จะว่าไปก็นานกว่าครึ่งปีละค่ะ ที่ “ดอง” ทริปนี้ไว้ในความทรงจำ ส่วนที่ไม่เขียนซักทีก็เพราะอ้างนู่น นี่ นั่นตลอด ไม่มีเวลาบ้าง งานเยอะบ้าง ติดซีรี่ส์คุณชายทั้งหลายบ้าง เอาเป็นว่าต้องขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่วันนี้ดันมีอารมณ์เขียนซะงั้น
ทริปนี้เริ่มต้นจากการที่เราอยากออกไปหาประสบการณ์ท่องเที่ยวเองหลังจากเรียนจบค่ะ ส่วนที่เลือกไป Alaska แดนดินถิ่นหมีขาว ส่วนหนึ่งคือเพื่อนสนิทเราไป Work & Travel ที่ Fairbanks พอดี เลยเป็นโอกาสดีที่เราจะตามไปบ้าง แต่ขอขีดฆ่าคำว่า Work ทิ้งไปนะ เพราะเราจะ Travel อย่างเดียวให้หนำใจก่อน ที่สำคัญคือต้องขอบคุณสปอนเซอร์ใหญ่ใจดีอย่างคุณพ่อคุณแม่ด้วยค่ะ ที่เข้าใจในความดันทุรังของเราในทริปนี้...ก็แหงสิ เด็กจบใหม่ใจบางๆ อย่างเราจะขนเงินจากไหนไปเที่ยวล่ะคะ..
ทันทีที่ยื่นเรื่องของบผ่านปุ๊บ ก็มีผู้ร่วมทริปเพิ่มขึ้นทันทีถึงสองคนด้วยกันค่ะ! ด้วยเหตุผลที่ว่า พ่อกับแม่ คงไม่มีโอกาสได้ไปเอง ถ้าลูกไม่พาไป.. โอวววว ไปสิคะ ไปกันค่ะ ดีเลย หนูจะได้ไม่เหงา (และเหมือนพกตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ไปด้วย 5555) ทริปนี้เราก็เลยไม่สามารถใช้คำว่าอโลนอินวันเดอร์แลนด์หรืออะไรเทือกนี้ได้ ดังนั้นเราเลยขอตั้งชื่อเรื่องตามด้านบนนั่นล่ะค่ะ ว่า...
“อลาสก้าของเธอสีขาว อลาสก้าของเราสีเขียว”
ใช่ค่ะ เพราะทริปนี้เรากำลังจะไปกันช่วงซัมเมอร์ของอลาสก้านั่นเอง
Day 1
5 July 2016 – San Francisco – Seattle
เดินทางโดยเครื่อง United airline (จ่ายค่าโหลดกระเป๋าเพิ่ม ใบละ 25 เหรียญ)
Tips
- แนะนำให้นั่งแท็กซี่เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรม $50 (เรียก Uber จะถูกกว่าประมาณ $20 ค่ะ) ที่เราเลือกจะไม่ขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถบัสเพราะว่าสัมภาระเยอะค่ะ
- เราเช็คอินที่ Green Tortoise Hostel Seattle โรงแรมนี้สะดวกดี อยู่ติดกับ Pike Place Market เลย
พอเราไปถึงก็เข้าช่วงเที่ยงแล้ว เลยลงมาหาอะไรทานในร้านเฝอที่อยู่ข้างๆ โฮสเทลค่ะ $10 อิ่มท้องแล้วก็ไปเดินย่อย ข้ามไปฝั่ง Pike place market เห็นเค้ามาตั้งบูธขายของข้างหน้ากันด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าตั้งทุกวันรึเปล่านะคะ ตรงนี้ส่วนใหญ่จะเน้นขายพวก ผัก ผลไม้และผลิตภัณท์จากฟาร์มค่ะ ที่กิ๊บเก๋ยูเรก้าก็ตรงที่จะมีการแสดงต่างๆ มีดนตรีเปิดหมวกให้ผู้คนที่ผ่านไปมาในพื้นที่ฟังด้วยค่ะ
หลังเดินกันจนครบแล้ว Uber ก็รับหน้าที่พาเราไป Space Needle ต่อ
ผู้ใหญ่เสียค่าเข้า
$22 ช่วงเช้า
$27 ช่วงเที่ยง
$22 ช่วงค่ำหลังหนึ่งทุ่ม
เราไปถึง 4 โมง ไม่อยากเสียเวลารอ เลยยอมจ่าย $27 แต่ดันต้องรอขึ้นไปรอบ 6.30 PM ซะงั้น (รู้งี้ซื้อแบบ $22 เพื่อขึ้นตอนทุ่มนึงดีกว่าเสียเวลาพอๆ กัน ใครจะตามไปแนะนำให้เช็คก่อนนะคะ)
เสร็จปุ๊บ เรานัดเจอกับ Uber เพื่อกลับมาที่พัก และแวะไป Starbucks First Brunch ฝั่งตรงข้ามที่พักค่ะ นั่งจิบกาแฟ ดูผู้คนเดินผ่านไปมา เสร็จแล้วก็กลับที่พักค่ะ คือด้วยความที่มีเวลาพักเที่ยวที่นี่แค่คืนเดียวเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางไป Port Angeles ต่อ เลยต้องรีบดื่ม รีบกลับกันนิดนึงค่ะ (จริงๆ แล้วจะขึ้นเฟอร์รี่จาก Seattle Port เลยก็ได้ถึงราคาจะสูงกว่าไปบ้าง แต่ก็สะดวกเพราะขึ้นท่าเรือในตัวเมืองได้เลย และจะถึง Victoria,BC เลยไม่ต้องมาลงเฟอร์รี่ข้ามฝั่งไปอีกครั้งค่ะ)

