เนื่องจากวันหยุดยาว 3 วัน ไม่รู้จะไปไหน เผอิญนั่งเล่น Facebook เห็นข่าวรถไฟเพิ่มรอบไปเขื่อนป่าสักพอดี จังหวะนั้นคือยืนรอรถเมล์แถวสถานีรถไฟบางเขนพอดี เลยเดินพุ่งไปจองตั๋วเลยจ้า ในที่สุดๆก็ได้มา ตั๋วราคาคนละ 270 บาท รวมไป-กลับ
ถึงวันเดินทางไปถึงหัวลำโพงเช้ามากตั้งแต่ 6.30 น. เพราะรถไฟออก 7.10 นาที เนื่องจากเป็นวันหยุดคนเลยเยอะพอสมควร

เดินไปชานชาลาที่ 5 เศษ 3 ส่วน 4 ไม่ใช่ละ ชานชาลาที่ 5 นี่แหละ ขบวนที่ 921 ขบวนรถพิเศษนำเที่ยว "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์"
วันนี้มีตู้ทั้งหมด 14 ตู้เราได้ตู้ที่ 4 เดินจากปลายขบวนไปไกลเหมือนกัน แต่โชคดีตรงได้ที่นั่งตรงกลางตู้นี่แหละ


พอประมาณ 7 โมง 15 นาที รถไฟก็แล่นออกจากหัวลำโพง ช้าไป 5 นาที มันก็ต้องมีบ้างนะเลทตามรถไฟไทย

รถไฟจอดรับผู้โดยสารเรื่อยๆ ตั้งแต่สามเสน บางซื่อ บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง รังสิต จากนั้นก็แล่นไกลๆหน่อย จะหยุดอีกทีก็อยุธยา นั่งชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ พอเลยรังสิตวิวสวยมาก มีความเป็นธรรมชาติมาก

ระหว่างนั่งรถไฟจะมีเจ้าหน้าที่มาแจกกำหนดการและเล่นเกมส์แจกของเล็กๆน้อยๆ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า พอถึงสถานีอยุธยาจะให้พ่อค้าแม่ค้าขึ้นมาขายของ เผื่อใครยังไม่กินข้าวเช้า เนื่องจากรถไฟขบวนนี้จะไม่มีตู้เสบียง จากนั้นนั่งรับลมเย็นๆต่อไป


เวลาผ่านไปประมาณ 9 โมงกว่าๆเราก็ถึงสถานีอยุธยา เนื่องจากเรากินข้าวเช้ามาแล้ว แต่มีสายไหมมาขาย มาถึงอยุธยาทั้งทีเราก็ต้องกินสายไหมสิ 5555


จากนั้นรถไฟก็แล่นต่อเรื่อยๆ จนแวะรับผู้โดยสารที่สระบุรี แก่งคอย แก่งเสือเต้น พอผ่านแก่งเสือเต้น เราเริ่มเข้าสู่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เนื่องจากช่วงนี้ไม่ใช่หน้าที่ดอกทานตะวันจะออกดอก เราเลยไม่ได้เห็นทุ่งทานตะวันสีเหลืองอร่ามตา

รถไฟแล่นผ่านทางรถไฟลอยน้ำ แวบแรกที่เห็นด้วยตาคือสวยมาก แสงพระอาทิตย์กระทบกับน้ำ

แค่รถไฟแล่นผ่าน ไม่ใช่จุดชมวิว คนก็เริ่มยกกล้องขึ้นมาถ่ายแล้ว รวมถึงตัวเราด้วย55555



และแล้วขบวนรถก็มาจอดสนิทบริเวณทางโค้งจุดชมวิวรถไฟลอยน้ำ เจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่ามีเวลาที่จุดนี้ 30 นาที คนเริ่มลงจากขบวนรถ อื้อหือเพิ่งเห็นจำนวนคน คนเยอะมากจริงๆ

เนื่องจากคนเยอะเราเลยไม่ได้เดินไปถ่ายถึงหัว ถ่ายจากตู้ที่ 4 ก็พอ



พอครบ 30 นาที เสียงหวูดรถไฟให้สัญญาณนักท่องเที่ยวกลับขึ้นสู่ขบวนรถไฟ จากนั้นก็แล่นอย่างเร็วไปที่สถานีรถไฟโคกสลุงเพื่อเปลี่ยนหัวรถจักร


