ผู้มีคุณ ๒๐ ก.พ.๖๐

บันทึกของผู้เฒ่า

ผู้มีคุณ

“ เทพารักษ์ “

มีท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า บุคคลที่เกิดและเจริญเติบโตขึ้นมาได้นั้น ต่างก็ได้อาศัยความอนุเคราะห์จากผู้อื่นทั้งสิ้น ตั้งแต่บิดามารดาผู้ให้กำเนิด ครูอาจารย์ผู้อบรมบ่มนิสัยให้เป็นมนุษย์ ที่เป็นคนดีมีคุณธรรม รวมตลอดไปจนถึงธรรมชาติทั้งมวล ซึ่งให้อากาศสำหรับหายใจ สัตว์และพืชที่เป็นอาหารเลี้ยงชีพ เป็นเครื่องนุ่งห่ม เป็นที่อยู่อาศัย และเป็นยารักษาโรค

สำหรับผมนั้นนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ช่วงเวลากว่าเจ็ดสิบปีที่เติบโตขึ้นมา ก็ได้พึ่งพาอาศัยบุคคลอื่น ที่ช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูประคับประคอง อีกเป็นจำนวนมาก คิดว่าน่าจะบันทึกไว้ก่อนที่จะลืมเลือนไปตามกาลเวลา และกฎของอนิจจัง

เมื่อผมยังอายุไม่ถึงสิบขวบ อยู่กับแม่ซึ่งอาศัยคุณตาที่ตรอกโรงเรียนนายร้อย ถนนราชดำเนินนอกนั้น แม่มีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือเด็กชั้นประถม ในโรงเรียนราษฎร์แถวถนนพะเนียงนางเลิ้ง

สอนอยู่จนเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามโลกครั้งที่ ๒ แม่ก็เจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ด้วยโรคปอด พอดีโรงเรียนหยุดให้นักเรียนและผู้ปกครอง หลบภัยสงครามไปอยู่ตามชนบท แม่ก็ขาดรายได้ประจำ ต้องไปขอเบิกเงินจากท่านเจ้าของโรงเรียนเป็นครั้งคราว ซึ่งท่านก็เมตตาให้มาบ้าง แม้จะไม่กี่บาทแต่ก็ช่วยประทังชีวิตไปได้เป็นช่วง ๆ

แม่เป็นครูตั้งแต่ยังสาว สมัยนั้นอยู่กับคุณตาซึ่งเป็นผู้พิพากษาของจังหวัดตราด แม่ก็สอนหนังสือที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็มีลูกศิษย์ที่ เติบโต มีครอบครัวประกอบอาชีพเป็นหลักฐานแล้วหลายคน แม่ก็ไปหาลูกศิษย์คนหนึ่ง อยู่แถว สี่แยกอุรุพงษ์ ขอความช่วยเหลือยืมเงินจำนวนไม่มาก แต่ขอเป็นรายเดือน โดยไม่มีกำหนดว่าจะได้ใช้คืนเมื่อไร

ท่านผู้นั้นก็ยินดีที่จะช่วยเหลือครูของตนตามคำขอ และผมเองก็เป็นคนไปรับเงินยืมแต่ละเดือนนั้นหลายครั้ง ยังจำได้ไม่ลืม เพราะเมื่อสงครามสงบลง และผมเองมีงานการทำพอเลี้ยงกันได้แล้ว แม่ระลึกถึงคุณของลูกศิษย์ผู้นี้ได้ จึงให้ผมเอาเงินไปคืน ตามจำนวนเดิมซึ่งมีค่าต่ำกว่าเมื่อตอนยืมมาเป็นอันมาก

ท่านผู้นั้นดีใจมาก เพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้คืน แต่ท่านก็รับไว้แล้ว ดูเหมือนจะแบ่งให้ผมเป็นรางวัลในความซื่อสัตย์อีกด้วย

ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งเป็นเด็กหญิงอยู่ในบ้านคุณตา ตั้งแต่จังหวัดตราดจนย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ แม่ก็สอนทั้งวิชาความรู้และการบ้านการเรือน แล้วแม่ก็แต่งงานไปอยู่กับพ่อที่จังหวัดกระบี่และธนบุรี จนแม่หอบลูกกลับมาอยู่กับคุณตาอีกครั้ง ลูกศิษย์ผู้นี้ก็ไม่เคยลืมพระคุณของครูเลย

