสังคมอายุก็จะ 40 ปีแล้ว ระบบร่างกายผมเสียสมดุลไปมากแล้ว ทั้งโรครูมาต้อย + เก๊าส์(กรดยูริกในเลือนระดับ 9-10) ไขมันในเลือดสูง(ทั้งที่ตอนนั้นไม่ใช่คนอ้วน) ท้องผูก มาอย่างยาวนานเป็น สิบๆ ปี นั้นเอง ภายหลังผมได้รับยาลดปวดทรมานจากโรครูมาต้อย ผมกินถึง 5-6 ปี จนมีผลต่อตา ที่ตาจะบอดได้ หมอจึงให้งดกินยานั้น
โอ. ผมนึกถึงสภาพการเจ็บปวดทรมานที่ผ่านมาแล้ว ท้อและมืดมนจริง จึงแสวงหายาทางเลือกเพื่อบรรเทา ก็ได้น้ำลูกยอนี้แหละช่วยบรรเทาได้พอๆ กับยาเก่าที่กินประจำนั้น แล้วภายหลังผมจึง ไม่ไปรับยาลดไขมัน ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 2 ปีกว่า จนลวงมาถึงเรื่องที่เล่าที่เกิด Stroke.
ร่างนั่งกองหมดสติไปนานเท่าใด ผมก็ไม่สามารถประมาณทราบได้ แต่เมื่อพื้นมีความรู้สึกขึ้นมาก็รู้เพียงแต่รู้แบบผัก รู้แบบนึกคิดอะไรไม่ได้ ไปพักใหญ่ จึงค่อยจะเริ่มนึกคิดได้ แต่คิดอะไรไม่ออก จึงค่อยรู้ว่าเป็นตัวเรา ที่เป็นเพียงความรู้สึก
เมื่อรู้สึกว่าตัวเราชัดขึ้น แต่อยู่ในที่มืดไม่เกิดสัมผัสอะไร จึงรู้สึกว่าจะไปขยับลิ้นก็ไม่ได้เหมือนโดนกดและปิดไว้ไม่สามารถไปรับรู้ที่ลิ้นได้ จะเปิดตาก็ไม่ได้ จะไปรู้สึกที่ร่างกายอื่นๆ ก็ไม่ได้
แล้วความรู้สึกนึกคิดก็เริ่มนึกคิดได้ปกติ จึงน้อมมาที่ใจ ให้สงบไม่ให้ตกใจ จนดิ้นรนผวากลัวอย่างรนราน จึงจัดลำดับความคิดไปตามลำดับ ลองขยับปากก็ไม่ทำงานลองขยับลิ้นก็ไม่ได้ ตาเริ่มมองเห็นข้างนอกแบบสะรั่วๆ
ลองขยับขาก็ไม่ได้ จึงลองขยับแขนขวาก็ไม่ได้ จึงไปลองขยับแขนซ้าย ก็ยับได้นิดๆ หน่อยๆ แบบไม่มีแรง และลิ้นก็พอยกขึ้นได้แต่แข็งกระดกไม่ได้ ปากก็รู้สึกชัดขึ้นยังเปิดออกไม่ได้ แล้วความคิดก็คิดว่า เราจะทำอย่างไรให้คนเขารู้ว่า เรานั่งกองอยู่ตรงนี้.
ก็ต้องขยับแขนซ้ายให้ได้และเหวี่ยง ไปข้างหลังให้ไปโดนประตูมีเสียงดัง แต่ควบคุมใจไม่ให้ร้อนและลนราน เหวี่ยงแขนไปอย่างนั้น ปากก็ให้มันเปิดให้ได้ ลิ้นก็กระดกให้ออกเสียงได้ จนแรงมันค่อยเพิ่มขึ้น จนเหวี่ยงกระทบประตูพอมีเสียงดัง ปากและลิ้นก็เริ่มออกเสียงได้ ออ. แอ้ ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่สามารถออกเป็นภาษาพูดดังใจได้
จนมีคนได้ยินและเข้ามาช่วยเหลือ ขณะนำส่งโรงพยาบาลผมก็เริ่มกำหนดภาวนาในใจทันที นำส่งโรงพยาบาล และก็ได้รับการรักษาตามขั้นตอนของทางโรงพยาล และเข้าไปอยู่ในห้องไอชียู มีสายระโยงหลายจุด กับเครื่องวัด.
ผมเป็นอัมพฤตซีกขวา เป็นเวลา 24 ชั่วโมง รุ่งวันใหม่เมื่อพอลุกขึ้นนั่งได้ ผมก็เริ่มนั่งกำหนดกรรมฐาน ไม่อายหมอหรือพยาบาลแล้ว เพราะได้รับรู้ทุกข์ได้เห็นสภาวะอันบอบบางของร่างกายสังขารชัดเจนแล้ว จึงได้ตั้งใจกำหนดกรรมฐานอย่างระเอียดอ่อนประณีตยิ่ง ขณะที่อยู่ในห้องไอชียู 3 วัน 3 คืน นั้น.
