จากภาษาอังกฤษเกรด 1-2 สู่การมาเรียนต่อเมกา (เปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นใบเบิกทาง)

สวัสดีค่ะ วันนี้กลับมาอีกครั้งหลังจากที่เราเขียนกระทู้การสอบเข้าหมอที่เมกา
ใครยังไม่ได้อ่าน ไปเกริ่นๆที่กระทู้นี้ก่อนได้นะคะ https://pantip.com/topic/36116636 มีหลายๆคนถามว่าเราทำไงกะภาษาอังกฤษอันง่อกแง๊กของเรา นี่ขอบอกก่อนเลยว่าอดีตนี่ไม่ใช่ระดับปานกลางนะคะ แต่ระดับที่ไม่ไหวจริงๆ จะสอบตกแหล่มิแหล่มาตลอด

.......................ความหลัง.......................
(สำหรับคนที่สนใจเฉพาะวิธึการของเรา ข้ามความหลังไปได้นะจ๊ะ แล้วไปโผล่ตรงออแพร์ได้เลย)
เรียนประถมที่โรงเรียนรัฐ (โรงเรียนวัดนั่นแล) เค้าก็มีสอนนะ แต่มันไม่เข้าหัวอ่ะ จบป.6 มาก็ยังเรียกว่าความรู้เป็น 0 จริงๆก็ไม่ถึงกับ  0 หรอก เราท่อง ABC ได้นะเออ
มาต่อมัธยมที่โรงเรียนรัฐบาลใกล้ๆกัน อันนี้เป็นโรงเรียนที่เราชอบนะ เพื่อนๆก็เก่งภาษาอังกฤษกันอยู่ พอสมควร ม 1 ก็ต้องเลือกละ ว่าจะเรียนสายอะไร ระหว่างวิทย์ คณิต หรือว่าภาษาอังกฤษ อีนี่ก็ไม่คิดเลยค้าาา เลือกวิทย์ คณิตโลดดดด (ใครจะเลือกภาษาอังกฤษว่ะ นี่ชั้นห่วยขนาดนี้) นึกว่าจะรอดพ้นภาษาอังกฤษ ป่าวเล้ยยยย ก็แค่ไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษเสริม แต่ก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษหลักอยู่ดี เป็นไงล่ะ เงิบบบบบบบ เกือบไม่รอดค่ะ สอบตกกลางภาคบ้างไรบ้าง เกรดปลายเทอมได้วนเวียนที่แถวๆเกรด 2 พอถึงเวลาเข้า ม ปลาย ก็ไม่คิดหนักค่ะ เลือกวิทย์ คณิตโลดดดดด ไม่มีทางเลือกสายศิลป์เด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอม ตอนนั้นก็อยากเข้าหมอละ และระลึกได้ ว่ายังไงก็ต้องสอบเอนทรานซ์ภาษาอังกฤษอยู่ดี ก็เลยพยายามตั้งใจเรียนขึ้นมา เกรดก็ขึ้นมาวนๆอยู่แถวๆ เกรด 3 บางเทอมโชคดีหน่อย สอบได้เกรด 4

จนวันที่สอบเอนทรานซ์มาถึง และวันที่คะแนนออก 33/100 เท่านั้นล่ะค่ะ หมงหมอไม่ต้องสมัครแม่มละ เข้าไม่ได้ชัวร์ๆ เสียใจสุดๆ แต่ก็ไม่แปลกใจนะ เพราะว่ามันไม่ใช่แค่วันนั้นโชคไม่ดีอ่ะ คือรู้ตัวว่าภาษาอังกฤษเราไม่ดีจริงๆ ที่สอบตอน ม ปลาย ก็เหมือนจำไปสอบแต่ละเทอม แต่ยังไม่เคยเข้าใจอะไรเท่าไหร่เลย เรียนแต่ละเทอม ไม่ได้เป็นการต่อยอดของแต่ละเทอมเลย เราเรียนให้ได้เกรดดีๆ (ของเราภาษาอังกฤษได้เกรด 3 ก็ถือว่าดีสำหรับเราละ) เหมือนแค่เป็นความจำระยะสั้น ตอนนั้นเราก็ไม่รู้จะทำยังไงกะตัวเองเหมือนกัน คือเหมือนพยายามแล้ว แต่มันไม่ไปไหนเลย ท้อเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่ได้ทำไรมาก