รูปหน้าตลาดค่ะ

คุณยายออกมาเดินเลือกซื้อผัก ผลไม้

ร้านขนมปังเจ้าเก่าแห่งตลาด

เบอร์รี่สดๆ ส่งตรงจากสวน

ผู้คนเดินขวักไขว่ตาม ตรอก ซอก ซอย ต่างๆ

มีน้ำผลไม้เย็นชื่นใจขายด้วยนะ

ด้านในตลาด

ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องโชว์โยนปลาด้วยนะ

Starbuck first brunch เจ้าด้ง

แก้วสตาร์บัคสำหรับนักสะสม

ตั๋วเข้าสเปซ นีดเดิ้ลค่ะ

วิวซีแอตเติ้ลมุมสูง จากหอคอยสเปซ นีดเดิ้ลค่ะ
Day 2
6 July 2016
เราเรียก Uber ไปส่งที่ Seatac south end of baggage claim exit at door 00 เพื่อไปขึ้นรถบัส Olympus bus line รถบัสออกเที่ยง และจะไปถึง Port Angeles เวลาประมาณ 4 โมงเย็นค่ะ นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้นั่งอยู่บนรถแล้วก็เอารถขึ้นเรือข้ามฝั่ง คือมันเท่มากๆ ค่ะ
ต่อด้วยเรียก Taxi ไปส่งที่ All View Motel ที่แม้จะเป็น Motel แต่ขอบอกว่าบรรยากาศไม่ได้เหมือนที่เราวาดไว้เลยค่ะ และเผอิญว่าได้ห้องที่ดีที่สุดในวันนั้นคือห้องมุมในสุด ไม่ติดถนน กว้างและสะอาดมาก ระหว่างทางจากท่ารถบัสมาถึงโรงแรมสังเกตว่าไม่ไกลมาก ก็เลยเดินออกมาเพื่อสำรวจและหาอะไรทานเพราะไปถึงก็เย็นแล้ว แนะนำนิดนึงว่า ถ้ามีเวลาเหลือ อยากให้ลองเดินเลาะถนนลงมาเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงท่ารถ (ในเมือง) ก็จะมี Safeway ที่นี่สามารถซื้อได้ทุกอย่างที่ต้องการเลยค่ะ

