ทางด้าน The Higher Education and Research Bill กับ White Paper ก็ได้เดินเข้าไปยังรัฐสภาเพื่อแสดงเจตจำนงในการพยายามยกระดับการศึกษาประเทศอังกฤษเป็นรูปแบบตลาดเสรีใหม่ตามประเทศอเมริกา
สำหรับผลกำไรที่ได้รับของผู้ที่เปิดโรงเรียนเอกชนก็เข้ากระเป๋าพวกเขาอย่างรวดเร็วและเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้ามหาลัยตามที่ต่างๆ รับนักศึกษาไม่จำกัดจำนวนและมีข้อมูลชี้ว่า มีการเสียค่าธรรมเนียมในการติว 9000 ปอนด์ต่อนักศึกษา 1 คน กฎระเบียบก็พังไม่เป็นท่าและแสดงให้เห็นถึงรูปแบบบริษัทที่แสวงหากำไรและเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้นักศึกษา ผู้ทำงานและเสรีภาพทางด้านวิชาการ
การจำกัดจำนวนนักศึกษาตอนนี้ก็ล้มเหลวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางด้าน The Bill ก็มีการยอมรับเรื่องการเพิ่มค่าธรรมเนียมสำหรับการติวสอน ในช่วงแรกนั้นมีปัญหาเรื่องภาวะเงินเฟ้อ แต่โดยรวมแล้วค่าใช้จ่ายเริ่มแพงมากขึ้น ในมหาลัยตามที่ต่างๆก็มุ่งเป้าไปยังการสอนที่ไร้ประโยชน์ มีการมุ่งเน้นให้นักศึกษาแข่งขันหนัก เป้าหมายก็จะเป็นการสร้างอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นขายใบปริญญา เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับผู้เสียภาษีและตัวของนักศึกษาเอง
การเปลี่ยนแปลงต่างๆนี้จะทำให้หลายประเทศที่อยู่ในเครือสหราชอาณาจักรได้รับผลกระทบตามมาด้วย ตัวอย่างเช่น ทางด้านสภาเวลส์ก็ได้ลงมติให้มีการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับนักศึกษาตามสถาบันต่างๆและทางด้านมหาวิทยาลัยสกอตแลนด์ก็มีการใช้รูปแบบ Teaching Excellence Framework (TEF) ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นการสอนหรือเน้นในเรื่องความดีเลิศอะไรมากมาย ทางด้านรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็ได้เขียนเอาไว้ว่า เพียงแค่ใช้หลักเกณฑ์ “เน้นในเรื่องคุณภาพ” ก็เป็นเรื่องง่ายที่เอกชนจะยินยอมทำตาม
ทางด้าน The White Paper ก็ได้ถูกโจมตีจากฝ่าย Green Paper แม้ว่าในรายละเอียดจำนวน 600 บทวิจารณ์จากมหาวิทยาลัยตามที่ต่างๆ ทั้งองค์กรระดับสูงทางสังคมและกลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อเสนอแนะต่างๆ มีผู้สนับสนุนเพียงแค่จากกลุ่มภาคเอกชนที่เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องดังกล่าว
ในแถลงการณ์ของ Tories’Cheerleaders เกี่ยวกับ “สถาบันคู่แข่ง” กับ “ทางเลือกของนักศึกษา” ในรูปแบบของประเทศอเมริกานั้นก็นำไปสู่การออกอุบายจากทางมหาวิทยาลัยภาคเอกชนที่มีข้อเสนอแนะในการเปิดหลักสูตรการบริหารกับอสังหาริมทรัพย์และตอนนี้ก็ล้มเหลวในการดำเนินคดีจากผู้ฉ้อโกงและชี้ทางผิดๆและมีเล่ห์กลต่างๆเข้ามามากขึ้น ทำให้นักศึกษาหลายพันคนที่จบออกมาแบบไม่มีคุณภาพ
