Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Flying Colors (Japan) {Nobuhiro Doi}, 2015

!SPOILER ALERT!

โถ ซายากะ

นอกจากตัวละครซายากะที่ส่วนหนึ่งก็ถือเป็นภาพสะท้อนของเยาวชนร่วมสมัยที่ถึงจุดเลี้ยวของชีวิต ช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างวัยรุ่นและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ช่วงต้น เมื่อเขาหรือเธอต้องเลือกทางเดินต่อว่าจะทำอะไร เธอจะเรียนต่อ หรือออกมาเป็นลูกจ้าง หรือจะไม่ทำงานแล้วเที่ยวเล่นไปวันๆ เธอเองก็คล้ายกับคนในวัยเดียวกันของเธอหลายๆคนคือไม่รู้ตัวตน หรือความสนใจของตัวเองอย่างจริงๆ จัง เอาเธอก็เหมือนกับน้องชายของเธอ ที่หลังจากถูกปั้นให้เล่นเบสบอลจนสุดท้ายเขาก็พบว่ามันไม่ใช่ตัวตนของเขา น้องชายก็พูดขึ้นมาเองว่า ที่ผ่านมาผมเล่นแต่เบสบอลอย่างเดียว ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมสนใจอะไร ซายากะคล้ายกับน้องชายตรงที่ทั้งคู่สุดท้ายก็ไม่มีความสนใจในสิ่งใดชัดเจน ที่ผ่านมาทั้งคู่ต่างถูกสังคมแต่งเติมให้เป็น อย่างภาพตอนแรกที่เราเห็นว่าซายากะจริงๆเป็นเด็กใสๆ เรียบร้อยแต่ถูกเพื่อนกลั่นแกล้งรังแก จนมีปัญหาต้องย้ายโรงเรียนบ่อยๆ เธอได้พบกับกลุ่มเพื่อนที่เปลี่ยนเธอจากสาวน้อย เป็นสาวเปรี้ยว ซายากะดูเมหือนว่าสังคมนอกครอบครัวจะมีบทบาทสำคัญกับเธอมากกว่าคนในครอบครัว
ในขณะที่น้องชายซายากะ เองก็เติบโตมาวัฒนธรรมที่ชายเป็นใหญ่เช่นเดียวกับซายะกะ ภาพลักษณ์ของเพศชายที่ต้องเป็นผู้นำครอบครัว หาเงินเข้ามาในบ้าน มีความภาคภูมิใจ แต่สำหรับพ่อของซายากะ เขาเป็นช้างเท้าหน้าก็จริง แต่ลึกๆแล้วเขาเก็บอดีต ความฝันที่ไปไม่ถึง ทำให้เขาต้องมาทำอาชีพพนักงานขายรถ เขาพยายามผลักดันความฝันนี้ผ่านลูกชายตัวเอง เขาพยายามสร้างลูกชายของเขาให้เป็นเขาอีกคน นี่เองจึงทำให้เบสบอลกีฬาที่น้องชายซายากะชอบ ถูกแปลงสภาพให้เป็นเกมความเครียด เป็นสงครามระหว่างพ่อลูก เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความชอบถูกความกดดันขนาบข้าง เส้นทางกีฬาของน้องชายก็จบลงด้วยตัวของเขาเอง ความเป็นผู้ชายที่ไม่สมบูรณ์ในขนบของพ่อนี่เอง จึงทำให้เขาพยายามดิ้นรน เพื่อให้เติมเต็มความเว้าแหว่งของเขา

ซายากะเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบของสังคมชายเป็นใหญ่ ชีวิตของเธอไม่ต่างอะไรจากลูกเมียน้อย เมื่อพ่อของตัวเองไปแต่งงานกับความฝันของตัวเองที่ยังค้างคา เมื่อพ่อตัวเองทุ่มเวลาและเงินที่เขามาได้ให้กับความฝันของตัวเอง (ผ่านลุกชายอีกที) ภาพที่รันทดใจอย่างมากคือแม่ที่ต้องทำงานภาคค่ำเพื่อหารายได้เพิ่มมาจุนเจือการศึกษาลูกๆ ในขณะที่พ่อมองว่าการเรียนพิเศษจากสถาบันกวดวิชาเป็นเรื่องเหลวไหล เมื่อคุณครูของสถาบันนั้นบอกว่าเขาสามารถทำให้ลูกสาวเธอเข้ามหาลัยชื่อดังของญี่ปุ่นได้
เส้นทางของซายากะที่เราได้เห็นจากหนังเรื่องนี้ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิต ถ้าหากไม่นับรวมภาพปูพื้นความหลังอดีตของเธอ เป็นช่วงเวลาที่เธอต้องตัดสินใจ ซึ่งจริงๆแล้วเธอไม่ได้รู้สึกว่าต้องตัดสินใจด้วยซ้ำ คือเธอมีแม่ที่ตามใจและรักลูกแบบไม่มีเงื่อนไข และพ่อที่ไม่สนใจอะไรเธอเลยแถมยังดูถูก เธอเลยโตมาโดยที่ไม่มีใครในบ้านบีบบังคับให้เธอไปในทางไหนแบบน้องชาย นี่เองทำให้เธอพึ่งปัจจัยนอกบ้านเป็นส่วนมาก คือกลุ่มเพื่อน จริงๆจะบอกแบบนี้ก็ไม่ถูกนักเพราะเธอก็ได้อิทธิพลจากในบ้าน ได้จากพ่อเธอจึงรับรู้ถึงตำแหน่งแห่งที่ของเพศหญิงในญี่ปุ่น ซึ่งนั่นยิ่งตอกย้ำภาพของเด็กหลังห้องเข้าไปอีก คือนอกจากจะเป็นเด็กไม่ตั้งใจเรียน ดูดบุหรี่ แต่งตัวผิดระเบียบ เธอยังเป็นผู้หญิงด้วย พูดง่ายๆ คือเธอเลยมีความผิดบาปสองเท่าในสายตาผู้ชาย (พ่อและครูที่โรงเรียน) คือหนึ่งเป็นเด็กเกเรหลังห้อง และสองเธอเป็นผู้หญิง
เราสังเกตว่าหนังเรื่องนี้ มีท่าทีที่ต่างจากหนังญี่ปุ่นจากจีบลิ หรือโครีเอดะ ที่เน้นการกลับไปสู่ธรรมชาติ การกลับไปครุ่นคิดถึงจุดกำเนิด หรือความเป็นญี่ปุ่นในยุคก่อน Westernization คือซายากะตั้งใจเรียน เพราะคำพูดของคุณครู การอยากเป็นแบบครู เธอเลือกจะเรียนต่ออักษรศาสตร์ทั้งที่จริงๆแล้วเธอไม่ได้มีความสนใจมาตั้งแต่ดังเดิม แล้วยิ่งตอนจบที่เธอเองถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเธอจะเน้นการเรียนภาษาอังกฤษ (โดยครูบอกให้ทำแบบนั้น) เพื่อจะได้เข้าอักษรฯ แต่สุดท้ายเธอก็สอบไม่ได้ และได้ไปเรียนการบริหารการจัดการ ซึ่งเธอเองก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจการบริหารตั้งแต่แรก เป้าหมายของเธอจริงๆแล้วคือการเรียนเข้ามหาลัยชื่อดังมากกว่าการจะได้ไปเรียนคณะอะไรมากกว่า เพราะเธอว่ามหาลัยชื่อดัง คงมอบโอกาสมอบเส้นทางชีวิตที่ดีให้กับเธอได้ในอนาคต

คือเรากำลังจะบอกว่า ซายากะ ก็ยังคงไหลไปตามอิทธิพลของสังคมนอกบ้านเช่นเดิม คือเธอไม่มีโอกาสได้มาครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธอต้องการทำต้องการเป็นจริงๆ หรือความฝันของตัวเองจริงๆ เธอกำลังถูกสังคมบังคมให้ทำหรือเป็นอะไรที่เองก็ยังไม่รู้ว่าต้องการ ชอบ หรือคลั่งไคล้มันมากขนาดไหน เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าเข้ามหาลัยชื่อดังจะไปทำอะไร รู้เพียงว่าเธอน่าจะมีอนาคตที่ดี ซึ่งมันคล้ายกับสถานการณ์การแข่งขันทางการศึกษาในสังคมไทยตรงที่ว่า คนส่วนใหญ่เรียนมาหลายวิชามากๆ ตั้งแต่อนุบาลจนมัธยม สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร ทำอะไรนี่คือหมายถึงอาชีพนะ เพราะสมมตินักเรียนคนหนึ่งชอบชีววิทยา แต่ก็ไม่ได้แปลว่านักเรียนคนนั้นจะเรียนหมอ หรือเป็นหมอได้ ลำพังแค่ชีววิทยาเราก็ยังรู้จักมันอย่างผิวเผินมากๆ เพราะเวลาส่วนอื่นเราก็ต้องแบ่งให้กับการเรียนอีกเจ็บแปดวิชา แล้วนับประสาอะไรกับการได้รู้จักความเป็นแพทย์จริงๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเรียนแพทย์ นักเรียนไทยส่วนหนึ่งจึงเลือกเรียนแพทย์ เพราะคิดว่าคณะนี้คงจะมอบชีวิตที่ดีให้ เหมือนกับซายากะที่อยากเรียนมหาลัยเคโอเพราะเธอเชื่อว่าชีวิตเธอต้องดีขึ้นหลังจากได้ไปเรียน