โอเคผ่านไป สุดท้ายเข้าหมอไม่ได้มาเรียนวิทยาศาตร์ ซึ่งก็ชอบเหมือนกัน ไม่ชอบอย่างเดียวคือไม่ชอบพวกไส้เดือน หนอนหรือพวกสัตว์ไฟลัมต่างๆ ถึงเวลาปีสองที่ต้องเลือกสาย ก็เลยมาเลือกชีวเคมี จะได้ไม่ต้องเห็นหนอนอีกในชีวิตนี้ ทีนี้ระหว่างเรียนปริญญาตรี ภาษาอังกฤษมันก็มาหลอกมาหลอนเราอีกครั้ง (ถ้าให้เลือกระหว่างเจอหนอน กะ เจอภาษาอังกฤษ เราก็ยอมเจอหนอนอ่ะ) เรากังวลมาก เราก็ปรึกษาเพื่อนที่หอ แล้วเค้าบอกว่า มันง่ายมาก เพื่อนๆเค้าก็ได้A อย่างมากก็ B+ เค้าไม่เคยเจอใครได้ C เลย (เพื่อนที่หอเราอยู่อักษร บัญชี และสัตวะ) ครั้งนี้ก็ไม่ผิดคาดค่ะ ได้เกรดแถวๆ C ถ้าเทอมไหนโชคดี ก็จะมี + มาประดับตัว C คิดในใจ ทำไงดีว่ะ ทำไมคนอื่นเค้าทำได้กันอ่ะ ตอนนั้นก็เฟลมากอ่ะ รู้สึกว่าเบื่อตัวเองมากด้วย ทำไมภาษาอังกฤษมันต้องมาหลอกมาหลอนเราเรื่อยมา นี่อุตส่าห์เรียนสายวิทย์นะ แต่อะไรว่ะ ทุกอย่างก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษ รวมทั้งเอกสารการสอนของอาจารย์ พอรู้สึกว่ายังไงก็หนีไม่พ้น เราเลยมานั่งนึกๆว่าไอ้ความพยายามที่เราพยายามมา มันไม่ได้ผลหว่ะ ทีนี้มันต้องเปลี่ยนวิธีการสิ

...........................................เริ่มปฏิบัติการ.................................................
เราลองมองหาวิธีอื่นๆ เราก็คิดว่าอยากไปเมืองนอกอ่ะ จะได้เก่งๆ ประกอบกับช่วงนั้นมีใบประกาศ Work and travel เต็มไปหมด เราเลยชวนเพื่อนสมัคร เพื่อนก็บ้าจี้ สมัครด้วย แต่ตอนสมัครเราก็ไม่มีเงิน พ่อแม่เราก็ไม่มีให้ ญาติเราก็ไม่มีให้ แล้วสุดท้าย อาเราสงสาร เลยเอารถกะบะไปจำนองให้เราได้สมัคร ตอนนั้นน้ำตาไหลเลยอ่ะ คือเค้าเอาคู่มือทำมาหากินเค้าไปจำนองเพื่อเราอ่ะ แล้วมาแบบนี้มันไม่ใช่ได้เงินเสมอไป ถ้าเราไม่มีเงินกลับไป เท่ากับว่าอาเราจะทำไรกิน เราแบบซึ้งมาก เรากะเพื่อนอีกสองคนเลยได้มาเมกาครั้งแรก

...........................................Work and travel ครั้งที่ 1..........................
เรามาเจอเพื่อนคนไทยที่นี่ด้วย แล้วพวกเราก็อยู่บ้านเดียวกันหมด เพื่อนๆที่อยู่ด้วยกัน เค้าก็เก่งภาษาอังกฤษกันมาแล้ว พวกเราสามคนก็ไม่ค่อยได้พูดอ่ะ พอมีใครคุยด้วย มันเหมือนเป็นที่รู้กันอ่ะ ว่าคนที่เก่งภาษาอังกฤษจะเป็นคนตอบ ระหว่างนั้นเราก็ไปหา second job ด้วย เพราะว่าจะต้องหาเงินไปคืนอาให้ได้ ลำพังงานที่ทำอย่างเดียว ต้องไม่พอแน่ๆ โชคดีที่ได้งานตั้ง 3 งาน เลยมีเงินไปคืนอา มีเงินเหลือเก็บไว้บ้าง เพื่อนๆเราพอครบสามเดือนก็ไปเที่ยวกัน เราขอทำงานต่ออีกสองอาทิตย์ ผ่านไปสามเดือน ภาษาอังกฤษเราก็ไม่ค่อยได้ก้าวหน้า ตอนแรกเป็นแคชเชียร์ แต่ภาษาเราแย่มากๆ เค้าเลยจะย้าย แต่ยังไม่รู้ว่าจะย้ายไปไหนดี เลยยังไม่ได้ย้าย (คิดดูว่าแย่แค่ไหนจนเค้าต้องย้ายอ่ะ) จนวันนึงทำเงินหายไปร้อยกว่าเหรียญอีก ทีนี้เค้าไม่รีรอเลย ย้ายวันนั้นเลย ย้ายไปแผนกผลไม้ วันๆเอาแต่ปอกสับปะรดกับปอกแตงโม คนที่ทำงานด้วยกันก็คุยภาษาสเปนซะเยอะ สุขใจมาก ไม่ต้องคุยภาษาอังกฤษอีกต่อไป (ทั้งๆที่มาเพื่อภาษาอังกฤษแท้ๆ)