ต่อมาเมื่อแม่ยากจนค่นแค้นลง ท่านผู้นี้มีฐานะเป็นปึกแผ่นมั่นคง แม่ก็ต้องไปพึ่งพาด้านการเงิน เช่นเดียวกับลูกศิษย์คนแรก ซึ่งท่านก็เต็มใจช่วยเหลือเกื้อกูล และรับเอาน้องสาวผมไปอุปการะ จนจบการศึกษาเป็นครูโรงเรียนรัฐบาลที่มีชื่อเสียง แล้วก็เลยมาถึงผม

เมื่อเข้าเป็นทหารกองประจำการ และสมัครเป็นนักเรียนนายสิบทหารสื่อสาร ท่านก็ให้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวทุกอาทิตย์ จนสำเร็จหลักสูตร เป็นเวลาสองปี

เมื่อผมเข้าเรียนชั้นมัธยม ที่โรงเรียนวัดสมอราย คุณครูผู้ซึ่งเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพ่อผม สมัยเมื่ออยู่จังหวัดกระบี่ และภรรยาของท่านได้ทำคลอดผมที่นั่น ท่านก็รับดูแล ผมทั้งการเรียนและความประพฤติ โดยที่แม่ไม่ต้องยุ่งยากเลย จนผมออกจากโรงเรียนทำงานทำการเป็นหลักฐานแล้ว เมื่อไปกราบคราวะท่านในโอกาสอันควร ท่านก็ยังสั่งสอนเหมือนพ่อกับลูกทุกครั้ง

ผมได้ตอบแทนคุณท่านเพียงสองครั้งคือ มีโอกาสได้ทำหนังสือที่ระลึกในวาระที่ท่านมีอายุครบ ๗ รอบ ๘๔ ปี และทำหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิง เมื่อท่านมีอายุได้ ๙๐ ปีเศษ

ในระหว่างสงครามนั้นเอง การโจมตีทางอากาศของสัมพันธมิตร ต่อจุดหมายทางยุทธศาสตร์ ในกรงเทพ รุนแรงหนักหน่วงมากขึ้น จำเป็นต้องอพยพหลบภัยไปอยู่ตามชนบท ครอบครัวของเราก็ได้อาศัย บิดาของเพื่อนรุ่นน้องของผมซึ่งมีบ้านอยู่ที่ลาดกระบัง และในสมัยนั้นยังเป็นบ้านนอก ทั้ง ๆ ที่อยู่ในเขตจังหวัดพระนคร เป็นที่หลบภัยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

แต่เราก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะไม่มีเงินเลี้ยงชีพ จะเก็บผักดักปลากินเหมือนอย่างชาวบ้านก็ทำไม่เป็น ต้องหอบหิ้วกันกลับมาอยู่ที่สวนอ้อยตามเดิม เพื่อนที่ว่านี้บ้านอยู่ใกล้กัน และคบหาสมาคมกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียว จนเขาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ เมื่ออายุเพียงสามสิบปีเศษ ทุกวันนี้ผมก็ยังอยู่ที่เดิม และนับถือพี่สาวทุกคนของเพื่อน เหมือนเป็นญาติอันสนิท

เมื่อสงครามสิ้นสุดลงใน พ.ศ.๒๔๘๘ ผมต้องออกจากโรงเรียน โดยไม่จบชั้นมัธยมปีที่หก ซึ่งเป็นหลักสูตรมัธยมปลายในสมัยนั้น และไม่มีทางเรียนต่อที่ไหน ต้องทำขนมถ้วยตะไล เร่ขายเลี้ยงท้องไปวัน ๆ ญาติของแม่คนหนึ่งเป็นร้อยโท อยู่กรมพาหนะทหารบก ท่านเรียกแม่ผมว่าน้า กลับจากราชการสนาม ทั้งอินโดจีนและเอเชียบูรพา กำลังเป็นหัวหน้าหน่วยคลังพัสดุ มาเยี่ยมแม่แล้วก็พบว่าป่วยมาก จนไม่สามารถกลับไปสอนหนังสือได้ ลูกชายก็ออกจากโรงเรียน ลูกสาวก็ยังไม่จบหลักสูตรฝึกหัดครู

