
1 กุลี, 32 วัน, 4 ประเทศ, 7 เมือง กับทางรถไฟที่ยาวที่สุดในจักรวาล!!
สวัสดีครับ
วันนี้จะพาไปเดินทางด้วยกัน เดินทางด้วยรถไฟสาย Trans-Siberian นี่แหละ วู้ๆๆๆ

การเดินทางครั้งนี้มีระยะเวลาเดือนกว่าๆ ไปมาเมื่อปลายตุลาคม - ต้นธันวาคม 2015 (2 ปีแล้วเพิ่งเอามาลง แหะๆ)
ผมเพิ่งสมัครเข้าโรงเรียน Pantip และนี่ก็เป็นกระทู้รีวิวแรก หากผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ (ทำเหมือนส่งรายงานมัธยม ^^)
**** ปล. คำพูดที่เขียนในรีวิวนี้ เป็นเพียงเรื่องราวและมุมมองจากผู้เขียนคนเดียว ไม่ได้ตั้งใจตัดสิน หรือพาดพิงใครทั้งนั้น อ่านเอาสนุกๆนะครับ

****
อันนี้ EP.2 จ้าา
https://pantip.com/topic/36124116/comment1-1
ส่วนนี่ก็ EP.3 ครับ
https://pantip.com/topic/36128374
EP.4 ก็มา
https://pantip.com/topic/36135624
นี่ EP.5 ครับ
https://pantip.com/topic/36146670/comment10
ก่อนจะพาไปเที่ยวขอแนะนำตัวให้ได้รู้จักมักคุ้นกันก่อนนิดนึง
ผมชื่อป้อง ชอบถ่ายรูปแต่ไม่ได้เป็นช่างภาพ อาจเป็นคนหยาบกระด้างแต่ไม่ได้หยาบคาย รักการอ่านหนังสือพอๆกับดูหนัง นอนตื่นสายทุกครั้งที่มีโอกาส ตกเย็นชอบเดินไปเซเว่นหน้าหมู่บ้าน และชอบลืมให้อาหารปลา
ขออนุญาตตั้งคำตอบก่อนที่ทุกท่านจะตั้งคำถาม
ระยะเวลาการเดินทาง : 1 เดือนกว่าๆ (ไปไม่ถึงลอนดอน T^T)
งบประมาณ : 63,000 บาท (ไม่รวมค่าของฝาก, ข้าวทุกมือ เช้า-กลางวัน-เย็น, ขนม+น้ำแปลกๆจัดเต็ม)
กล้อง : SONY a6000 + Lens 30mm F2.8 (ตัวเดียวเที่ยวทั่วโลก)
**ผมเป็น brand loyalty SONY มานาน ถ้าทาง SONY อยากจะเป็น Sponsor ให้ก็ยินดีนะครับ 5555
นอกเหนือจากคำตอบด้านบนแล้ว ถ้าทุกท่านมีคำถามอื่นก็ปาดหน้าเข้ามายิงกันได้เลยนะครับ จะพยายามอ่านและตอบให้หมด
หรือถ้าไม่อยากถามในนี้ ก็ไปกดติดตามได้ในเพจเฟสบุ๊กครับ ผมตั้งใจทำเพจเอาไว้เล่าเรื่องราวการเดินทางโดยเฉพาะ ชื่อเพจ Everyday journey
https://www.facebook.com/Everyday-journey-157579148052888/
เข้าไปถามไปคุยกันได้เบยครัช ไม่ต้องเกรงใจ
----------------------------------------------------------------------------------------------