จนมาถึงวันที่เพื่อนๆไปเที่ยวกันหมด จุดเปลี่ยนมันมาทันที พอเราตัวคนเดียว มันก็มีคนมาคุยเยอะขึ้น เหมือนพอเป็นแก็งค์ละเค้ากลัวมั้ง เราก็ไม่รู้เหมือนกัน คนเก่งภาษาก็ไม่อยู่ละด้วย ทำไงดีว่ะ นี่ชั้นต้องใช้ภาษาอังกฤษจริงๆแล้วเหรอนี่ มันน่าแปลกที่ เรามานี่ก็เพื่อการนี้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ มันก็กลัวไปหมด จุดเปลี่ยนอีกจุดคือ เจ้านายก็รับคนชาติอื่นมาทำงานอีก เป็นคนยูเครน ชายหนุ่มห้าคน เค้าก็มาให้อยู่บ้านเดียวกับเรา ห้องเราก็ล๊อคไม่ได้ กลางคืนมันก็กินเหล้ากันอีก เราก็กลัวมาก เพราะการนี้ เราตัวคนเดียวแล้วไม่มีใครช่วยเราแล้ว ต้องไปคุยกะเจ้านายเรื่องบ้าน เรื่องล็อกประตู แบบนี้เราไม่ยอม เอาผู้หญิงคนเดียวไปไว้บ้านเดียวกะผู้ชายห้าคนที่กินเหล้ากันหมดได้ไง สู้เว้ยยยยยย สู้ มันทำให้เรากล้าใช้ภาษา มันทำให้เราไม่กลัวอีกต่อไป สุดท้ายไม่มีไรเกิดขึ้นหรอก แต่เราก็ต้องป้องกันตัวไว้ก่อน เรามีน้องคนไทยคนนึงที่เกิดและโตที่นั่นคอยช่วยเราอีกแรง

สรุป ได้อะไรกับการมารอบแรก ได้ความกล้าที่จะใช้ภาษา เรื่อง level นั้น ยังคงที่ level 1 เหมือนเดิม

...........................................Work and travel ครั้งที่ 2.....................
(ระหว่างสมัครมารอบที่ 2 เราสมัครออแพร์เตรียมไว้ด้วย)
รอบนี้มาที่เดิมค่ะ คือขี้เกียจหาที่ใหม่ รู้จักคนที่นั่นแล้วด้วย ที่เก่าถึงจะมีประสบการณ์ไม่ดีอยู่บ้าง แต่มันก็โอเค ประสบการณ์จะดีหรือร้ายเราถือเป็นเรื่องดีหมด