จึงเอาตัวผมเข้าไปบรรจุเป็นลูกจ้างประจำ อย่างง่ายดาย เพราะท่านเป็นหัวหน้าอยู่คนเดียว ผู้มีอาวุโสกว่านั้นส่วนใหญ่ถูกปลดออกจากราชการ หลังสงครามสงบ ผมจึงได้ทำงานมีเงินเดือนเท่าผู้ใหญ่ ทั้ง ๆ ที่อายุเพิ่งจะย่างเข้าสิบหกแค่นั้น

ขณะนั้นผมไม่มีเสื้อและกางเกงขาสั้นที่ไม่ชำรุด จะสวมใส่ไปทำงาน แม้แต่เงินจะตัดผมก็ไม่มี ท่านก็ควักกระเป๋าจัดการให้ทั้งหมด

ต่อมาเมื่อทางราชการบรรจุผู้มีอาวุโส เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน ท่านก็ย้ายไปอยู่หน่วยอื่น แต่ผมก็ได้อาศัยเงินเดือนนั้น เลี้ยงและรักษาพยาบาลแม่ ไปตามกำลัง เท่าที่จะทำได้

ในที่ทำงานแห่งนั้นเอง หัวหน้าคลังท่านหนึ่งเห็นผมดายหญ้าอยู่ข้างหลังคลัง เกิดเมตตาเรียกผมขึ้นไปทำงานบนสำนักงาน ในหน้าที่นักการภารโรง ปิดเปิดกวาดถูสำนักงาน รับใช้ผู้ใหญ่ในเรื่องจิปาถะ ผมจึงมีโอกาสได้เรียนรู้การทำงาน ในหน้าที่ทางธุรการ และเลื่อนขึ้นเป็นเสมียนได้ ในเวลาไม่นานนัก

คราวนี้ผมมีเพื่อนรุ่นพี่หลายคนทั้งหญิงชาย ที่เขาเอ็นดูผมว่าเป็นไอ้เปี๊ยกที่เขาใช้สอยได้ทุกอย่าง เขาจึงเอื้อเฟื้อเจือจานผมอยู่หลายประการ ต่างกรรมต่างเวลากัน บางคนชักชวนไปเที่ยวดูหนังดูลคร บางคนก็เลี้ยงข้าว แล้วก็หัดให้ผมกินเหล้า

แต่มีอยู่คนหนึ่งที่รู้ว่าผมมีนิสัยชอบงานศิลปะ เขาซื้อกล้องถ่ายรูปแบบธรรมดามาเล่น แล้วก็ชักชวนผมไปเที่ยวนอกเมืองหรือจังหวัดใกล้เคียง ฝึกหัดศึกษาเท็คนิคการถ่ายภาพ โดยเขาออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด จนภายหลังผมได้ใช้ความรู้นี้ เป็นเครื่องมือหากินแทนงานอดิเรก

ต่อมาเขาลาออกจากราชการ ไปทำฟาร์มเลี้ยงไก่ ขายไข่ไก่ ในยุคที่กิจการด้านนี้กำลังเฟื่องฟู เขาเปิดร้านอยู่ที่หน้าไปรษณีย์บางกระบือในปัจจุบัน ส่วนฟาร์มดูเหมือนอยู่แถวซอยถนนพหลโยธินใกล้ ๆ สนามเป้า

ผมไปช่วยเขาทุกอย่างนอกเวลาราชการ แต่ไม่นานนักกิจการก็เสื่อมโทรมลง จนแทบจะหมดตัว เขาก็ไม่ย่อท้อ กลับตั้งหน้าตั้งตาดูหนังสือเข้าสอบวิชากฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งค้างคามาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเป็นมหาวิทยาลัยปิด