การเดินทางของผมนั้นคงจะมีจุดเริ่มต้นคล้ายๆกับใครหลายๆคน ผมเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่ค่อนไปทางด้านล่างๆ จบจากรั้วมหาลัยก็ต้องเข้าไปในเขตรั้วออฟฟิศต่อ เพื่อทำงานหาเลี้ยงชีพเหมือนกับคนทั่วๆไป ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงินใส่กระปุก นับวันรอที่จะได้ออกไปเดินทางตามที่ฝันไว้สักครั้ง
ผมชอบคำว่า 'การเดินทาง' มากกว่า 'การท่องเที่ยว'
คิดว่าสองคำนี้มันไม่เหมือนกันนะ การท่องเที่ยว คือเราอาจจะโฉบไปนู่นไปนี่แบบไวๆ ซึมซับความสวยงามของทิวทัศน์ ลิ้มรสอาหารจานเด็ด และสูดอากาศบริสุทธิ์ แต่การเดินทางมันเป็นอะไรที่มากกว่านั้นนะผมว่า ถ้าเราตัดสินใจออกเดินทางสักครั้งหนึ่ง ไม่ว่าใกล้หรือไกล การเดินทางมันก็เริ่มทักทายเราตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากประตูบ้านแล้ว ตลอดระหว่างทางที่จะไปถึงจุดหมาย เราสามารถเก็บเกี่ยวเรื่องราว ประสบการณ์ ความรู้สึก และความคิด การเดินทางมันอาจจะทำให้เราลำบาก มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเอาไว้ทุกอย่าง มันไม่มีแบบแผนตายตัว ไม่มีกำหนดใดๆ ในการเดินทางนั้นมันอาจจะไม่มีอาหารรสชาติอร่อยเป็นส่วนประกอบ อาจจะต้องสูดควันพิษมากกว่าอากาศบริสุทธิ์ การเดินทางมันคงไม่ได้ทำให้เราอิ่มอกอิ่มใจและหายเหนื่อยเท่ากับการ'ท่องเที่ยว' แต่ผมว่าการเดินทางมันทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักโลกมากขึ้น จนทำให้เราโตมากขึ้น ผมคิดอย่างนั้น

หลงไปซะไกล กลับมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า จริงๆแล้วในโลกนี้ไม่มีชื่อรถไฟสาย Trans-Siberian Express นะ มันมีแต่ Trans-Siberain railway แต่ผมแค่อยากทำให้ชื่อมันเท่ๆเฉยๆ ก็เหมือนเด็กน้อยในการ์ตูนที่ได้ขึ้นรถไฟ Polar Express น่ะแหละ
ก่อนจะออกเดินทาง มันก็มีจุดเริ่มต้นของมัน
จุดเริ่มต้นมันมาจากการที่ผมเบื่อหน่ายชีวิต routine ในการทำงานของผมมากๆ ต้องตื่นเช้า อาบน้ำ แหกขี้ตาไปทำงาน หน้าดำคร่ำเครียดทั้งกับงานและกับคน กลับบ้านมาเหนื่อยๆ ก็ต้องรีบนอน เพราะวันรุ่งขึ้นต้องรีบไปทำงาน จนวันนึงผมถามตัวเองในกระจกระหว่างแปรงฟันตอนเช้าว่า 'ชีวิตเรามีอะไรมากกว่านี้อีกมั้ยวะ' 'นี่เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เพื่อที่จะต้องมาทำงานไปจนแก่จนเหี่ยวติดโต๊ะอย่างงั้นหรอ?' ระหว่างที่มีคำถามพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัว ก็ได้มีโอกาสไปรู้จักกับ เรย์ แมคโดนัลด์ รู้จักแต่ไม่ได้สนิทนะ (ผมรู้จักพี่เขา แต่พี่เขาไม่รู้จักผมนะ 555) ได้ดูรายการ Roaming ของพี่แก โห มันแจ่มแมวมากอ่ะ แบกเป้ใบใหญ่ขึ้นหลัง โหนรถไฟจากไทยไปอังกฤษ ไปแบบยาวๆ เข้าประเทศนู้น ออกประเทศนี้ แบบนี้แหละชีวิตที่อยากเป็น อยากเป็นนักเดินทางที่ออกไปผจญภัยอะไรแบบนี้บ้าง

