[ประเทศไทย 4.0] สร้างโปรแกรมเมอร์ไทยให้ทัดเทียมระดับโลก - วิกฤตโปรแกรมเมอร์ไทย ตอน 2

สืบเนื่องจากความเดิมตอนที่แล้ว “[ประเทศไทย 4.0] วิกฤตโปรแกรมเมอร์ไทย วิกฤตเศรษฐกิจเทคโนโลยีของไทยที่ยั่งยืน” – ทำไมเรื่องบุคลากรจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้? อ่านความเดิมตอนที่แล้วที่ https://pantip.com/topic/36045981

จากประสบการณ์ ผมคิดว่าสร้างโปรแกรมเมอร์ที่มีคุณภาพในไทยนั้นทำได้ ไม่จำเป็นต้องออกไปนอกประเทศ และทุกฝ่ายควรช่วยกันสร้าง ecosystem ที่ดึงผู้ผลิตเทคโนโลยีกลับเข้ามาในประเทศไทย เพราะเรื่องนี้ถ้าทำไม่ได้เศรษฐกิจ 4.0 ของไทยก็จะเป็นในเชิงผู้บริโภคเสียมากกว่าและก็คงจะเป็นหัวหอกของเทคโนโลยีในอาเซียนไม่ได้แน่

หลายคนอาจคิดว่าการสร้างโปรแกรมเมอร์คุณภาพระดับโลกนั้นไม่สามารถทำได้ในไทย แต่ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นภาพแค่เพียงผิวเผิน และส่วนใหญ่เป็นเรื่องของทัศนคติ ในฐานะที่ผมเป็นโปรแกรมเมอร์เกิดและโตในประเทศไทยและมีโอกาสอยู่ในสังเวียนของการพัฒนาซอฟท์แวร์ตั้งแต่เด็ก ทั้งในและนอกประเทศ ผมคิดว่าการพัฒนาคนและธุรกิจเทคโนโลยีในไทยให้ทัดเทียมต่างชาตินั้นเป็นเรื่องที่ทำได้และไม่ได้มีอะไรพิสดารไปจากสิ่งที่ทุกคนน่าจะพอรู้บ้างอยู่แล้ว แต่ผมขออธิบายให้ชัดเจนมากขึ้นด้วยการแจกแจงและสรุปออกมาเป็น 4 ประเด็นหลักดังนี้ครับ


1.    เริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเอง อยู่ประเทศไทยก็เรียนรู้ได้

โปรแกรมเมอร์ชั้นหัวกะทิทุกคนต้องเริ่มจากการเขียนโค้ดบรรทัดแรก ตัวผมเองเริ่มเขียนโค้ดบรรทัดแรกจากการอ่านหนังสือเขียนโปรแกรมภาษา Pascal ในห้องสมุดของโรงเรียนในไทย ในสมัยนั้นห้องสมุดมีหนังสือเขียนโปรแกรมอยู่ไม่กี่เล่ม แต่ผมก็ได้อ่านครบทุกเล่ม พอหมดห้องสมุดโรงเรียนก็ไปห้องสมุดแห่งชาติ และอ่านตามร้านขายหนังสือ ความรู้ในไทย ภาพภายนอกอาจไม่หวือหวา แต่ถ้าดูที่ตัวเนื้อหาแล้ว ที่จริงก็ไม่ต่างจากที่นักเรียนในอเมริกามีโอกาสได้เรียน เพราะภาษาโปรแกรมเป็นภาษามาตรฐานและ อ. ที่เขียนหนังสือหนังสือก็ค่อนข้างเขียนค่อนข้างถูกต้องทีเดียว ยิ่งสมัยนี้มีอินเทอร์เน็ต ทำให้เข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการที่จะบอกว่าอยู่ประเทศไทยและขาดโอกาสในการเรียนรู้ อาจจะไม่ถูกสักเท่าไหร่. ณ จุดนี้เข้าถึงความรู้ได้มากน้อยแค่ไหน มันอยู่ที่ว่า ใจของเรานั้น โหยหาความรู้หรือไม่เสียมากกว่า