จากนั้นรถก็แล่นกลับ ระหว่างแล่นกลับก็ถ่ายรูปวิวข้างทางไป


แนะนำว่าตอนจองตั๋วให้นั่งทางด้านขวามือ เพราะวิวน้ำจะไม่โดนบังด้วยสายไฟ
เวลาประมาณเที่ยงรถไฟก็มาจอดที่สถานีเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เป็นเขื่อนดินที่ยาวที่สุดในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ให้กรมชลประทานศึกษาความเหมาะสมของโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสักอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ ปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อประโยชน์ต่อพื้นที่เพาะปลูก และบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นประจำในลุ่มน้ำป่าสัก
ทุกคนจะมีเวลาที่นี่ 3 ชั่วโมง โดยรถไฟจะกลับมาจอดอีกครั้งเวลาบ่าย 2 โมงครึ่ง

พอลงมาเราเริ่มหาข้าวเที่ยงกินก่อน ระหว่างทางก็มีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของมากมาย เราเดินมาจนถึงศูนย์อาหาร ศูนย์อาหารที่นี่ราคาไม่แพงและค่อนข้างมีอาหารหลากหลาย

หลังจากกินเสร็จเราเลยจะไปนั่งรถตัวหนอน ซึ่งคือรถรางชมเขื่อนนั้นแหละคนละ 25 บาท คนเยอะเหมือนกัน เราได้รถรอบบ่ายโมงครึ่ง ตรงซื้อตั๋วเข้าก็จะคอยประกาศว่า คนที่มากับการรถไฟ รอบไหนสามารถขึ้นได้บ้าง
ระหว่างรอขึ้นรถตัวหนอนเราเลยแวะไปที่พิพิธภัณฑ์ปลาน้ำจืด พิพิธภัณฑ์ที่นี่ค่อนข้างเล็กเหมือนบ้านชั้นเดียว ที่นี่แสดงปลาน้ำจืดในไทย เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า กระเบนน้ำจืดก็มี

หลังจากชมปลาน้ำจืดเสร็จ ก็ออกมาไปเดินงาน OTOP ริมเขื่อนก็มีคนมาปูเสื่อนั่งปิคนิกรับลมเย็นๆ ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน
ที่งาน OTOP ก็มีขนม อาหาร ของฝาก มากมายให้เลือกชิม เลือกซื้อกัน

ที่นี่มีจุดชมวิว 360 องศาด้วยแต่เสียดายปิดปรับปรุงอยู่

และแล้วก็ถึงเวลานั่งชมวิวเขื่อน โดยจะใช้เวลาทั้งหมด 50 นาทีในแต่ละรอบ


นั่งไปลมๆพัดไป ชิวดี สังเกตุว่า ตอนผ่านเขื่อนบริเวณน้ำเนี่ยอากาศจะเย็นกว่านะ

อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นถนนสังเกตุได้ว่าสันเขื่อนถมมาสูงมาก สูงกว่าเสาไฟฟ้าอีก

นั่งไปท้ายเขื่อน รถจะจอดให้ไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล

จากนั้นก็นั่งรถลากจูงกลับเพื่อมาขึ้นรถไฟ นักท่องเที่ยวทยอยขึ้นสู่ขบวนรถไฟกลับกรุงเทพ และแล้วเวลาบ่าย 3 โมงตรง รถไฟก็ค่อยๆแล่นออกจากสถานี มีเจ้าหน้าที่เขื่อนคอยโบกมือบายๆ