ในที่ประเทศอังกฤษนั้น พวกเราก็จะเริ่มเห็นกรณีอื้อฉาวในการเรียนรู้หลักสูตรทางด้านการบัญชี ซึ่งภาคเอกชนได้เสนอให้ทางรัฐบาลส่งเสริมหลักสูตรดังกล่าว ในช่วงเวลาที่เจอกับเรื่องฉ้อโกง ทางด้านคณะกรรมการงานบัญชีสาธารณะก็ได้กล่าวว่า ภาคเอกชนมีการวางกฎมาตรการได้แย่เอามากๆ ด้วยเหตุนี้นักศึกษาหลายคนไม่สามารถการันตีได้ว่า เรียนจบแล้วจะมีคุณภาพจริง ทางด้าน Bill ก็มีการวางมาตรการนี้ได้แย่กว่าที่อื่นๆ
สิ่งต่อไปที่จะต้องมาดูในมหาวิทยาลัยภาคเอกชนก็คือ การสร้างมหาวิทยาลัยเพื่อการค้าทำกำไรและมีข้อถกเถียงประเด็นเสรีภาพทางด้านวิชาการ ในระเบียบวาระก็จะเป็นสัญลักษณ์ของระบบมหาวิทยาลัยที่ควบคุมตรวจตราทั้งๆที่ทางมหาวิทยาลัยภาคเอกชนยังแสวงหากำไรให้ได้สูงสุด ในประเด็นเสรีภาพทางด้านวิชาการนั้น ทางด้าน Tories เกลียดการที่นักวิทยาศาสตร์ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงนโยบายสารเสพติดเกี่ยวกับการพิสูจน์หลักฐานเบื้องต้น หรือการเปิดโปงประเด็นที่ว่า รถ Volkswagen กินน้ำมันดีเซลมากเกินควร
เสรีภาพ
ในการทำรายงานทางด้านวิชาการหรือทำการทดลองนั้น ปกติแล้วจะมีทุนสนับสนุนจากภาครัฐหรือภาคธุรกิจ ในเสรีภาพทางด้านวิชาการเป็นเรื่องง่ายที่จะแสดงออกถึงการปกป้องผลประโยชน์ ทางด้าน HE Bill ก็ได้รื้อถอนระบบกลไกออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน (HEFCE กับสภาองคมนตรี) ในการปกป้องสิทธิเสรีภาพนี้
มหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศอังกฤษได้รายงานว่ามีเงินทุนมากกว่า 30 ล้านปอนด์ แต่มหาวิทยาลัยบางแห่งมีการทำงานอย่างเร่งรัดและละเลยในการขับเคลื่อนเดินหน้าการวิจัย พร้อมกับมีห้องเรียนขนาดไม่ใหญ่มากและมักชอบปรึกษาหารือเกี่ยวกับโครงการใหญ่ ตลอดจนถึงมีรูปแบบการสอนให้คณะผู้ทำงานไม่กี่คนทำงานวิจัยให้มาก ส่วนใหญ่ก็จะการทำรายละเอียดการวิจัยที่ไม่น่าเชื่อถือและมีสัดส่วนนักศึกษาต่อผู้ทำงานสูงมาก ในช่วงเวลาเดียวกันก็มีการยกระดับระเบียบกฎเกณฑ์มากขึ้นโดยมีการใช้งบประมาณไปกับการสร้างอาคารใหม่และโครงการคณะมากกว่าจะสร้างบุคลากรใหม่ๆขึ้นมาคิดเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปี 1970 จนถึง 45 เปอร์เซ็นต์ในตอนนี้
นักศึกษาหลายคนจะเห็นว่ามีผู้บรรยายหลายคนจำนวนไม่มากและก็พบว่าพวกเขามักจะมาจากนักศึกษาที่จบมาใหม่เพียงไม่กี่ปีมากกว่าที่จะเป็นคนที่มีอายุมาก
นักศึกษาหลายคนไม่ได้ประโยชน์อะไรกับการปฎิรูปการศึกษา ทั้งนักเรียนในต่างประเทศและอังกฤษเองก็มีการจ่ายค่าธรรมเนียมแพงเกินไปและได้รับสิทธิพิเศษต่างๆในการศึกษา ในขณะเดียวกับผู้ทำงานรู้เห็นเป็นใจกับค่าใช้จ่ายและเงื่อนไขข้อแม้ต่างๆเป็นเวลาหลายปี
ทางด้าน The White Paper กับ He Bill ก็ได้ออกโรงเมื่ออุตสาหกรรมได้ส่งเสริมการตั้งวิทยาเขตมหาวิทยาลัย สมาชิก UCU ปัจจุบันก็ได้ประท้วงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการศึกษาตลอด 24 ชั่วโมงและพูดถึงความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษา โดยการกำหนดวันที่ตามปฎิทินมหาวิทยาลัยหรือช่วงเวลานั้นก็เป็นไปตามแผนผังของคุณครู สมาชิกของ NUT เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม จนเริ่มมีการประท้วงตลอด 48 ชั่วโมงทั่วประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 25 กับ 26 พฤษภาคม
มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับค่าจ้าง ซึ่งมีการเสนอเพิ่มค่าจ้าง 1.1 เปอร์เซ็นต์โดยไม่จำเป็น ในขณะที่รองอธิการบดีหลายคนก็ได้รับค่าตอบแทนสูงถึง 6 เปอร์เซ็นต์ต่อไป แต่มีข้อถกเถียงว่ามีการได้รับค่าตอบแทนถึง 12 เปอร์เซ็นต์โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎระเบียบวิทยาเขต รายได้โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 6000 ปอนด์ ซึ่งทั้งชายและหญิงจะได้รับค่าตอบแทนไม่เท่ากัน และยังอาศัยช่องโหว่ในสัญญาว่าจ้างรวมไปถึงสัญญาจ้างศูนย์ชั่วโมง ตลอดจนถึงกลุ่ม Higher Education ทั้งสองประเดนเหล่านี้ถือเป็นแรงจูงใจที่สำคัญในการประท้วง 48 ชั่วโมง
การวางกฎเกณฑ์ที่สำคัญจากล่างสู่บนนั้น ทางด้าน UCU ในพื้นที่กรุงลอนดอนก็ได้ทำการปฎิบัติการประท้วงต่อเนื่อง ในวันแรกสมาชิก UCU ก็ได้ร่วมขบวนกับ UCEA ในการประท้วงช่องโหว่ทางด้านค่าจ้าง ในวันต่อมาก็ทำการประท้วงต่อมหาวิทยาลัยใจกลางกรุงลอนดอน ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้เป็นต้นแบบในการสร้างมหาวิทยาลัยทั่วประเทศอังกฤษ
UCU ก็เป็นวิทยาเขตหลักของผู้บรรยายหลายคน โดยทางด้านองค์กรแรงงานก็ได้หยิบยกข้อถกเถียงเกี่ยวกับปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินการให้ไปสู่ชัยชนะหลังจากที่ถูกแช่แข็งค่าจ้างมาเป็นเวลานาน เป็นที่ชัดเจนว่ามีข้อถกเถียงเป็นวงกว้างในการประท้วงและการเคลื่อนไหวประท้วงระยะสั้น (ASOS) อย่างเช่นการเคลื่อนไหว Marking Boycott ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นปัจจัยสำคัญในการชี้ชะตาการเป็นผู้ชนะ
ค่าจ้างกับการคัดค้านการจ่ายเงินบำนาญในส่วนของกลุ่ม HE นั้น ทางด้านพนักงานหลายคนก็ได้ถูกลงโทษตัดค่าใช้จ่ายจากการเคลื่อนไหว ASOS ทางด้านสหภาพก็ล้มเหลวต่อการเคลื่อนไหวประเด็นนี้เป็นเรื่องระดับประเทศ UCU ในแต่ละสาขาก็เจอกับการลดค่าจ้างจนต้องขับเคลื่อนต่อสู้เรื่องนี้เพียงลำพัง เรื่องแบบนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นอีก ทางด้านนักเคลื่อนไหวหลายคนก็ได้โหวตให้ทางสภาพิจารณาในการลดค่าจ้างของตัวเองจากการเคลื่อนไหวประท้วงเรื่องนี้จากสหภาพ
ฝ่ายตรงข้าม The White Paper ก็เริ่มเติบโตมากขึ้น มีการประชุมจากฝ่าย Higher Education มีการระดมเหล่านักวิชาการกับนักเคลื่อนไหว UCU ก็ก่อตั้ง Alternative White Paper (AWP) โดยเริ่มทำข้อเสนอที่จะทำให้ผู้คน Higher Education มากขึ้น
การรณรงค์นี้ก็ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางและ และทางด้าน AWP ก็ได้เสนอเรื่องนี้ต่อรัฐสภาพร้อมกับสนับสนุนให้พรรคแรงงานกับกรีนผลักดันเรื่องนี้ ยังมีแบบแผนอื่นๆในการเสนอให้กับที่ประชุมใหญ่เกี่ยวกับอนาคตนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในอนาคตวันที่ 15 ตุลาคม และมีการนัดประชุม AWP ตามวิทยาเขตต่างๆ