รูปห้องพักค่ะ (ห้องที่เราพักคือห้องนี้เลยค่ะ แต่ลืมถ่ายรูปมา รูปนี้ยืมมาจาก booking.comค่ะ)

เดินเลาะลงมาเรื่อยๆ ก็เจอป้ายต้อนรับค่ะ
Day 3
7 July 2016 – Port Angeles (USA) – Victoria,BC (Canada)
หลังลุกจากเตียง แปรงฟัน แตะ Breakfast เบาๆ ก็ได้เวลานั่งแท็กซี่ไปลงท่าเรือ เพื่อไปขึ้น Black Ball Ferry line ($54) ข้ามฝั่งไปแคนาดา แต่ก่อนจะบอกลาอเมริกาก็ต้องกรอกใบ Custom Declaration ตรงนี้ก่อน ใช้เวลาในการนั่งเฟอร์รี่ทั้งหมดประมาณ 90 นาที จึงจะจอดเทียบฝั่ง Port victoria ค่ะ
แคนาดาเป็นประเทศที่สวยมาก เรียกได้ว่ามีความคลาสสิคซ่อนอยู่ในทุกๆ ก้าวที่เราเดินผ่าน ยังไม่ทันฟินกับเมืองเต็มที่ ก็ต้องเรียกแท็กซี่ไปส่งที่พัก Osean Island Hostel ก่อน (ที่เลือกพักทีนี่เพราะพรุ่งนี้เช้า รถบัสจะมารับคนขึ้นรถที่ตรงข้ามโรงแรมนี้เลย) จริงๆ เราจะเดินไปก็ได้นะคะ แต่สัมภาระมีความเยอะสิ่ง จะให้สาวตัวเล็กๆ แบกไปก็ยังไงอยู่ เราเลยยอมเรียกแท็กซี่ค่ะ
หลังจัดการเก็บของเข้าล็อคเกอร์ เดินลงมาสอบถามทาง สถานที่ต่างๆ รวมถึงร้านอาหารแนะนำของคนที่นี่ พอไม่มีของแล้วทีนี้ก็สบายมาก ใส่เสื้อกันฝน (ฝนตก) แล้วกลับไปเดินเล่นชมวิวต่อ เดินไปเรื่อยๆ ก็ถึงในเมือง หรือท่าเรือที่เราพึ่งมาถึงตะกี๊นี่เอง ลงพื้นที่เก็บรายละเอียดถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เป็นภาพวิวบ้าง พระราชวังบ้าง คนบ้าง สัตว์บ้าง
พอเริ่มหิวก็ไปร้านแนะนำของคนที่นี่ชื่อร้าน “Red Fish Blue Fish” คิวยาวเหยียดถึงแม้ฝนจะตก แถมราคายังแอบแรงอีก นั่นหมายความว่ามันต้องมีอะไรดีแหละมั้ง เลยตัดสินใจไปยืนต่อคิว แล้วสั่ง Putine เมนูขึ้นชื่อของที่นี่มาทานด้วย เป็นเหมือนเฟรนส์ฟราย ราดด้วยซอสเกรวี่โฮมเมด หน้าตาแอบจัดว่าแปลก แต่ความอร่อยนี่ระดับโหดค่ะ จริงๆ พวกเราแอบไม่อิ่มแหละ เลยต่อด้วยแซลมอลเบอร์เกอร์ และสเต็กปลาแซลมอลทีนี้ก็เรียกว่าอิ่มจนหายเหนื่อยเลยค่ะ
หลังอิ่มแล้ว เราจึงเดินย้อนขึ้นมากลับที่พัก เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางตั้งแต่ 7 โมงเช้าค่ะ.. โฮ ได้ข่าวมาว่าเป็นทริปผลาญพลังงานอีกด้วย เราจะผอมก็คราวนี้แหละค่ะ

นี่คือสถานที่ที่เราจะทำการเช็คอินเพื่อขึ้นเรือเฟอร์รี่กันค่ะ (ขอเบลอหน้านางแบบนิดนึงนะคะ)