ลาก่อนรถไฟลอยน้ำ จนกว่าจะพบกันใหม่ หวังว่าจะเจอกันอีกนะ

ป.ล. ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามนะคะ รูปอาจจะไม่สวยมาก แต่จะพยายามเขียนและฝึกถ่ายรูปให้ดีขึ้นค่ะ
สำหรับใครที่สนใจไปเที่ยวกับรถไฟขบวนพิเศษวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2560 ยังพอมีเวลานะคะ ลองโทรไปเช็คตั๋วกับการรถไฟดูนะคะ
[CR] [One day Trip] --- ไปนั่งรถไฟลอยน้ำเที่ยวเขื่อนกันเถอะ ---
เนื่องจากวันหยุดยาว 3 วัน ไม่รู้จะไปไหน เผอิญนั่งเล่น Facebook เห็นข่าวรถไฟเพิ่มรอบไปเขื่อนป่าสักพอดี จังหวะนั้นคือยืนรอรถเมล์แถวสถานีรถไฟบางเขนพอดี เลยเดินพุ่งไปจองตั๋วเลยจ้า ในที่สุดๆก็ได้มา ตั๋วราคาคนละ 270 บาท รวมไป-กลับ
เดินไปชานชาลาที่ 5 เศษ 3 ส่วน 4 ไม่ใช่ละ ชานชาลาที่ 5 นี่แหละ ขบวนที่ 921 ขบวนรถพิเศษนำเที่ยว "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์"
วันนี้มีตู้ทั้งหมด 14 ตู้เราได้ตู้ที่ 4 เดินจากปลายขบวนไปไกลเหมือนกัน แต่โชคดีตรงได้ที่นั่งตรงกลางตู้นี่แหละ
พอประมาณ 7 โมง 15 นาที รถไฟก็แล่นออกจากหัวลำโพง ช้าไป 5 นาที มันก็ต้องมีบ้างนะเลทตามรถไฟไทย
รถไฟจอดรับผู้โดยสารเรื่อยๆ ตั้งแต่สามเสน บางซื่อ บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง รังสิต จากนั้นก็แล่นไกลๆหน่อย จะหยุดอีกทีก็อยุธยา นั่งชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ พอเลยรังสิตวิวสวยมาก มีความเป็นธรรมชาติมาก
ระหว่างนั่งรถไฟจะมีเจ้าหน้าที่มาแจกกำหนดการและเล่นเกมส์แจกของเล็กๆน้อยๆ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า พอถึงสถานีอยุธยาจะให้พ่อค้าแม่ค้าขึ้นมาขายของ เผื่อใครยังไม่กินข้าวเช้า เนื่องจากรถไฟขบวนนี้จะไม่มีตู้เสบียง จากนั้นนั่งรับลมเย็นๆต่อไป
เวลาผ่านไปประมาณ 9 โมงกว่าๆเราก็ถึงสถานีอยุธยา เนื่องจากเรากินข้าวเช้ามาแล้ว แต่มีสายไหมมาขาย มาถึงอยุธยาทั้งทีเราก็ต้องกินสายไหมสิ 5555
จากนั้นรถไฟก็แล่นต่อเรื่อยๆ จนแวะรับผู้โดยสารที่สระบุรี แก่งคอย แก่งเสือเต้น พอผ่านแก่งเสือเต้น เราเริ่มเข้าสู่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เนื่องจากช่วงนี้ไม่ใช่หน้าที่ดอกทานตะวันจะออกดอก เราเลยไม่ได้เห็นทุ่งทานตะวันสีเหลืองอร่ามตา
รถไฟแล่นผ่านทางรถไฟลอยน้ำ แวบแรกที่เห็นด้วยตาคือสวยมาก แสงพระอาทิตย์กระทบกับน้ำ
แค่รถไฟแล่นผ่าน ไม่ใช่จุดชมวิว คนก็เริ่มยกกล้องขึ้นมาถ่ายแล้ว รวมถึงตัวเราด้วย55555
และแล้วขบวนรถก็มาจอดสนิทบริเวณทางโค้งจุดชมวิวรถไฟลอยน้ำ เจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่ามีเวลาที่จุดนี้ 30 นาที คนเริ่มลงจากขบวนรถ อื้อหือเพิ่งเห็นจำนวนคน คนเยอะมากจริงๆ
เนื่องจากคนเยอะเราเลยไม่ได้เดินไปถ่ายถึงหัว ถ่ายจากตู้ที่ 4 ก็พอ
พอครบ 30 นาที เสียงหวูดรถไฟให้สัญญาณนักท่องเที่ยวกลับขึ้นสู่ขบวนรถไฟ จากนั้นก็แล่นอย่างเร็วไปที่สถานีรถไฟโคกสลุงเพื่อเปลี่ยนหัวรถจักร