พอปักหมุดความฝันตัวเองเอาไว้แล้ว ก็ทำการเก็บข้อมูลจาก Internet, Lonely Planet (guidebook) ศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับประเทศต่างๆ เพื่อจะได้ออกไปโหนรถไฟจากหัวลำโพงไปให้ถึงวอเตอร์ลูที่ลอนดอนแบบพี่แกบ้าง
ทุกอย่างมันพร้อม เว้นอยู่อย่างเดียว คือไม่มีเงิน!! -..-
ไอเด็กที่เพิ่งเริ่มทำงานอย่างเราเงินเดือนก็ต่ำยิ่งกว่าตาตุ่ม จะให้เก็บสะสมเงินหลังจากหักค่าใช้จ่ายประจำเดือน ก็คงต้องเก็บกัน 4-5 ปี กว่าจะได้ไป ถ้าเป็นอย่างนั้นความฝันมันก็ละลายหายไปหมด ก็ตัดสินใจเปลี่ยนงานใหม่ เริ่มหางานที่ต้องไปทำที่ญี่ปุ่น เพื่อไปกวาดเอาเงินเยนที่แข็งค่ากว่า ตอนไปทำงานที่ญี่ปุ่น ตอนแรกก็นั่งหน้าคอมเป็นพนักงานออฟฟิศดีๆอยู่หรอก แต่พอทำได้สักพัก ก็โดนเกณฑ์ลงไปทำงานหน้าเครื่องจักร ใช้แรงงาน กลายเป็นกุลีสยามในต่างแดนเต็มตัว ทำงานหามรุ่งหามค่ำ 8 โมงเช้า ถึง 6โมง ไม่มีวันหยุด ไม่ได้พัก มันเป็นจุดพีคสุดๆเลยขอบอก น้ำไม่ได้อาบ 3 อาทิตย์ติดต่อกัน โดนคนญี่ปุ่นด่า กดหัว ข่มขี่ ข่มเหง (แต่ยังไม่โดนข่มขืนนะ)
คุณเอ๊ยยยย ชีวิตในญี่ปุ่นมันไม่อบอุ่นเหมือนในความคิดของหลายๆคน

/ เอาไว้เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลังเมื่อมีโอกาส
แต่ค่าตอบแทนที่ได้ตอนปลายเดือนมันก็ทำให้หายเหนื่อยได้เลยนะ เงินเดือนที่ญี่ปุ่น บวกค่าโอที เดือนนึงได้เงินเยอะกว่าทำที่ไทยทั้งปีซะอีก จริงๆจะอยู่ทำสัก 1 ปี แต่งานมันหนักจริงๆเสียสุขภาพสุดๆ ก็เลยลาออกมาตอนเดือนที่ 6 หอบเงินเยนเข้าสยามได้สมใจ

เมื่อเงิน เวลา สุขภาพ มาบรรจบกัน ณ เวลาใด เวลานั้นควรออกเดินทาง - ไม่รู้ใครกล่าวไว้!
ตอนนี้มีปัจจัยต่างๆที่ว่ามาครบหมดแล้วครับ เงินก็มีพอสมควร เวลายิ่งมีเหลือเปือ (เพราะลาออกมาแล้ว) อายุก็เพิ่ง 24 ปีถือว่าสุขภาพยังดีอยู่ เพราะงั้นก็ลุยได้สบายๆ ไปไหนไปกัน ค่ำไหนนอนนั่น แอร๊ย!

เอาล่ะ ซดน้ำกันไปเยอะแล้ว ก่อนจะสำลักน้ำตาย ก็ขอเข้าเนื้อเลยแล้วกัน มาดูกันว่าการเดินทางโดยรถไฟที่มีลอนดอนเป็นเป้าหมายครั้งนี้มันจะไปได้ไกลแค่ไหนกัน!!!