บรรยากาศอึมครึมตลอดทั้งวันเลยค่ะ

เดินลงมาเรื่อยๆ ก็เจอความน่ารักแบบนี้ค่ะ

ร้านรวงต่างๆ ค่ะ

ที่นั่งสำหรับลูกค้าร้าน Red fish Blue fish ค่ะ

เมนูที่เราสั่งมาทานกันค่ะ

นกที่นี่เชื่องมากๆ ค่ะ มายืนรอตาแป๋วเลย

ดูความผสมผสานของดอกไม้กับวิวนี่สิคะ

เรือแท็กซี่ค่ะ เรือค่ะ เรือจริงๆ นะ

มีผู้บรรเลงเพลงให้ฟังด้วยค่ะ

เราชอบสีสันสดใสของดอกไม้ที่ตัดกับความอึมครึมของก้อนเมฆมากค่ะ

British Columbia Legislature ค่ะ
(ขอต่อในความคิดเห็นนะคะ ตัวอักษรเกินค่ะ ปล. เราพิมพ์ข้อความไว้ในเวิร์ดแล้วแต่จะพยายามรีบอัพรูปให้เร็วที่สุดนะคะ)
[CR] อลาสก้าของเธอสีขาว อลาสก้าของเราสีเขียว
ทริปนี้เริ่มต้นจากการที่เราอยากออกไปหาประสบการณ์ท่องเที่ยวเองหลังจากเรียนจบค่ะ ส่วนที่เลือกไป Alaska แดนดินถิ่นหมีขาว ส่วนหนึ่งคือเพื่อนสนิทเราไป Work & Travel ที่ Fairbanks พอดี เลยเป็นโอกาสดีที่เราจะตามไปบ้าง แต่ขอขีดฆ่าคำว่า Work ทิ้งไปนะ เพราะเราจะ Travel อย่างเดียวให้หนำใจก่อน ที่สำคัญคือต้องขอบคุณสปอนเซอร์ใหญ่ใจดีอย่างคุณพ่อคุณแม่ด้วยค่ะ ที่เข้าใจในความดันทุรังของเราในทริปนี้...ก็แหงสิ เด็กจบใหม่ใจบางๆ อย่างเราจะขนเงินจากไหนไปเที่ยวล่ะคะ..
ทันทีที่ยื่นเรื่องของบผ่านปุ๊บ ก็มีผู้ร่วมทริปเพิ่มขึ้นทันทีถึงสองคนด้วยกันค่ะ! ด้วยเหตุผลที่ว่า พ่อกับแม่ คงไม่มีโอกาสได้ไปเอง ถ้าลูกไม่พาไป.. โอวววว ไปสิคะ ไปกันค่ะ ดีเลย หนูจะได้ไม่เหงา (และเหมือนพกตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ไปด้วย 5555) ทริปนี้เราก็เลยไม่สามารถใช้คำว่าอโลนอินวันเดอร์แลนด์หรืออะไรเทือกนี้ได้ ดังนั้นเราเลยขอตั้งชื่อเรื่องตามด้านบนนั่นล่ะค่ะ ว่า...
“อลาสก้าของเธอสีขาว อลาสก้าของเราสีเขียว”
ใช่ค่ะ เพราะทริปนี้เรากำลังจะไปกันช่วงซัมเมอร์ของอลาสก้านั่นเอง
Day 1
5 July 2016 – San Francisco – Seattle
เดินทางโดยเครื่อง United airline (จ่ายค่าโหลดกระเป๋าเพิ่ม ใบละ 25 เหรียญ)
Tips
- แนะนำให้นั่งแท็กซี่เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรม $50 (เรียก Uber จะถูกกว่าประมาณ $20 ค่ะ) ที่เราเลือกจะไม่ขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถบัสเพราะว่าสัมภาระเยอะค่ะ
- เราเช็คอินที่ Green Tortoise Hostel Seattle โรงแรมนี้สะดวกดี อยู่ติดกับ Pike Place Market เลย