จริงๆ ไอ้การที่เราถูกยัดเยียดให้เรียนเจ็ดแปดวิชา นี่น่าตั้งข้อสังเกตเหมือนกันนะว่า การยัดเยียดก็เหมือนให้โอกาสเด็กได้เจอหลายๆวิชาไว้ก่อน และก้เหมือนสุ่มไปว่าเด็กคนนี้ก็อาจจะชอบเลข เด็กคนนี้อาจจะชอบศิลปะถ้าเราไม่ถูกยัดเยียดแล้วเราจะรู้ว่าเราจะชอบชีววิทยาได้ไง หรือมันมีวิธีการอื่นอีกหรือไม่ที่ทำให้เรารู้ว่าเราชอบอะไรโดยที่ไม่ได้เป็นการยัดเยียด เพราะเราสังเกตว่าก็มีนักเรียนหลายคนที่ผ่านระบบการเรียนแบบยัดเยียด แล้วสุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร นี่ยังไม่รวมไปถึงว่าอยากจะทำอาชีพอะไรต่อไปเลยด้วยซ้ำ

ดังที่ได้กล่าวมาจะเห็นว่าเราค่อนข้างให้ความสำคัญกับ Passion ก่อนที่จะเลือกเส้นทางชีวิตไปทางไหน เราชื่อว่าเราต้องมีความสนใจก่อน และจึงเดินไปตามเส้นทางนั้น แต่ก็จะมีอีกแนวคิดเช่นกันที่เราก็กำลังสนใจว่าจริงๆแล้ว เราอาจจะไม่ต้องคิดมากว่าเราจะชอบอะไร จะอยากเป็นอะไร อยากทำอาชีพอะไร เพียงแค่เราเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงในทุกช่วงของชีวิต แล้วก็เรียนรู้ที่จะชอบ หรืออยากเป็นอะไรพร้อมๆกับการดำเนินชีวิต เหมือนกับซายากะ ซึ่งในชีวิตจริง เราว่าสองขั้วความคิดนี้ก็คงไม่แยกจากกันขนาดนั้น ในช่วงเวลาไหนเราใช้ Passion กับสิ่งที่เรารัก ในช่วงไหนเราต้องยอมทนทำในสิ่งที่เราไม่ได้ชอบ สองขั้วความคิดนี้คงมีอิทธิพลต่างกรรมต่างวาระกัน

วงการการศึกษาญี่ปุ่นดูเฮี้ยนๆ เมหือนกันนะ ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องเคร่งเครียดบากบั่นมากๆ หรือถ้าทนไมไ่ด้กับวงการก็ต้องหลุดออกจาวงโคจรนี้ไปเลย แบบซายากะตอนต้นเรื่อง บรรยากาศความกดดันของการศึกษาในญี่ปุ่นที่สุดท้ายหนังก็ทำแค่นำเสนอให้เห็นว่า เออ มันเครียดมากๆนะ กว่าจะได้เรียนมหาลัยในญี่ปุ่น มันไมไ่ด้พยายามตั้งคำถามว่า ทำยังไงบรรยากาศความตึงเครียดจะลดลง เพราะตั้งแต่เริ่มเรื่อง นางเอกก็ต่อสู้กับการเรียน จนมาถึงตอนจบเธอได้ที่เรียน วงการการศึกาาก็ยังคงเป็นแบบนั้น ยิ่งไปก็นั้น หนังยังนำเสนอให้เห็นการมีอยู่ของธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาที่พยายามปั้นเด็กให้เข้าสู่ระบบการศึกษาเครียดๆนี้ คือครูที่ดูเหมือนจะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นการเรียนการสอนที่ให้เวลาเข้าใจเด็ก ในทางตรงกันข้าม ครูโรงเรียนกวดวิชาในหนังเป็นภาพของคนที่พยายามหยิบยื่น “แบบพิมพ์นิยมของสังคม” ให้กับเด็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองสนใจอะไร แล้วเด็กก้เชื่อนะ เพราะครูนี่แหละก็เป็นอีกบุคคลที่มีความสำคัญกับเขาในช่วงวัยนั้น แล้วยิ่งมีกิมมิคในการป้อนเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา ก็ยิ่งเป็นที่พึ่งพาทางใจของเด็กได้อย่างดี มันเลยเป็นภาพของวงจรที่ในอนาคตต่อไป ความกดดันของการสอบเข้าคงมากขึ้น และประเทศไทยก็กำลังดำเนินไปในทิศทางแบบนั้นเช่นกัน

ปล1. ขอโทษที่สุดท้ายเขียนจบด้วยอคติตัวเอง
ปล2. ตอนแรกกะจะหาบทความเกี่ยวกับ Maleness in Asian Culture อ่าน แต่คือวันนี้ต้องย้ายหอเลย เขียนจากประสบการณ์ล้วนๆเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่