จนออกจากห้องไอชียูในคืนแรกปัญญาญานก็ข้ามพ้นอีกครั้ง ทำให้กามเมถุนบรรเทาไม่ต้องทุกข์แบบเก่าเดิมๆ อีกแล้ว.
แต่อาการของโรคนั้นผมเดินได้เพียง 10 ก้าว ที่หัวผมต้องตั้งตรงหันหัวเร็วไม่ได้ ก็ไม่ไหวแล้ว มันโคลงแครง วูบๆ เว่อ ไปต่อแทบไม่ได้ จนเจ้าหน้าที่ประกันสังคมเข้ามาเยี่ยมบอกว่า อย่าปล่อยให้ตัวเองล้มอีกเด็ดขาด ไม่ต้องฝืนไม่ไหวก็ให้นั่งลง คลานไปยังดีกว่า เกิดล้มฟาดพื้นแล้วเส้นเลือดสมองแตกได้ จะหนักยิ่งกว่านี้ และอธิบายอาการของผู้ป่วยรายอื่นที่มีผลภายหลังให้ทราบ ว่าจะเกิดอย่างนั้นๆ หลายแบบให้ทราบไว้ก่อน ผมก็รับฟังอย่างดี.
ผมอยู่โรงพยาบาล 8 วัน จึงยังไม่โดนการสัมผัสจากภายนอกจึงไม่รู้ขอบเขตสภาวะโรคที่เป็นอย่างไร เพียงแต่รู้ว่า ตนเองเดินได้ 10 กว่าก้าวก็ไม่ไหวแล้ว นั่งนานๆ มากกว่า ครึ่งชั่วโมงก็ไม่ไหวแล้ว แต่ก็ต้องออกจากโรงพยาบาล โดยหมอให้พักฟื้นที่บ้านเป็นเวลา 20 วัน
เล่าเรื่องเมื่อผมเกิด ไขมันอุดตันในเส้นเลือดสมองแบบเฉียบพลัน (Stroke)
ผ่านมา 6 ปี แล้ว ซึ่งหมายความว่าผมหมดจากผลข้างเคียง ที่เกิด Stroke ครั้งนั้นแล้ว เพียงเกิด Stroke ครั้งเดียวก็เกิดผลข้างเคียงไปถึง 4 ปีที่เดียว ซึ่งมีเพียงไม่ถึง 20 % ที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลันแล้ว ไม่ตาย ไม่เป็นอัมพาต ไม่เป็นอัมพฤต แบบผม.
เมื่อเช้าของวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2554 ผมตื่นมาก็สดชื่นตัวเบาดี และผมก็ต้องไปส่งลูกชายไปเรียนพิเศษตั้งแต่เช้า ขับรถไปส่งลูกชายและก็ขับกลับบ้าน จะไปรับเขาอีกที่ก็เที่ยง ระยะทางแค่ 6-7 กิโลเมตรจากบ้าน
กลับถึงบ้านรู้สึกอากาศดี ได้ทักทายกับเพื่อนบ้าน เปิดประตูรั้วเข้าบ้านจึงเดินแวะไปดูต้นไม้และ หนูที่เลี้ยงไว้ แล้วเดินไปเพื่อจะเปิดประตูเลื่อนมุ้งลวด แต่ขณะเดินเกือบจะถึง เกิดอาการเซประกองตัวไม่ได้ในทันที่ทันใด สติสัมปชัญญะก็รู้ทันในปัจจุบันในทันที่เช่นกัน เพียงวินาทีนั้น ก็รู้ว่าต้องล้มทั้งยืนขณะเดินแบบขม้ำหน้าหัวกระแทกพื้นปูน ไปทางทิศทางที่กำลังเดินแน่นอน
จึงใช้แรงที่ยังพอบังคับร่างกายได้ ที่มันไหลไปตามทิศทางที่เดินนั้น เบี่ยงตัวพลิกหันหลังไปทางตามทิศทางแรงที่มันไหลไป หันหลังพิงประตูบ้านที่ยังร็อกอยู่ได้พอดี แล้วเกร็งขาไว้ ไม่ให้มันทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้มันทรุดตัวลงอย่างช้าๆ แต่ก็หมดสิ้นสติ ก่อนก้นถึงพื้น
ก็จะเกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมในช่วงไม่กี่วินาที สติสัมปชัญญะผมดีมากรู้ทันจนจัดการทุกอย่างได้อย่างพอดิบพอดี และใช้ได้ทันในเพียงไม่กี่วินาที่นั้น สิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นการที่ผมได้ฝึกเจริญสติสัมปชัญญะมาตั้งแต่วัยเด็กแล้วนั้นเอง. จะเล่าให้ฟัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ร่างนั่งกองหมดสติไปนานเท่าใด ผมก็ไม่สามารถประมาณทราบได้ แต่เมื่อพื้นมีความรู้สึกขึ้นมาก็รู้เพียงแต่รู้แบบผัก รู้แบบนึกคิดอะไรไม่ได้ ไปพักใหญ่ จึงค่อยจะเริ่มนึกคิดได้ แต่คิดอะไรไม่ออก จึงค่อยรู้ว่าเป็นตัวเรา ที่เป็นเพียงความรู้สึก