เพื่อลดความเสี่ยงอันเนื่องจากการเดินทางระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน ผมเลยตัดสินใจนั่งเครื่องไปเริ่มต้นที่จีนเอาเลย
ผมนั่งเครื่องบินหางแดงจาก กทม. ไป ปักกิ่ง เครื่องบินลำใหญ่ทีเดียว มีแต่คนจีนเต็มลำ ผมถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ ไม่เข้าใจว่าเมืองไทยก็ร้อนจนตับแตก ทำไมผู้โดยสารคนจีนเหล่านี้ต้องสวมเสื้อกันหนาวอย่างกับจะไปนิวยอร์คแฟชั่นวีค ผมในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวก็ได้แค่นั่งหนิมๆหัวเราะในใจ ตกดึกก็ถึงกับขำไม่ออก ไม่นานที่นกยักษ์บินพ้นน่านฟ้าไทย อากาศในห้องโดยสารถึงกับเย็นเยือก ต้องสะดุ้งตื่นกอดอกถูกมือเหน็บรักแร้ขอไออุ่น ส่วนพวกพี่ๆคนจีนก็นอนอบอุ่นสบายใจในเสื้อหนาว แข่งกันกรนกันค่อกๆ
ถึงสนามบินปักกิ่งตอน ตี4 ซึ่งมันเช้าเกินกว่าจะออกไปแอ่วในเมือง ส่วนรถไฟใต้ดินที่เชื่อมสนามบินไปสู่ใจกลางเมือง ก็ยังหลับไม่ตื่นต้องรอจนกว่าจะถึงเวลา 6 โมงเช้า ผมใช้หาเก้าอี้จะงีบนอนพักรอเวลาสักหน่อย แต่เก้าอี้ทุกตัวในสนามบินถูกจับจองด้วยพี่ๆชาวมังกรที่นั่งๆนอนๆ ยืดตัวยาวกินไปหลายที่นั่ง

แผนการของวันแรกก็ไม่มีอะไรมาก แค่เดินหาที่พักให้เจอ เหวี่ยงกระเป๋า Backpack ไว้บนเตียงแล้วสะพายกล้องออกไปท่องยุทธภพ การเดินทางจากสนามบินไปยังตัวเมืองปักกิ่งก็มีเจ้ารถไฟใต้ดินนี่แหละ มันเสนอตัวในราคา 25 หยวน (ราวๆ 150 บาทในตอนนั้น) แต่ก็จะมีแท็กซี่เถื่อนเป็นอีกทางเลือก ที่บอกว่าแท็กซี่เถื่อน ก็เพราะตัดสินจากท่าทางการเรียกลูกค้าของลุงเค้า เจ้าตัวใส่เสื้อหนังกางเกงวอร์มรองเท้าผ้าใบ มาพร้อมกับหน้าตาคล้ายนักเลงหางแถวแบบในหนังเจ้าพ่อ ที่ชอบส่งเสียงดุดันหาเรื่อง ลุงเดินชี้หน้าพ่นภาษาท้องถิ่นใส่ผมเป็นชุด ตอนแรกก็นึกว่าเป็นคนบ้าเดินมาหาเรื่อง เพิ่งจะมาเข้าใจทีหลังว่ามาหาลูกค้า ลุงเสนอตั๋วแท็กซี่เที่ยวเดียวด้วยราคา 20 หยวน ปลายทางสถานีรถไฟใต้ดินตงจื่อเหมิน (Dongzhimen station) ซึ่งเป็นปลายทางเดียวกับเจ้ารถไฟใต้ดินที่ยังหลับไม่ตื่น
เหยยย ถูกกว่ากันตั้ง 5 หยวน เอาวะ ไปก็ไป (เสียท่าเพราะลดราคาทุกที)
ระหว่างทางนั่งรถแท็กซี่เถื่อนไป ก็ตัวโก่งลุ้นระทึกไปว่าลุงเค้าจะพากุ้งแห้งสยามตัวนี้ไปขายในย่านโคมแดงที่ไหนรึเปล่า > <
สุดท้ายก็หายใจโล่งคอเมื่อลุงเค้ามาส่งถึงจุดหมายปลายทาง หน้าปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินตงจื่อเหมินเลย สังเกตุเจ้าตึกเหลืองนี้ๆ ถ้าเห็นตึกนี้ก็แสดงว่านั่นแหละ Dongzhimen station!!