ปัญหาการศึกษาที่มุ่งเน้นเป็นสถาบันตลาด
ทางด้าน The Higher Education and Research Bill กับ White Paper ก็ได้เดินเข้าไปยังรัฐสภาเพื่อแสดงเจตจำนงในการพยายามยกระดับการศึกษาประเทศอังกฤษเป็นรูปแบบตลาดเสรีใหม่ตามประเทศอเมริกา
สำหรับผลกำไรที่ได้รับของผู้ที่เปิดโรงเรียนเอกชนก็เข้ากระเป๋าพวกเขาอย่างรวดเร็วและเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้ามหาลัยตามที่ต่างๆ รับนักศึกษาไม่จำกัดจำนวนและมีข้อมูลชี้ว่า มีการเสียค่าธรรมเนียมในการติว 9000 ปอนด์ต่อนักศึกษา 1 คน กฎระเบียบก็พังไม่เป็นท่าและแสดงให้เห็นถึงรูปแบบบริษัทที่แสวงหากำไรและเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้นักศึกษา ผู้ทำงานและเสรีภาพทางด้านวิชาการ
การจำกัดจำนวนนักศึกษาตอนนี้ก็ล้มเหลวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางด้าน The Bill ก็มีการยอมรับเรื่องการเพิ่มค่าธรรมเนียมสำหรับการติวสอน ในช่วงแรกนั้นมีปัญหาเรื่องภาวะเงินเฟ้อ แต่โดยรวมแล้วค่าใช้จ่ายเริ่มแพงมากขึ้น ในมหาลัยตามที่ต่างๆก็มุ่งเป้าไปยังการสอนที่ไร้ประโยชน์ มีการมุ่งเน้นให้นักศึกษาแข่งขันหนัก เป้าหมายก็จะเป็นการสร้างอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นขายใบปริญญา เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับผู้เสียภาษีและตัวของนักศึกษาเอง
การเปลี่ยนแปลงต่างๆนี้จะทำให้หลายประเทศที่อยู่ในเครือสหราชอาณาจักรได้รับผลกระทบตามมาด้วย ตัวอย่างเช่น ทางด้านสภาเวลส์ก็ได้ลงมติให้มีการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับนักศึกษาตามสถาบันต่างๆและทางด้านมหาวิทยาลัยสกอตแลนด์ก็มีการใช้รูปแบบ Teaching Excellence Framework (TEF) ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นการสอนหรือเน้นในเรื่องความดีเลิศอะไรมากมาย ทางด้านรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็ได้เขียนเอาไว้ว่า เพียงแค่ใช้หลักเกณฑ์ “เน้นในเรื่องคุณภาพ” ก็เป็นเรื่องง่ายที่เอกชนจะยินยอมทำตาม
ทางด้าน The White Paper ก็ได้ถูกโจมตีจากฝ่าย Green Paper แม้ว่าในรายละเอียดจำนวน 600 บทวิจารณ์จากมหาวิทยาลัยตามที่ต่างๆ ทั้งองค์กรระดับสูงทางสังคมและกลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อเสนอแนะต่างๆ มีผู้สนับสนุนเพียงแค่จากกลุ่มภาคเอกชนที่เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องดังกล่าว
ในแถลงการณ์ของ Tories’Cheerleaders เกี่ยวกับ “สถาบันคู่แข่ง” กับ “ทางเลือกของนักศึกษา” ในรูปแบบของประเทศอเมริกานั้นก็นำไปสู่การออกอุบายจากทางมหาวิทยาลัยภาคเอกชนที่มีข้อเสนอแนะในการเปิดหลักสูตรการบริหารกับอสังหาริมทรัพย์และตอนนี้ก็ล้มเหลวในการดำเนินคดีจากผู้ฉ้อโกงและชี้ทางผิดๆและมีเล่ห์กลต่างๆเข้ามามากขึ้น ทำให้นักศึกษาหลายพันคนที่จบออกมาแบบไม่มีคุณภาพ
