http://www.matichon.co.th/news/469767 ข่าวจากมติชน แบงก์สกรีนสินเชื่อ SMEs ไซซ์เล็ก
สัญญาณเตือนภัยเศรษฐกิจ เริ่มดังถึ่ และดังกังวาลขึ้นเรือย ๆ แล้วครับ ในระบบเศรษฐกิจนั้น นกรู้ที่สุดว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ดีจริง หรือ แย่จริง ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ธนาคาร เนี่ยแหละครับ จากข่าวด้านบน สะท้อนให้เห็นได้ชัดเลยว่า สถานะของ SME ที่มียอดขายต่ำกว่า 10 ล้าน เริ่มร่อแร่ขึ้นเรื่อย ๆ (จริง ๆ ไม่อยากให้เรียกว่า SME เลยนะครับ น่าจะเรียกว่า กลุ่มหาเช้า กินค่ำมากกว่า เพราะมียอดขายต่อปีน้อยมาก) และเกรงว่าขณะนี้น่าจะลามมาถึง SME ไซด์ต่อไป ที่มียอดขายไม่เกิน 50 ล้านต่อปีแล้ว
เนื่องจากเศรษฐกิจ คงยังไม่ฟื้นภายใน 3 ปีนี้ (จากการคาดการณ์ของ World Bank) คาดดว่าผลกระทบและความยากลำบากก็จะค่อย ๆ ลามขึ้นสู่ด้านบนขึ้นเรื่อย ๆ การคาดหวังว่าหากมีเลือกตั้งเร็ว และเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเร็ว ก็คงไม่มีหวังอย่างแน่นอน เพราะยิ่งนานวันไปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ยิ่งถูกปรับให้กลุ่มทุนใหญ่ ๆ ได้เปรียบขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังมีการเปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยีด้าน e-commerce และ prompt pay เข้ามาด้วยแล้ว พวกที่ซื้อมา ขายไป โดยไม่มีการเพิ่มมูลค่าจะยิ่งลำบาก และจะล้มหายตายจากไปเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก
สัญญาณล่าสุดที่ประสพกับตัวเองคือ
1.) ลูกค้าเลื่อนเช็คบ้าง เด้งบ้าง เริ่มมีให้เห็นถึ่ขึ้น
2.) ประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่ม มีคนมาสมัครเพิ่มขึ้น และเร็วขึ้น
3.) วัตถุดิบต่าง ๆ ไม่กล้าปรับราคา ถึงแม้ว่าราคาตลาดโลกจะเพิ่มขึ้น
4.) การแข่งขันด้านราคา คุณภาพ และบริการเพิ่มมากขึ้น ถึงขั้นสูงสุด
5.) ธนาคารเรียกเอกสาร สำหรับการปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้น และพิจารณาละเอียดขึ้น
อย่างไรก็ดี มันก็ถือเป็นโอกาสด้วย ในการปรับประสิทธิภาพของพนักงาน ปรับระบบ supply chain ปรับลดภาระดอกเบี้ย (เพราะธนาคาร ก็ต้องแข่งขันการหาลูกค้ามากขึ้นด้วย)
แต่ถึงจะมีโอกาสอยู่ด้วย ก็ไม่เท่ากับการมีวิกฤต บอกได้เลยว่ารอบนี้ใครเตรียมตัวไม่ดี มีหวังล่องจุ้น แต่หากเตรียมการเอาไว้ดีและสามารถผ่านช่วงนี้ไปได้ ความมั่งคั่งก็รออยู่ตรงหน้าประตูแค่นั้น
หากทุกคนมั่งคั่ง ผมก็จะได้มั่งคั่งไปด้วย
สัญญาณเตือนภัยธุรกิจ เริ่มตังขึ้นเรื่อย ๆ
สัญญาณเตือนภัยเศรษฐกิจ เริ่มดังถึ่ และดังกังวาลขึ้นเรือย ๆ แล้วครับ ในระบบเศรษฐกิจนั้น นกรู้ที่สุดว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ดีจริง หรือ แย่จริง ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ธนาคาร เนี่ยแหละครับ จากข่าวด้านบน สะท้อนให้เห็นได้ชัดเลยว่า สถานะของ SME ที่มียอดขายต่ำกว่า 10 ล้าน เริ่มร่อแร่ขึ้นเรื่อย ๆ (จริง ๆ ไม่อยากให้เรียกว่า SME เลยนะครับ น่าจะเรียกว่า กลุ่มหาเช้า กินค่ำมากกว่า เพราะมียอดขายต่อปีน้อยมาก) และเกรงว่าขณะนี้น่าจะลามมาถึง SME ไซด์ต่อไป ที่มียอดขายไม่เกิน 50 ล้านต่อปีแล้ว
เนื่องจากเศรษฐกิจ คงยังไม่ฟื้นภายใน 3 ปีนี้ (จากการคาดการณ์ของ World Bank) คาดดว่าผลกระทบและความยากลำบากก็จะค่อย ๆ ลามขึ้นสู่ด้านบนขึ้นเรื่อย ๆ การคาดหวังว่าหากมีเลือกตั้งเร็ว และเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเร็ว ก็คงไม่มีหวังอย่างแน่นอน เพราะยิ่งนานวันไปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ยิ่งถูกปรับให้กลุ่มทุนใหญ่ ๆ ได้เปรียบขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังมีการเปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยีด้าน e-commerce และ prompt pay เข้ามาด้วยแล้ว พวกที่ซื้อมา ขายไป โดยไม่มีการเพิ่มมูลค่าจะยิ่งลำบาก และจะล้มหายตายจากไปเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก
สัญญาณล่าสุดที่ประสพกับตัวเองคือ
1.) ลูกค้าเลื่อนเช็คบ้าง เด้งบ้าง เริ่มมีให้เห็นถึ่ขึ้น
2.) ประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่ม มีคนมาสมัครเพิ่มขึ้น และเร็วขึ้น
3.) วัตถุดิบต่าง ๆ ไม่กล้าปรับราคา ถึงแม้ว่าราคาตลาดโลกจะเพิ่มขึ้น
4.) การแข่งขันด้านราคา คุณภาพ และบริการเพิ่มมากขึ้น ถึงขั้นสูงสุด
5.) ธนาคารเรียกเอกสาร สำหรับการปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้น และพิจารณาละเอียดขึ้น
อย่างไรก็ดี มันก็ถือเป็นโอกาสด้วย ในการปรับประสิทธิภาพของพนักงาน ปรับระบบ supply chain ปรับลดภาระดอกเบี้ย (เพราะธนาคาร ก็ต้องแข่งขันการหาลูกค้ามากขึ้นด้วย)
แต่ถึงจะมีโอกาสอยู่ด้วย ก็ไม่เท่ากับการมีวิกฤต บอกได้เลยว่ารอบนี้ใครเตรียมตัวไม่ดี มีหวังล่องจุ้น แต่หากเตรียมการเอาไว้ดีและสามารถผ่านช่วงนี้ไปได้ ความมั่งคั่งก็รออยู่ตรงหน้าประตูแค่นั้น
หากทุกคนมั่งคั่ง ผมก็จะได้มั่งคั่งไปด้วย