[CR] ★ EVERYDAY-JOURNEY : Trans-Siberian Express ★ EP.1 China
1 กุลี, 32 วัน, 4 ประเทศ, 7 เมือง กับทางรถไฟที่ยาวที่สุดในจักรวาล!!
สวัสดีครับ
วันนี้จะพาไปเดินทางด้วยกัน เดินทางด้วยรถไฟสาย Trans-Siberian นี่แหละ วู้ๆๆๆ
การเดินทางครั้งนี้มีระยะเวลาเดือนกว่าๆ ไปมาเมื่อปลายตุลาคม - ต้นธันวาคม 2015 (2 ปีแล้วเพิ่งเอามาลง แหะๆ)
ผมเพิ่งสมัครเข้าโรงเรียน Pantip และนี่ก็เป็นกระทู้รีวิวแรก หากผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ (ทำเหมือนส่งรายงานมัธยม ^^)
**** ปล. คำพูดที่เขียนในรีวิวนี้ เป็นเพียงเรื่องราวและมุมมองจากผู้เขียนคนเดียว ไม่ได้ตั้งใจตัดสิน หรือพาดพิงใครทั้งนั้น อ่านเอาสนุกๆนะครับ
อันนี้ EP.2 จ้าา
https://pantip.com/topic/36124116/comment1-1
ส่วนนี่ก็ EP.3 ครับ
https://pantip.com/topic/36128374
EP.4 ก็มา
https://pantip.com/topic/36135624
นี่ EP.5 ครับ
https://pantip.com/topic/36146670/comment10
ก่อนจะพาไปเที่ยวขอแนะนำตัวให้ได้รู้จักมักคุ้นกันก่อนนิดนึง
ผมชื่อป้อง ชอบถ่ายรูปแต่ไม่ได้เป็นช่างภาพ อาจเป็นคนหยาบกระด้างแต่ไม่ได้หยาบคาย รักการอ่านหนังสือพอๆกับดูหนัง นอนตื่นสายทุกครั้งที่มีโอกาส ตกเย็นชอบเดินไปเซเว่นหน้าหมู่บ้าน และชอบลืมให้อาหารปลา
ขออนุญาตตั้งคำตอบก่อนที่ทุกท่านจะตั้งคำถาม
ระยะเวลาการเดินทาง : 1 เดือนกว่าๆ (ไปไม่ถึงลอนดอน T^T)
งบประมาณ : 63,000 บาท (ไม่รวมค่าของฝาก, ข้าวทุกมือ เช้า-กลางวัน-เย็น, ขนม+น้ำแปลกๆจัดเต็ม)
กล้อง : SONY a6000 + Lens 30mm F2.8 (ตัวเดียวเที่ยวทั่วโลก)
**ผมเป็น brand loyalty SONY มานาน ถ้าทาง SONY อยากจะเป็น Sponsor ให้ก็ยินดีนะครับ 5555
นอกเหนือจากคำตอบด้านบนแล้ว ถ้าทุกท่านมีคำถามอื่นก็ปาดหน้าเข้ามายิงกันได้เลยนะครับ จะพยายามอ่านและตอบให้หมด
หรือถ้าไม่อยากถามในนี้ ก็ไปกดติดตามได้ในเพจเฟสบุ๊กครับ ผมตั้งใจทำเพจเอาไว้เล่าเรื่องราวการเดินทางโดยเฉพาะ ชื่อเพจ Everyday journey
https://www.facebook.com/Everyday-journey-157579148052888/
เข้าไปถามไปคุยกันได้เบยครัช ไม่ต้องเกรงใจ
----------------------------------------------------------------------------------------------