เมื่อรู้สึกว่าตัวเราชัดขึ้น แต่อยู่ในที่มืดไม่เกิดสัมผัสอะไร จึงรู้สึกว่าจะไปขยับลิ้นก็ไม่ได้เหมือนโดนกดและปิดไว้ไม่สามารถไปรับรู้ที่ลิ้นได้ จะเปิดตาก็ไม่ได้ จะไปรู้สึกที่ร่างกายอื่นๆ ก็ไม่ได้
แล้วความรู้สึกนึกคิดก็เริ่มนึกคิดได้ปกติ จึงน้อมมาที่ใจ ให้สงบไม่ให้ตกใจ จนดิ้นรนผวากลัวอย่างรนราน จึงจัดลำดับความคิดไปตามลำดับ ลองขยับปากก็ไม่ทำงานลองขยับลิ้นก็ไม่ได้ ตาเริ่มมองเห็นข้างนอกแบบสะรั่วๆ
ลองขยับขาก็ไม่ได้ จึงลองขยับแขนขวาก็ไม่ได้ จึงไปลองขยับแขนซ้าย ก็ยับได้นิดๆ หน่อยๆ แบบไม่มีแรง และลิ้นก็พอยกขึ้นได้แต่แข็งกระดกไม่ได้ ปากก็รู้สึกชัดขึ้นยังเปิดออกไม่ได้ แล้วความคิดก็คิดว่า เราจะทำอย่างไรให้คนเขารู้ว่า เรานั่งกองอยู่ตรงนี้.
ก็ต้องขยับแขนซ้ายให้ได้และเหวี่ยง ไปข้างหลังให้ไปโดนประตูมีเสียงดัง แต่ควบคุมใจไม่ให้ร้อนและลนราน เหวี่ยงแขนไปอย่างนั้น ปากก็ให้มันเปิดให้ได้ ลิ้นก็กระดกให้ออกเสียงได้ จนแรงมันค่อยเพิ่มขึ้น จนเหวี่ยงกระทบประตูพอมีเสียงดัง ปากและลิ้นก็เริ่มออกเสียงได้ ออ. แอ้ ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่สามารถออกเป็นภาษาพูดดังใจได้
จนมีคนได้ยินและเข้ามาช่วยเหลือ ขณะนำส่งโรงพยาบาลผมก็เริ่มกำหนดภาวนาในใจทันที นำส่งโรงพยาบาล และก็ได้รับการรักษาตามขั้นตอนของทางโรงพยาล และเข้าไปอยู่ในห้องไอชียู มีสายระโยงหลายจุด กับเครื่องวัด.
ผมเป็นอัมพฤตซีกขวา เป็นเวลา 24 ชั่วโมง รุ่งวันใหม่เมื่อพอลุกขึ้นนั่งได้ ผมก็เริ่มนั่งกำหนดกรรมฐาน ไม่อายหมอหรือพยาบาลแล้ว เพราะได้รับรู้ทุกข์ได้เห็นสภาวะอันบอบบางของร่างกายสังขารชัดเจนแล้ว จึงได้ตั้งใจกำหนดกรรมฐานอย่างระเอียดอ่อนประณีตยิ่ง ขณะที่อยู่ในห้องไอชียู 3 วัน 3 คืน นั้น.
จนออกจากห้องไอชียูในคืนแรกปัญญาญานก็ข้ามพ้นอีกครั้ง ทำให้กามเมถุนบรรเทาไม่ต้องทุกข์แบบเก่าเดิมๆ อีกแล้ว.
แต่อาการของโรคนั้นผมเดินได้เพียง 10 ก้าว ที่หัวผมต้องตั้งตรงหันหัวเร็วไม่ได้ ก็ไม่ไหวแล้ว มันโคลงแครง วูบๆ เว่อ ไปต่อแทบไม่ได้ จนเจ้าหน้าที่ประกันสังคมเข้ามาเยี่ยมบอกว่า อย่าปล่อยให้ตัวเองล้มอีกเด็ดขาด ไม่ต้องฝืนไม่ไหวก็ให้นั่งลง คลานไปยังดีกว่า เกิดล้มฟาดพื้นแล้วเส้นเลือดสมองแตกได้ จะหนักยิ่งกว่านี้ และอธิบายอาการของผู้ป่วยรายอื่นที่มีผลภายหลังให้ทราบ ว่าจะเกิดอย่างนั้นๆ หลายแบบให้ทราบไว้ก่อน ผมก็รับฟังอย่างดี.
ผมอยู่โรงพยาบาล 8 วัน จึงยังไม่โดนการสัมผัสจากภายนอกจึงไม่รู้ขอบเขตสภาวะโรคที่เป็นอย่างไร เพียงแต่รู้ว่า ตนเองเดินได้ 10 กว่าก้าวก็ไม่ไหวแล้ว นั่งนานๆ มากกว่า ครึ่งชั่วโมงก็ไม่ไหวแล้ว แต่ก็ต้องออกจากโรงพยาบาล โดยหมอให้พักฟื้นที่บ้านเป็นเวลา 20 วัน