หลายครั้งคนอาจจะบอกว่า อ่านหนังสือเองบางทีไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ (ตัวผมเองบางครั้งก็เป็น) ก็อาจใช้ตัวช่วยจากสภาพแวดล้อมและคนรอบข้างได้ แต่งานสายเทคโนโลยี ยิ่งตัวงานพัฒนาขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ยิ่งต้องมีความเชี่ยวชาญที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเท่านั้น ความสามารถในการเรียนรู้และแก้ปัญหาด้วยตัวเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนที่ต้องการทำงานสายนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


2.    ใช้สังคม  เพื่อนรอบข้าง และหาที่ปรึกษา

หลายคนบอกว่าประเทศไทยคงไม่น่ามีสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวยต่อการพัฒนาของโปรแกรมแกรมเมอร์ หลายคนบอกว่าพื้นฐานงานและกิจกรรมด้านเทคโนโลยีของไทยนั้นเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เรื่องนี้มีส่วนถูกบ้างก็จริง แต่ถ้าเราโฟกัสไปที่จุดดีๆของสภาพแวดล้อมในไทย จะพบว่าประเทศไทยนั้นยังมีคนเก่งอยู่อีกมาก และวงการนักพัฒนาไทยที่ผมเติบโตมานั้น กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสนุกสนาน โดยเฉพาะข้อดีของสังคมไทยที่ชอบรวมกันเป็นกลุ่มและสนิทกันได้ง่าย การรวมกลุ่มเหล่านี้ทำให้สิ่งที่เราเรียนรู้มาจากข้อที่หนึ่ง พัฒนาไปเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะความรู้นั้นถูกส่งผ่านระหว่างบุคคลได้

ในซิลิกัลแวลเลย์, เพื่อน สังคมของผู้พัฒนา และ ที่ปรึกษา ถ้าหากต้องการหา ก็คงต้องไปตามงาน Conference, Meetup, หรือให้คนช่วยแนะนำผู้ใหญ่เพื่อนัดเข้าพบ แต่ทีจริงแล้วงานลักษณะนี้ ในประเทศไทยก็มี ไม่ว่าจะเป็นงานกิจกรรมจากภาครัฐบาล เอกชน มหาวิทยาลัย หรือ โรงเรียน. ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอยากเขียนโปรแกรมเก่งที่สุดในประเทศไทยก็ต้องไปสอบแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิก หรือ ฝึกผ่าน ACM, Google Code Jam, Facebook Hacker Cup. ถ้าสนใจเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซท์ก็ต้องไป Young Webmaster Camp ถ้าสนใจเกี่ยวกับ Startup ก็ต้องไปงานที่เกี่ยวกับ Tech, Entrepreneurship ต่างๆ (เช่นงานของ AIS, DTAC, True, HSBC, ฯลฯ ลอง follow Blognone กับ TechSauce ดูนะครับ) นอกจากนั้นทุกปีๆเราจะเห็นคนไทยชนะการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีในต่างประเทศทางด้านต่างๆมา ถ้าไปงานเหล่านี้จะพบว่าคนเก่งๆในไทยนั้นๆยังมีอยู่จริง ถึงแม้ว่าจะมีไม่เยอะเท่าต่างประเทศ แต่ก็มีมากพอที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ และการที่มีปริมาณไม่มาก ยังทำให้เราสามารถเข้าถึง บุคคลต้นๆของวงการได้ง่ายกว่าอีกด้วย