การเดินทางของผมนั้นคงจะมีจุดเริ่มต้นคล้ายๆกับใครหลายๆคน ผมเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่ค่อนไปทางด้านล่างๆ จบจากรั้วมหาลัยก็ต้องเข้าไปในเขตรั้วออฟฟิศต่อ เพื่อทำงานหาเลี้ยงชีพเหมือนกับคนทั่วๆไป ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงินใส่กระปุก นับวันรอที่จะได้ออกไปเดินทางตามที่ฝันไว้สักครั้ง
ผมชอบคำว่า 'การเดินทาง' มากกว่า 'การท่องเที่ยว'
คิดว่าสองคำนี้มันไม่เหมือนกันนะ การท่องเที่ยว คือเราอาจจะโฉบไปนู่นไปนี่แบบไวๆ ซึมซับความสวยงามของทิวทัศน์ ลิ้มรสอาหารจานเด็ด และสูดอากาศบริสุทธิ์ แต่การเดินทางมันเป็นอะไรที่มากกว่านั้นนะผมว่า ถ้าเราตัดสินใจออกเดินทางสักครั้งหนึ่ง ไม่ว่าใกล้หรือไกล การเดินทางมันก็เริ่มทักทายเราตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากประตูบ้านแล้ว ตลอดระหว่างทางที่จะไปถึงจุดหมาย เราสามารถเก็บเกี่ยวเรื่องราว ประสบการณ์ ความรู้สึก และความคิด การเดินทางมันอาจจะทำให้เราลำบาก มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเอาไว้ทุกอย่าง มันไม่มีแบบแผนตายตัว ไม่มีกำหนดใดๆ ในการเดินทางนั้นมันอาจจะไม่มีอาหารรสชาติอร่อยเป็นส่วนประกอบ อาจจะต้องสูดควันพิษมากกว่าอากาศบริสุทธิ์ การเดินทางมันคงไม่ได้ทำให้เราอิ่มอกอิ่มใจและหายเหนื่อยเท่ากับการ'ท่องเที่ยว' แต่ผมว่าการเดินทางมันทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักโลกมากขึ้น จนทำให้เราโตมากขึ้น ผมคิดอย่างนั้น
หลงไปซะไกล กลับมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า จริงๆแล้วในโลกนี้ไม่มีชื่อรถไฟสาย Trans-Siberian Express นะ มันมีแต่ Trans-Siberain railway แต่ผมแค่อยากทำให้ชื่อมันเท่ๆเฉยๆ ก็เหมือนเด็กน้อยในการ์ตูนที่ได้ขึ้นรถไฟ Polar Express น่ะแหละ
ก่อนจะออกเดินทาง มันก็มีจุดเริ่มต้นของมัน
จุดเริ่มต้นมันมาจากการที่ผมเบื่อหน่ายชีวิต routine ในการทำงานของผมมากๆ ต้องตื่นเช้า อาบน้ำ แหกขี้ตาไปทำงาน หน้าดำคร่ำเครียดทั้งกับงานและกับคน กลับบ้านมาเหนื่อยๆ ก็ต้องรีบนอน เพราะวันรุ่งขึ้นต้องรีบไปทำงาน จนวันนึงผมถามตัวเองในกระจกระหว่างแปรงฟันตอนเช้าว่า 'ชีวิตเรามีอะไรมากกว่านี้อีกมั้ยวะ' 'นี่เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เพื่อที่จะต้องมาทำงานไปจนแก่จนเหี่ยวติดโต๊ะอย่างงั้นหรอ?' ระหว่างที่มีคำถามพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัว ก็ได้มีโอกาสไปรู้จักกับ เรย์ แมคโดนัลด์ รู้จักแต่ไม่ได้สนิทนะ (ผมรู้จักพี่เขา แต่พี่เขาไม่รู้จักผมนะ 555) ได้ดูรายการ Roaming ของพี่แก โห มันแจ่มแมวมากอ่ะ แบกเป้ใบใหญ่ขึ้นหลัง โหนรถไฟจากไทยไปอังกฤษ ไปแบบยาวๆ เข้าประเทศนู้น ออกประเทศนี้ แบบนี้แหละชีวิตที่อยากเป็น อยากเป็นนักเดินทางที่ออกไปผจญภัยอะไรแบบนี้บ้าง
พอปักหมุดความฝันตัวเองเอาไว้แล้ว ก็ทำการเก็บข้อมูลจาก Internet, Lonely Planet (guidebook) ศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับประเทศต่างๆ เพื่อจะได้ออกไปโหนรถไฟจากหัวลำโพงไปให้ถึงวอเตอร์ลูที่ลอนดอนแบบพี่แกบ้าง
ทุกอย่างมันพร้อม เว้นอยู่อย่างเดียว คือไม่มีเงิน!! -..-
ไอเด็กที่เพิ่งเริ่มทำงานอย่างเราเงินเดือนก็ต่ำยิ่งกว่าตาตุ่ม จะให้เก็บสะสมเงินหลังจากหักค่าใช้จ่ายประจำเดือน ก็คงต้องเก็บกัน 4-5 ปี กว่าจะได้ไป ถ้าเป็นอย่างนั้นความฝันมันก็ละลายหายไปหมด ก็ตัดสินใจเปลี่ยนงานใหม่ เริ่มหางานที่ต้องไปทำที่ญี่ปุ่น เพื่อไปกวาดเอาเงินเยนที่แข็งค่ากว่า ตอนไปทำงานที่ญี่ปุ่น ตอนแรกก็นั่งหน้าคอมเป็นพนักงานออฟฟิศดีๆอยู่หรอก แต่พอทำได้สักพัก ก็โดนเกณฑ์ลงไปทำงานหน้าเครื่องจักร ใช้แรงงาน กลายเป็นกุลีสยามในต่างแดนเต็มตัว ทำงานหามรุ่งหามค่ำ 8 โมงเช้า ถึง 6โมง ไม่มีวันหยุด ไม่ได้พัก มันเป็นจุดพีคสุดๆเลยขอบอก น้ำไม่ได้อาบ 3 อาทิตย์ติดต่อกัน โดนคนญี่ปุ่นด่า กดหัว ข่มขี่ ข่มเหง (แต่ยังไม่โดนข่มขืนนะ)
คุณเอ๊ยยยย ชีวิตในญี่ปุ่นมันไม่อบอุ่นเหมือนในความคิดของหลายๆคน
แต่ค่าตอบแทนที่ได้ตอนปลายเดือนมันก็ทำให้หายเหนื่อยได้เลยนะ เงินเดือนที่ญี่ปุ่น บวกค่าโอที เดือนนึงได้เงินเยอะกว่าทำที่ไทยทั้งปีซะอีก จริงๆจะอยู่ทำสัก 1 ปี แต่งานมันหนักจริงๆเสียสุขภาพสุดๆ ก็เลยลาออกมาตอนเดือนที่ 6 หอบเงินเยนเข้าสยามได้สมใจ
เมื่อเงิน เวลา สุขภาพ มาบรรจบกัน ณ เวลาใด เวลานั้นควรออกเดินทาง - ไม่รู้ใครกล่าวไว้!
ตอนนี้มีปัจจัยต่างๆที่ว่ามาครบหมดแล้วครับ เงินก็มีพอสมควร เวลายิ่งมีเหลือเปือ (เพราะลาออกมาแล้ว) อายุก็เพิ่ง 24 ปีถือว่าสุขภาพยังดีอยู่ เพราะงั้นก็ลุยได้สบายๆ ไปไหนไปกัน ค่ำไหนนอนนั่น แอร๊ย!
เอาล่ะ ซดน้ำกันไปเยอะแล้ว ก่อนจะสำลักน้ำตาย ก็ขอเข้าเนื้อเลยแล้วกัน มาดูกันว่าการเดินทางโดยรถไฟที่มีลอนดอนเป็นเป้าหมายครั้งนี้มันจะไปได้ไกลแค่ไหนกัน!!!