พอเราไปถึงก็เข้าช่วงเที่ยงแล้ว เลยลงมาหาอะไรทานในร้านเฝอที่อยู่ข้างๆ โฮสเทลค่ะ $10 อิ่มท้องแล้วก็ไปเดินย่อย ข้ามไปฝั่ง Pike place market เห็นเค้ามาตั้งบูธขายของข้างหน้ากันด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าตั้งทุกวันรึเปล่านะคะ ตรงนี้ส่วนใหญ่จะเน้นขายพวก ผัก ผลไม้และผลิตภัณท์จากฟาร์มค่ะ ที่กิ๊บเก๋ยูเรก้าก็ตรงที่จะมีการแสดงต่างๆ มีดนตรีเปิดหมวกให้ผู้คนที่ผ่านไปมาในพื้นที่ฟังด้วยค่ะ
หลังเดินกันจนครบแล้ว Uber ก็รับหน้าที่พาเราไป Space Needle ต่อ
ผู้ใหญ่เสียค่าเข้า
$22 ช่วงเช้า
$27 ช่วงเที่ยง
$22 ช่วงค่ำหลังหนึ่งทุ่ม
เราไปถึง 4 โมง ไม่อยากเสียเวลารอ เลยยอมจ่าย $27 แต่ดันต้องรอขึ้นไปรอบ 6.30 PM ซะงั้น (รู้งี้ซื้อแบบ $22 เพื่อขึ้นตอนทุ่มนึงดีกว่าเสียเวลาพอๆ กัน ใครจะตามไปแนะนำให้เช็คก่อนนะคะ)
เสร็จปุ๊บ เรานัดเจอกับ Uber เพื่อกลับมาที่พัก และแวะไป Starbucks First Brunch ฝั่งตรงข้ามที่พักค่ะ นั่งจิบกาแฟ ดูผู้คนเดินผ่านไปมา เสร็จแล้วก็กลับที่พักค่ะ คือด้วยความที่มีเวลาพักเที่ยวที่นี่แค่คืนเดียวเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางไป Port Angeles ต่อ เลยต้องรีบดื่ม รีบกลับกันนิดนึงค่ะ (จริงๆ แล้วจะขึ้นเฟอร์รี่จาก Seattle Port เลยก็ได้ถึงราคาจะสูงกว่าไปบ้าง แต่ก็สะดวกเพราะขึ้นท่าเรือในตัวเมืองได้เลย และจะถึง Victoria,BC เลยไม่ต้องมาลงเฟอร์รี่ข้ามฝั่งไปอีกครั้งค่ะ)
Day 2
6 July 2016
เราเรียก Uber ไปส่งที่ Seatac south end of baggage claim exit at door 00 เพื่อไปขึ้นรถบัส Olympus bus line รถบัสออกเที่ยง และจะไปถึง Port Angeles เวลาประมาณ 4 โมงเย็นค่ะ นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้นั่งอยู่บนรถแล้วก็เอารถขึ้นเรือข้ามฝั่ง คือมันเท่มากๆ ค่ะ
ต่อด้วยเรียก Taxi ไปส่งที่ All View Motel ที่แม้จะเป็น Motel แต่ขอบอกว่าบรรยากาศไม่ได้เหมือนที่เราวาดไว้เลยค่ะ และเผอิญว่าได้ห้องที่ดีที่สุดในวันนั้นคือห้องมุมในสุด ไม่ติดถนน กว้างและสะอาดมาก ระหว่างทางจากท่ารถบัสมาถึงโรงแรมสังเกตว่าไม่ไกลมาก ก็เลยเดินออกมาเพื่อสำรวจและหาอะไรทานเพราะไปถึงก็เย็นแล้ว แนะนำนิดนึงว่า ถ้ามีเวลาเหลือ อยากให้ลองเดินเลาะถนนลงมาเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงท่ารถ (ในเมือง) ก็จะมี Safeway ที่นี่สามารถซื้อได้ทุกอย่างที่ต้องการเลยค่ะ