ภายในเวลาเพียงสามสี่ปี เขาก็สามารถคว้าปริญญานิติศาสตรบัณฑิต และเนติบัณฑิตไทย มาครอบครองได้อย่างเต็มภาคภูมิ เขาจึงเริ่มชีวิตราชการใหม่ด้วยการเป็นอัยการ และผู้พิพากษา จังหวัดที่ห่างไกลก่อน แล้วค่อย ๆ ย้ายใกล้เข้ามาจนถึงกรุงเทพ สุดท้ายเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง หัวหน้าผู้พิพากษาศาลแพ่ง

ท่านที่เล่ามาข้างต้น และยังมีอีกหลายท่าน ที่ผมไม่ได้เล่านั้น ผมไม่มีวันลืมพระคุณ
แม้เวลาจะล่วงไปนานสักเพียงใดก็ตาม

ในระหว่างที่ผมได้เลื่อนฐานะจาก ลูกจ้างใช้แรงงานเป็นข้าราชการชั้นเสมียนนั้น อาการป่วยของแม่ก็ทรุดลงเป็นลำดับ ผมก็ต้องดูแลพยาบาลแม่ซึ่งช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ ทั้งเวลาเช้าก่อนไปทำงาน และเมื่อกลับมาจากที่ทำงานแล้ว

จึงต้องฝากท้องทั้งมื้อเช้าและเย็น ไว้กับมารดาของเพื่อนรักอีกคนหนึ่ง ในละแวกสวนอ้อยด้วยกัน โดยคิดค่าใช้จ่ายเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

ท่านผู้นี้เรียกแม่ผมว่าคุณพี่ เมื่อท่านย้ายกลับจากหลบภัยสงครามในต่างจังหวัด เข้ากรุงเทพยังปลูกบ้านในสวนอ้อยไม่เสร็จ ก็มาอาศัยอยู่ที่บ้านกับแม่ และเอามะพร้าวห้าวมาให้ทำขนมถ้วยขาย หลายสิบลูก ลูกชายของท่านซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผมนั้น คบกันมาจนเกษียณอายุราชการ แล้วไปบวชไม่สึกอยู่จนบัดนี้

ในสมัยนั้นวัณโรคไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ หรืออาจจะมียาอะไรที่แพงลิบลิ่ว จนเงินเดือนอันน้อยนิดของผม ไม่อาจซื้อหามาได้ แม่จึงไม่ได้เข้าโรงพยาบาล แต่ให้ผมไปซื้อยามากินสองชนิด คือ โดเวอร์ส กับแอสโปร และกินเป็นประจำทุกมื้อทุกวัน ไม่ทราบว่ารักษาอาการใด มาทราบภายหลังว่า อย่างแรกนั้นแก้บิด และอย่างหลังแก้ปวด

ผมดูแลแม่อยู่ประมาณหกปี แม่ก็เสียชีวิตในอ้อมแขนของผม หลังจากได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายแล้ว พอดีถึงเวลาที่จะต้องไปเกณฑ์ทหาร ผมไม่มีห่วงอะไรแล้วจึงสมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการ เป็นเหล่าทหารราบ ในระหว่างสงครามเกาหลีกำลังเข้มข้นอยู่ แต่กว่าผมจะฝึกเสร็จเขาก็เลิกรบกันแล้ว

พลทหารเกณฑ์ในสมัยนั้นมีเบี้ยเลี้ยงวันละหนึ่งบาท กับเงินเดือนอีกเดือนละสี่บาท แต่ผมไม่เดือดร้อน เพราะได้รับเบี้ยเลี้ยงส่วนตัวจากท่านผู้มีพระคุณที่เล่ามาแล้ว อาทิตย์ละสิบบาท และ ผมยังได้รับความเอื้อเฟื้อจากเพื่อนทหาร ที่มีฐานะดีกว่าอยู่บ่อย ๆ

ผู้บังคับหมู่ก็บังเอิญเป็นเพื่อนนักเรียนมัธยมโรงเรียนเดียวกันอีก ผมจึงอยู่ได้อย่างสบายตามสภาพของ พลทหารสมัยนั้น

ทหารราบนั้นฝึกหนักตลอดปี ผมเป็นโรคไส้เลื่อนมาแต่กำเนิด จึงเกิดอักเสบต้องส่งไปผ่าตัดด่วน ที่โรงพยาบาลทหารบก หรือ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในปัจจุบัน

ในสมัยนั้นยังไม่มีอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย แต่ผมก็ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดี เท่าเทียมกับผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่พลทหารเท่านั้น

ผมไม่เคยลืมพระคุณของนายแพทย์ผู้ผ่าตัด ซึ่งดูเหมือนท่านจะมียศเป็นนายพัน เพราะผมไม่เห็นหน้าท่านเลย ได้ยินแต่เสียงที่เต็มไปด้วยความกรุณาปราณีเท่านั้น

ผมไม่ยินดีที่จะปลดแล้วกลับไปรับราชการที่หน่วยเดิม จึงสมัครเข้าเป็นนักเรียนนายสิบเหล่าทหารสื่อสาร เมื่อเป็นพลทหารปีที่สอง ผู้บังคับหมวดก็กรุณารับรองค้ำประกันให้ ผมจึงได้เป็นนักเรียนนายสิบ รับเบี้ยเลี้ยงเท่าเดิม แต่ได้เงินเดือนสิบสองบาท กับเบี้ยเลี้ยงส่วนตัวดังที่เล่าแล้ว

ผมจึงผ่านหลักสูตรนั้นมาอย่างราบรื่น ออกรับราชการเป็นสิบโท ติดบั้งสองแง่ง และตั้งต้นชีวิตใหม่ ด้วยการเป็นทหารอาชีพเต็มตัว

ส่วนผู้บังคับหมวดท่านนั้น ได้โอนไปเป็นปลัดอำเภอเมื่อมียศร้อยเอก ไม่ทราบว่าอำเภอไหน ผมจึงไม่ได้พบกับท่านอีกเลย

ระหว่างที่เป็นเสมียนอยู่ที่กรมพาหนะทหารบกนั้น ผมกับเพื่อนรุ่นพี่ ๆ ได้สนใจในการประพันธ์ และอยากเป็นนักประพันธ์กันทุกคน แต่เขาก็เลิกรากันไปหมด มีแต่ผมคนเดียวที่ยังเขียนเรื่องสั้นส่งไปตามหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่านาน ๆ จึงจะได้ลงพิมพ์สักเรื่องก็ตาม

ท่านผู้มีพระคุณท่านแรกในการเขียนหนังสือของผม ก็คือ สันต์ เทวรักษ์ นักประพันธ์ชื่อดังในยุคนั้น ท่านเป็นบรรณาธิการนิตยสารโบว์แดงรายปักษ์ ได้นำเรื่องสั้นชิ้นแรกของผมลงพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๑ ได้รับค่าเรื่อง ๒๐ บาท

ผมจึงมีกำลังใจเขียนเรื่องสั้นต่อมาอีก ๑๐ ปี มีผลงานปรากฏ อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวารสารต่าง ๆ ประมาณ ๒๐ ฉบับ จำนวนประมาณ ๕๐ กว่าเรื่อง แต่ได้รับค่าเรื่องเพียง ๖ ครั้งเท่านั้น และไม่มีชื่อเสียงให้ผู้อ่านรู้จัก เหมือนดังที่ตั้งความหวังเอาไว้

ถึงกระนั้นก็ดี ท่านบรรณาธิการทั้งหลายที่ได้กรุณานำเรื่องลงพิมพ์ ก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณเช่นกัน โดยเฉพาะท่านบรรณาธิการนิตยสาร รัตนโกสินทร์ กะดึงทอง สกุลไทย และ เพื่อนบ้าน

เมื่อผมรับราชการทหารแล้ว ผมก็ไม่ได้เลิกราการเขียน ยังเขียนอยู่จนถึงปัจจุบัน จึงมีผลงานออกมาอีกเป็นจำนวนมาก แม้จะไม่มีชื่อเสียงเช่นเดิม แต่ก็เป็นงานหลักหลังเกษียณอายุราชการ ได้เขียนประจำอยู่ในนิตยสาร กองพลทหารม้าที่ ๑ ทหารปืนใหญ่ ฟ้าหม่น วารสารของศูนย์การทหารม้า ทหารสื่อสาร

และ โล่เงิน ซึ่งฉบับนี้ได้ให้เกียรติบรรจุชื่อผม ไว้ในคณะผู้ดำเนินการด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่