เพื่อลดความเสี่ยงอันเนื่องจากการเดินทางระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน ผมเลยตัดสินใจนั่งเครื่องไปเริ่มต้นที่จีนเอาเลย
ผมนั่งเครื่องบินหางแดงจาก กทม. ไป ปักกิ่ง เครื่องบินลำใหญ่ทีเดียว มีแต่คนจีนเต็มลำ ผมถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ ไม่เข้าใจว่าเมืองไทยก็ร้อนจนตับแตก ทำไมผู้โดยสารคนจีนเหล่านี้ต้องสวมเสื้อกันหนาวอย่างกับจะไปนิวยอร์คแฟชั่นวีค ผมในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวก็ได้แค่นั่งหนิมๆหัวเราะในใจ ตกดึกก็ถึงกับขำไม่ออก ไม่นานที่นกยักษ์บินพ้นน่านฟ้าไทย อากาศในห้องโดยสารถึงกับเย็นเยือก ต้องสะดุ้งตื่นกอดอกถูกมือเหน็บรักแร้ขอไออุ่น ส่วนพวกพี่ๆคนจีนก็นอนอบอุ่นสบายใจในเสื้อหนาว แข่งกันกรนกันค่อกๆ
ถึงสนามบินปักกิ่งตอน ตี4 ซึ่งมันเช้าเกินกว่าจะออกไปแอ่วในเมือง ส่วนรถไฟใต้ดินที่เชื่อมสนามบินไปสู่ใจกลางเมือง ก็ยังหลับไม่ตื่นต้องรอจนกว่าจะถึงเวลา 6 โมงเช้า ผมใช้หาเก้าอี้จะงีบนอนพักรอเวลาสักหน่อย แต่เก้าอี้ทุกตัวในสนามบินถูกจับจองด้วยพี่ๆชาวมังกรที่นั่งๆนอนๆ ยืดตัวยาวกินไปหลายที่นั่ง
แผนการของวันแรกก็ไม่มีอะไรมาก แค่เดินหาที่พักให้เจอ เหวี่ยงกระเป๋า Backpack ไว้บนเตียงแล้วสะพายกล้องออกไปท่องยุทธภพ การเดินทางจากสนามบินไปยังตัวเมืองปักกิ่งก็มีเจ้ารถไฟใต้ดินนี่แหละ มันเสนอตัวในราคา 25 หยวน (ราวๆ 150 บาทในตอนนั้น) แต่ก็จะมีแท็กซี่เถื่อนเป็นอีกทางเลือก ที่บอกว่าแท็กซี่เถื่อน ก็เพราะตัดสินจากท่าทางการเรียกลูกค้าของลุงเค้า เจ้าตัวใส่เสื้อหนังกางเกงวอร์มรองเท้าผ้าใบ มาพร้อมกับหน้าตาคล้ายนักเลงหางแถวแบบในหนังเจ้าพ่อ ที่ชอบส่งเสียงดุดันหาเรื่อง ลุงเดินชี้หน้าพ่นภาษาท้องถิ่นใส่ผมเป็นชุด ตอนแรกก็นึกว่าเป็นคนบ้าเดินมาหาเรื่อง เพิ่งจะมาเข้าใจทีหลังว่ามาหาลูกค้า ลุงเสนอตั๋วแท็กซี่เที่ยวเดียวด้วยราคา 20 หยวน ปลายทางสถานีรถไฟใต้ดินตงจื่อเหมิน (Dongzhimen station) ซึ่งเป็นปลายทางเดียวกับเจ้ารถไฟใต้ดินที่ยังหลับไม่ตื่น
เหยยย ถูกกว่ากันตั้ง 5 หยวน เอาวะ ไปก็ไป (เสียท่าเพราะลดราคาทุกที)
ระหว่างทางนั่งรถแท็กซี่เถื่อนไป ก็ตัวโก่งลุ้นระทึกไปว่าลุงเค้าจะพากุ้งแห้งสยามตัวนี้ไปขายในย่านโคมแดงที่ไหนรึเปล่า > <
สุดท้ายก็หายใจโล่งคอเมื่อลุงเค้ามาส่งถึงจุดหมายปลายทาง หน้าปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินตงจื่อเหมินเลย สังเกตุเจ้าตึกเหลืองนี้ๆ ถ้าเห็นตึกนี้ก็แสดงว่านั่นแหละ Dongzhimen station!!