มารอบนี้ เรากะเพื่อนตกเครื่องบินที่เอลเอค่ะ กำลังจะไปไมอามี่ พอไปคุยกับเค้าก็คุยไม่รู้เรื่อง คุยเป็นชั่วโมง เค้านึกว่าให้จ่ายเงิน สอง ดอลล่า (2 dollars) เรากะเพื่อนเลยหยิบให้เค้า แล้วเค้าก็ไม่เอา เรากะเพื่อนก็งงๆ สุดท้ายได้ตั๋วมา พวกเราก็ดีใจว่าจะได้ไปแล้ว พอเครื่องบินจอดเท่านั้นแหละ ชโงกหัวดู แล้วมองหน้ากะเพื่อนว่า ทำไมมันไม่ใช่ไมอามี่ว่ะ ทำไมมันเขียนว่า Dallas เท่านั้นแหละ ร้องอ๋ออออออ กันทั้งคู่ นี่ไอ้ 2 dollars มันคือ to Dallas นี่พลังจินตการสูงมาก คิดไปได้....... สรุปว่าค้างอยู่สนามบินดาลาสนั้นอีกสิบกว่าชั่วโมง กว่าจะถึงไมอามี่ การเดินทางครั้งนี้ รวมแล้วฟาดไปทั้งหมด เกือบห้าสิบชั่วโมง กว่าจะถึงที่หมาย สลบบบบบบค่ะ
การทำงาน รอบนี้ได้งานแค่สองงาน แต่ก็ไม่ขาดทุน รอบนี้เปลี่ยนจากปอกแตงโม ไปทอดไก่ค่ะ วันๆอยู่แต่หน้าเตาร้อนๆ พอตกดึกก็ขนน้ำมันไปเท แต่ก็ได้คุยกับลูกค้าเยอะขึ้นเวลาเค้ามาสั่งไก่ 3 please อะไรประมาณนี้ ฮ่าๆๆๆ เราก็จะมีประโยคของเราคือ Ok, here it is, I’m sorry (ถ้าเค้าทำหน้ายุ่งคือเราหยิบผิด ใครทำหน้ามุ้ยนี่เราพ่น I’m sorry ไว้ก่อนเลย) โอเค รอบนี้ก็ยอมไปเที่ยวละ เงินก็คืนอาไปหมดละ ออแพร์ก็สมัครไปละ ไปเที่ยวไม่ไกล แต่ก็ยังเสียดายเงินนิดๆ แต่เพื่อนที่มาด้วยเค้าอยากไป แล้วก็เค้าก็ยอมมาเวิคกับเรารอบนี้ เราเลยไปค่ะ คนที่พาไปเป็นคนที่ชอบเรา แล้วก่อนเรากลับก็ขอเราแต่งงาน แต่เราไม่รับอ่ะค่ะ คือไม่ได้ชอบ ยังไม่เป็นแฟนกันด้วยซ้ำ เราจะไม่ยอมแต่งงานเพื่อที่จะอยู่เมกาเด็ดขาด อยู่แล้วไม่สบายใจ จะอยู่ทำไม คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก

สรุป รอบนี้ level ภาษาอังกฤษเราเพิ่มจาก 1 เป็น 2 ค่ะ ส่วนความกล้านี่เพิ่มมาเต็มกำลังสุดๆ

................................กลับจากเวิค รับปริญญา และเตรียมไปต่อออแพร์ทันที........................
เกริ่นก่อน.....เนื่องจากความกล้าเรามีเต็มพิกัดเราเลยตัดสินใจเลยว่าชีวิตนี้ ต้องได้ไปเรียนเมกาสักครั้ง การตัดสินใจมาออแพร์ครั้งนี้ ไม่ได้รับความสนับสนุนจากอาจารย์ในภาควิชา คือสนิทกัน อาจารย์อยากให้เรียนต่อเอก อาจารย์เสนอทุนไปญี่ปุ่นมาให้ แต่เราไม่เอา เพราะว่าใจมันไปเมกาแล้ว แล้วเรารู้ตัวด้วยว่า ยังไม่พร้อมที่จะเรียนเอก อาจารย์เลยขอให้ลองสมัครเรียนเอกที่ไทยก็ได้ เราก็จำยอมสมัคร แล้วเราก็สอบ CU-TEP แต่ไม่ผ่าน!!!!! แต่อาจารย์บอกว่า เข้าไปก่อนแล้วสอบแก้ได้ แต่เรารู้ตัวอ่ะ ว่าถ้ายังอยู่ไทย ต่อให้สอบกี่ร้อยรอบ เราไม่รู้ว่าจะผ่านรึป่าว เราเลยตัดใจ ไปออแพร์