รูปห้องพักค่ะ (ห้องที่เราพักคือห้องนี้เลยค่ะ แต่ลืมถ่ายรูปมา รูปนี้ยืมมาจาก booking.comค่ะ)
Day 3
7 July 2016 – Port Angeles (USA) – Victoria,BC (Canada)
หลังลุกจากเตียง แปรงฟัน แตะ Breakfast เบาๆ ก็ได้เวลานั่งแท็กซี่ไปลงท่าเรือ เพื่อไปขึ้น Black Ball Ferry line ($54) ข้ามฝั่งไปแคนาดา แต่ก่อนจะบอกลาอเมริกาก็ต้องกรอกใบ Custom Declaration ตรงนี้ก่อน ใช้เวลาในการนั่งเฟอร์รี่ทั้งหมดประมาณ 90 นาที จึงจะจอดเทียบฝั่ง Port victoria ค่ะ
แคนาดาเป็นประเทศที่สวยมาก เรียกได้ว่ามีความคลาสสิคซ่อนอยู่ในทุกๆ ก้าวที่เราเดินผ่าน ยังไม่ทันฟินกับเมืองเต็มที่ ก็ต้องเรียกแท็กซี่ไปส่งที่พัก Osean Island Hostel ก่อน (ที่เลือกพักทีนี่เพราะพรุ่งนี้เช้า รถบัสจะมารับคนขึ้นรถที่ตรงข้ามโรงแรมนี้เลย) จริงๆ เราจะเดินไปก็ได้นะคะ แต่สัมภาระมีความเยอะสิ่ง จะให้สาวตัวเล็กๆ แบกไปก็ยังไงอยู่ เราเลยยอมเรียกแท็กซี่ค่ะ
หลังจัดการเก็บของเข้าล็อคเกอร์ เดินลงมาสอบถามทาง สถานที่ต่างๆ รวมถึงร้านอาหารแนะนำของคนที่นี่ พอไม่มีของแล้วทีนี้ก็สบายมาก ใส่เสื้อกันฝน (ฝนตก) แล้วกลับไปเดินเล่นชมวิวต่อ เดินไปเรื่อยๆ ก็ถึงในเมือง หรือท่าเรือที่เราพึ่งมาถึงตะกี๊นี่เอง ลงพื้นที่เก็บรายละเอียดถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เป็นภาพวิวบ้าง พระราชวังบ้าง คนบ้าง สัตว์บ้าง
พอเริ่มหิวก็ไปร้านแนะนำของคนที่นี่ชื่อร้าน “Red Fish Blue Fish” คิวยาวเหยียดถึงแม้ฝนจะตก แถมราคายังแอบแรงอีก นั่นหมายความว่ามันต้องมีอะไรดีแหละมั้ง เลยตัดสินใจไปยืนต่อคิว แล้วสั่ง Putine เมนูขึ้นชื่อของที่นี่มาทานด้วย เป็นเหมือนเฟรนส์ฟราย ราดด้วยซอสเกรวี่โฮมเมด หน้าตาแอบจัดว่าแปลก แต่ความอร่อยนี่ระดับโหดค่ะ จริงๆ พวกเราแอบไม่อิ่มแหละ เลยต่อด้วยแซลมอลเบอร์เกอร์ และสเต็กปลาแซลมอลทีนี้ก็เรียกว่าอิ่มจนหายเหนื่อยเลยค่ะ
หลังอิ่มแล้ว เราจึงเดินย้อนขึ้นมากลับที่พัก เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางตั้งแต่ 7 โมงเช้าค่ะ.. โฮ ได้ข่าวมาว่าเป็นทริปผลาญพลังงานอีกด้วย เราจะผอมก็คราวนี้แหละค่ะ
นี่คือสถานที่ที่เราจะทำการเช็คอินเพื่อขึ้นเรือเฟอร์รี่กันค่ะ (ขอเบลอหน้านางแบบนิดนึงนะคะ)
(ขอต่อในความคิดเห็นนะคะ ตัวอักษรเกินค่ะ ปล. เราพิมพ์ข้อความไว้ในเวิร์ดแล้วแต่จะพยายามรีบอัพรูปให้เร็วที่สุดนะคะ)