จากนั้นรถก็แล่นกลับ ระหว่างแล่นกลับก็ถ่ายรูปวิวข้างทางไป
แนะนำว่าตอนจองตั๋วให้นั่งทางด้านขวามือ เพราะวิวน้ำจะไม่โดนบังด้วยสายไฟ
เวลาประมาณเที่ยงรถไฟก็มาจอดที่สถานีเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เป็นเขื่อนดินที่ยาวที่สุดในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ให้กรมชลประทานศึกษาความเหมาะสมของโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสักอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ ปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อประโยชน์ต่อพื้นที่เพาะปลูก และบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นประจำในลุ่มน้ำป่าสัก
ทุกคนจะมีเวลาที่นี่ 3 ชั่วโมง โดยรถไฟจะกลับมาจอดอีกครั้งเวลาบ่าย 2 โมงครึ่ง
พอลงมาเราเริ่มหาข้าวเที่ยงกินก่อน ระหว่างทางก็มีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของมากมาย เราเดินมาจนถึงศูนย์อาหาร ศูนย์อาหารที่นี่ราคาไม่แพงและค่อนข้างมีอาหารหลากหลาย
หลังจากกินเสร็จเราเลยจะไปนั่งรถตัวหนอน ซึ่งคือรถรางชมเขื่อนนั้นแหละคนละ 25 บาท คนเยอะเหมือนกัน เราได้รถรอบบ่ายโมงครึ่ง ตรงซื้อตั๋วเข้าก็จะคอยประกาศว่า คนที่มากับการรถไฟ รอบไหนสามารถขึ้นได้บ้าง
ระหว่างรอขึ้นรถตัวหนอนเราเลยแวะไปที่พิพิธภัณฑ์ปลาน้ำจืด พิพิธภัณฑ์ที่นี่ค่อนข้างเล็กเหมือนบ้านชั้นเดียว ที่นี่แสดงปลาน้ำจืดในไทย เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า กระเบนน้ำจืดก็มี
หลังจากชมปลาน้ำจืดเสร็จ ก็ออกมาไปเดินงาน OTOP ริมเขื่อนก็มีคนมาปูเสื่อนั่งปิคนิกรับลมเย็นๆ ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน
ที่งาน OTOP ก็มีขนม อาหาร ของฝาก มากมายให้เลือกชิม เลือกซื้อกัน
ที่นี่มีจุดชมวิว 360 องศาด้วยแต่เสียดายปิดปรับปรุงอยู่
และแล้วก็ถึงเวลานั่งชมวิวเขื่อน โดยจะใช้เวลาทั้งหมด 50 นาทีในแต่ละรอบ
นั่งไปลมๆพัดไป ชิวดี สังเกตุว่า ตอนผ่านเขื่อนบริเวณน้ำเนี่ยอากาศจะเย็นกว่านะ
อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นถนนสังเกตุได้ว่าสันเขื่อนถมมาสูงมาก สูงกว่าเสาไฟฟ้าอีก
นั่งไปท้ายเขื่อน รถจะจอดให้ไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล
จากนั้นก็นั่งรถลากจูงกลับเพื่อมาขึ้นรถไฟ นักท่องเที่ยวทยอยขึ้นสู่ขบวนรถไฟกลับกรุงเทพ และแล้วเวลาบ่าย 3 โมงตรง รถไฟก็ค่อยๆแล่นออกจากสถานี มีเจ้าหน้าที่เขื่อนคอยโบกมือบายๆ
ลาก่อนรถไฟลอยน้ำ จนกว่าจะพบกันใหม่ หวังว่าจะเจอกันอีกนะ
ป.ล. ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามนะคะ รูปอาจจะไม่สวยมาก แต่จะพยายามเขียนและฝึกถ่ายรูปให้ดีขึ้นค่ะ
สำหรับใครที่สนใจไปเที่ยวกับรถไฟขบวนพิเศษวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2560 ยังพอมีเวลานะคะ ลองโทรไปเช็คตั๋วกับการรถไฟดูนะคะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น