...........................................ระหว่างที่อยู่ออแพร์.............................
(ช่วงนี้ภาษาอังกฤษเราพีคมากกก เลเวลอัพกระจาย)
เนื่องจากว่าเราตัดสินใจแล้วว่าชีวิตนี้จะต้องต่อเมกาให้ได้ ทันทีที่เรามาออแพร์ เราก็หาดูเลยว่า มันต้องใช้ไรบ้าง TOEFL, GRE, letter of recommendation etc…. เราไปซื้อหนังสือเตรียมสอบทุกอย่างมาเลยค่ะ  
เราทำงาน 7 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น แล้วเด็กเราอายุ 3 เดือนค่ะ เรื่องฝึกภาษากะเด็กนี่ไม่ต้องคิดเลย ไม่ได้ฝึกแน่ๆ แต่พอโฮสกลับมา เราก็คุยกับเค้านิดนึง เราบอกโฮสเราว่าเราอยากเรียนต่อ ถ้าเราภาษาอังกฤษผิด ให้ช่วยแก้ด้วย เราจะคุยกับเค้าทุกวัน พอคุยกับโฮสเสร็จ เราก็จะมาเปิดทีวีดู เราจะฟังข่าว ดูหนัง อะไรก็ได้ มันมีอะไรก็ฟังอันนั้นอ่ะ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็เปิดดูทุกวัน พอดูครบหนึ่งชั่วโมง เราก็จะมาอ่านหนังสือของเราละ อ่านเรื่อยๆจนถึงเที่ยงคืน แล้วสัปดาห์นึงก็จะเขียนเรียงความสักหนึ่งเรียงความ
แล้วเราจะออกไปร้านกาแฟกับเพื่อน สัปดาห์เว้นสัปดาห์ จริงๆเพื่อนไปทุกสัปดาห์ แต่เราขอเว้นบ้างเพราะว่าต้องอ่านหนังสือ และเก็บตังด้วย แต่เราพยายามไป เพราะว่าถ้าเก็บตัวมากไป ภาษาก็จะไม่ได้ใช้เลย อันนี้สำคัญมาก ต้องมีเพื่อนต่างชาติด้วย เพื่อนเราคนไทยก็จริง แต่ในกลุ่มมีเพื่อนเยอรมันอยู่ด้วยตลอด สรุปว่า ทุกๆวัน เราเจอแต่ภาษาอังกฤษ จะได้พูดไทยก็แค่สองสัปดาห์ครั้ง หรือช่วงที่โทรกลับบ้าน ช่วงครึ่งปีแรก เรากับโฮสเข้ากันได้ดี ครึ่งปีหลัง เราทะเลาะกันตลอด แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ ประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี มันสอนเราทุกอย่าง เราโชคดีที่มีเพื่อนดี ทุกอย่างมันเลยไม่เลวร้ายไปซะหมด แล้วช่วงทะเลาะนี่ก็ใช้ภาษาอังกฤษด้วย หลังๆก็ไม่ได้ทะเลาะแล้วค่ะ แต่ไม่คุยกันไปเลย (อดใช้ภาษาอังกฤษเลยตู)

ย้ายกลับมาทางด้านภาษาอังกฤษต่อ TOEFL รอบแรก 67 ค่ะ แป่ววววววววว เอาว่ะ ไม่เป็นไร อ่านใหม่ เปลี่ยนวิธีการใหม่ TOEFL รอบสอง 97 เย้ๆๆ พอจะผ่านถูไถ ต่อไป GRE เลขได้เต็ม ภาษาได้ 33% -.- กรีดร้องงงงง อีกแล้วตู ชีวิตนี้ภาษาอังกฤษมันจะเป็นอุปสรรคในชีวิตทุกอย่างของชั้นใช่ม้ายยยยยยยยยยยยยยย

กรีดร้องเสร็จ ระลึกได้ ก็ช่างมันค่ะ วัดดวง สมัครทั้งอย่างนี้นี่แหละ คะแนนเลขโอเค เค้าอาจจะหยวนๆก็ได้ สุดท้าย เข้ามหาลัยได้ค่ะ แต่....เค้าให้ทุนแค่บางส่วน แค่เทอมแรกเราก็ไม่มีเงินจ่ายแล้ว ถ้าพอจ่ายเทอมแรกได้ เราก็ยังพอหางานได้ แต่ถ้าเทอมแรกจ่ายไม่ได้ เราก็หมดทาง เราก็เลยบินกลับไทยค่ะ เราเอาเงินทั้งหมดมาเรียนต่อโทที่ไทยค่ะ ระหว่างนั่งเครื่องบินกลับ ก็เป็นสวมบทนางเอกค่ะ ร้องไห้ตลอดทาง เหมือนว่านี่พยายามจนได้ แต่สุดท้าย ไม่มีตัง

ต่อ......
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่