ในที่ประเทศอังกฤษนั้น พวกเราก็จะเริ่มเห็นกรณีอื้อฉาวในการเรียนรู้หลักสูตรทางด้านการบัญชี ซึ่งภาคเอกชนได้เสนอให้ทางรัฐบาลส่งเสริมหลักสูตรดังกล่าว ในช่วงเวลาที่เจอกับเรื่องฉ้อโกง ทางด้านคณะกรรมการงานบัญชีสาธารณะก็ได้กล่าวว่า ภาคเอกชนมีการวางกฎมาตรการได้แย่เอามากๆ ด้วยเหตุนี้นักศึกษาหลายคนไม่สามารถการันตีได้ว่า เรียนจบแล้วจะมีคุณภาพจริง ทางด้าน Bill ก็มีการวางมาตรการนี้ได้แย่กว่าที่อื่นๆ
สิ่งต่อไปที่จะต้องมาดูในมหาวิทยาลัยภาคเอกชนก็คือ การสร้างมหาวิทยาลัยเพื่อการค้าทำกำไรและมีข้อถกเถียงประเด็นเสรีภาพทางด้านวิชาการ ในระเบียบวาระก็จะเป็นสัญลักษณ์ของระบบมหาวิทยาลัยที่ควบคุมตรวจตราทั้งๆที่ทางมหาวิทยาลัยภาคเอกชนยังแสวงหากำไรให้ได้สูงสุด ในประเด็นเสรีภาพทางด้านวิชาการนั้น ทางด้าน Tories เกลียดการที่นักวิทยาศาสตร์ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงนโยบายสารเสพติดเกี่ยวกับการพิสูจน์หลักฐานเบื้องต้น หรือการเปิดโปงประเด็นที่ว่า รถ Volkswagen กินน้ำมันดีเซลมากเกินควร
เสรีภาพ
ในการทำรายงานทางด้านวิชาการหรือทำการทดลองนั้น ปกติแล้วจะมีทุนสนับสนุนจากภาครัฐหรือภาคธุรกิจ ในเสรีภาพทางด้านวิชาการเป็นเรื่องง่ายที่จะแสดงออกถึงการปกป้องผลประโยชน์ ทางด้าน HE Bill ก็ได้รื้อถอนระบบกลไกออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน (HEFCE กับสภาองคมนตรี) ในการปกป้องสิทธิเสรีภาพนี้
มหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศอังกฤษได้รายงานว่ามีเงินทุนมากกว่า 30 ล้านปอนด์ แต่มหาวิทยาลัยบางแห่งมีการทำงานอย่างเร่งรัดและละเลยในการขับเคลื่อนเดินหน้าการวิจัย พร้อมกับมีห้องเรียนขนาดไม่ใหญ่มากและมักชอบปรึกษาหารือเกี่ยวกับโครงการใหญ่ ตลอดจนถึงมีรูปแบบการสอนให้คณะผู้ทำงานไม่กี่คนทำงานวิจัยให้มาก ส่วนใหญ่ก็จะการทำรายละเอียดการวิจัยที่ไม่น่าเชื่อถือและมีสัดส่วนนักศึกษาต่อผู้ทำงานสูงมาก ในช่วงเวลาเดียวกันก็มีการยกระดับระเบียบกฎเกณฑ์มากขึ้นโดยมีการใช้งบประมาณไปกับการสร้างอาคารใหม่และโครงการคณะมากกว่าจะสร้างบุคลากรใหม่ๆขึ้นมาคิดเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปี 1970 จนถึง 45 เปอร์เซ็นต์ในตอนนี้
นักศึกษาหลายคนจะเห็นว่ามีผู้บรรยายหลายคนจำนวนไม่มากและก็พบว่าพวกเขามักจะมาจากนักศึกษาที่จบมาใหม่เพียงไม่กี่ปีมากกว่าที่จะเป็นคนที่มีอายุมาก
นักศึกษาหลายคนไม่ได้ประโยชน์อะไรกับการปฎิรูปการศึกษา ทั้งนักเรียนในต่างประเทศและอังกฤษเองก็มีการจ่ายค่าธรรมเนียมแพงเกินไปและได้รับสิทธิพิเศษต่างๆในการศึกษา ในขณะเดียวกับผู้ทำงานรู้เห็นเป็นใจกับค่าใช้จ่ายและเงื่อนไขข้อแม้ต่างๆเป็นเวลาหลายปี
ทางด้าน The White Paper กับ He Bill ก็ได้ออกโรงเมื่ออุตสาหกรรมได้ส่งเสริมการตั้งวิทยาเขตมหาวิทยาลัย สมาชิก UCU ปัจจุบันก็ได้ประท้วงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการศึกษาตลอด 24 ชั่วโมงและพูดถึงความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษา โดยการกำหนดวันที่ตามปฎิทินมหาวิทยาลัยหรือช่วงเวลานั้นก็เป็นไปตามแผนผังของคุณครู สมาชิกของ NUT เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม จนเริ่มมีการประท้วงตลอด 48 ชั่วโมงทั่วประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 25 กับ 26 พฤษภาคม
มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับค่าจ้าง ซึ่งมีการเสนอเพิ่มค่าจ้าง 1.1 เปอร์เซ็นต์โดยไม่จำเป็น ในขณะที่รองอธิการบดีหลายคนก็ได้รับค่าตอบแทนสูงถึง 6 เปอร์เซ็นต์ต่อไป แต่มีข้อถกเถียงว่ามีการได้รับค่าตอบแทนถึง 12 เปอร์เซ็นต์โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎระเบียบวิทยาเขต รายได้โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 6000 ปอนด์ ซึ่งทั้งชายและหญิงจะได้รับค่าตอบแทนไม่เท่ากัน และยังอาศัยช่องโหว่ในสัญญาว่าจ้างรวมไปถึงสัญญาจ้างศูนย์ชั่วโมง ตลอดจนถึงกลุ่ม Higher Education ทั้งสองประเดนเหล่านี้ถือเป็นแรงจูงใจที่สำคัญในการประท้วง 48 ชั่วโมง
การวางกฎเกณฑ์ที่สำคัญจากล่างสู่บนนั้น ทางด้าน UCU ในพื้นที่กรุงลอนดอนก็ได้ทำการปฎิบัติการประท้วงต่อเนื่อง ในวันแรกสมาชิก UCU ก็ได้ร่วมขบวนกับ UCEA ในการประท้วงช่องโหว่ทางด้านค่าจ้าง ในวันต่อมาก็ทำการประท้วงต่อมหาวิทยาลัยใจกลางกรุงลอนดอน ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้เป็นต้นแบบในการสร้างมหาวิทยาลัยทั่วประเทศอังกฤษ
UCU ก็เป็นวิทยาเขตหลักของผู้บรรยายหลายคน โดยทางด้านองค์กรแรงงานก็ได้หยิบยกข้อถกเถียงเกี่ยวกับปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินการให้ไปสู่ชัยชนะหลังจากที่ถูกแช่แข็งค่าจ้างมาเป็นเวลานาน เป็นที่ชัดเจนว่ามีข้อถกเถียงเป็นวงกว้างในการประท้วงและการเคลื่อนไหวประท้วงระยะสั้น (ASOS) อย่างเช่นการเคลื่อนไหว Marking Boycott ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นปัจจัยสำคัญในการชี้ชะตาการเป็นผู้ชนะ
ค่าจ้างกับการคัดค้านการจ่ายเงินบำนาญในส่วนของกลุ่ม HE นั้น ทางด้านพนักงานหลายคนก็ได้ถูกลงโทษตัดค่าใช้จ่ายจากการเคลื่อนไหว ASOS ทางด้านสหภาพก็ล้มเหลวต่อการเคลื่อนไหวประเด็นนี้เป็นเรื่องระดับประเทศ UCU ในแต่ละสาขาก็เจอกับการลดค่าจ้างจนต้องขับเคลื่อนต่อสู้เรื่องนี้เพียงลำพัง เรื่องแบบนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นอีก ทางด้านนักเคลื่อนไหวหลายคนก็ได้โหวตให้ทางสภาพิจารณาในการลดค่าจ้างของตัวเองจากการเคลื่อนไหวประท้วงเรื่องนี้จากสหภาพ
ฝ่ายตรงข้าม The White Paper ก็เริ่มเติบโตมากขึ้น มีการประชุมจากฝ่าย Higher Education มีการระดมเหล่านักวิชาการกับนักเคลื่อนไหว UCU ก็ก่อตั้ง Alternative White Paper (AWP) โดยเริ่มทำข้อเสนอที่จะทำให้ผู้คน Higher Education มากขึ้น
การรณรงค์นี้ก็ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางและ และทางด้าน AWP ก็ได้เสนอเรื่องนี้ต่อรัฐสภาพร้อมกับสนับสนุนให้พรรคแรงงานกับกรีนผลักดันเรื่องนี้ ยังมีแบบแผนอื่นๆในการเสนอให้กับที่ประชุมใหญ่เกี่ยวกับอนาคตนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในอนาคตวันที่ 15 ตุลาคม และมีการนัดประชุม AWP ตามวิทยาเขตต่างๆ