3.    สะสมประสบการณ์​ ฝึกสร้างโปรแกรมแบบที่มีผู้ใช้งานจริง

ความสามารถในการเขียนโปรแกรมที่ใช้งานได้จริง ที่จริงแล้วเป็นตัวหลักในการในการสร้างผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีในอเมริกา ต่อให้นักเรียนจบ Computer Science ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งขออเมริกามา แต่นักเรียนจบใหม่ส่วนใหญ่ก็ยังมีประสบการณ์การพัฒนาซอฟท์แวร์ที่อ่อนด้อยอยู่มาก (ส่วนใหญ่ จะเคยเขียนโปรเจคแค่ในเฉพาะวิชาที่เรียน) ซึ่งถ้าเทียบกับแล้ว ดูอ่อนกว่านักเรียนที่มาจากนอกประเทศแต่ผ่านประสบการณ์ทำเว็บ ทำแอพ เขียนโปรแกรมงานกิจกรรมต่างๆมาก่อนด้วยซ้ำ ประเด็นที่สำคัญนี้คือ แม้แต่ในอเมริกาฯนี้เอง คนเก่งที่มีประสบการณ์สูงมากนั้นก็ไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น

ประสบการณ์ที่ไทย ถ้าถูกสร้างมาได้ถูกทาง สามารถเอาชนะคนระดับเดียวกันในอเมริกาได้. ผมเริ่มฝึกเขียนโปรแกรมจากการเขียนเกมส่งประกวดในประเทศไทย เขียนโปรแกรมทำบัญชีให้ธุรกิจที่บ้าน สร้างเว็บไซท์ให้โรงเรียน สอนเพื่อนๆและรุ่นน้องเขียนโปรแกรม ชนะงานประกวดซอฟท์แวร์ ลองทำอะไรหลายๆอย่างมามากจนเขียนโปรแกรมได้เป็นสิบภาษา พอผมเรียนจบและบินไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทไมโครซอฟท์สาขาใหญ่ เมนเทอร์และคนสัมภาษณ์บอกว่า ความคล่องแคล่วของการโชว์เขียนโปรแกรมนั้นผิดปกติ  รู้เยอะ รู้จริงกว่าเด็กจบใหม่มามากๆ ดังนั้นผลงานและความคิดที่ผ่านประสบการณ์เป็นตัวพิสูจน์ที่ดีกว่าพื้นเพการศึกษาหรือภาพลักษณ์

ในแง่ของธุรกิจเทคโนโลยีนั้น ความรู้อาจจะไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่ถ้าเอามาทำจริงไม่เป็น อย่างช่วงที่ Alpha Go (AI เล่นเกมโกะของกูเกิ้ลกำลังดังเพราะล้มเซียนโกะต้นๆของโลกได้) เพื่อนผมในกูเกิ้ลเล่าว่ายอดคนสัมภาษณ์ที่บอกว่าต้องการทำงานในทีม Deep Learning เยอะขึ้นและเล่าว่ามีคนสนใจเรียนด้าน AI และ Data Mining โตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่เอาเข้าจริงๆ พอลองให้เขียนโปรแกรมเล่นโอเอ๊กซ์ (OX) บนตาราง 3x3 ก็ยังเขียนไม่ได้ (แล้วจะไปดูแล AI ให้โกะอย่างไร? ที่มีความลำบากในการคำนวณมากกว่าหลายๆพันล้านเท่า) ประเด็นนี้อยากอธิบายให้เห็นว่า ภาพที่สวยงามดูฉลาด ใครๆก็พูดได้ ซึ่งเป็นภาพที่คนหลงกันได้ง่ายมาก แต่สิ่งตลาดต้องการจริงๆคือคนพร้อมทำงานจริงได้มากกว่า และผู้พัฒนาจากฝั่งไทยควรเน้นฝึกสร้างโปรแกรมที่มีคุณภาพเข้าไว้มากๆ. Users นั้น จะเป็นต่างชาติหรือคนไทยก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน การฝึกสร้างโปรแกรมที่มีคุณภาพผ่านทางผู้ใช้งานจริงจึงฝึกกันได้ในไทยเช่นกัน


เรื่องสุดท้าย ภาษาอังกฤษ เพราะถ้าได้ภาษาอังกฤษ กรอบกำแพงที่ขวางกั้นในการหาความรู้ด้วย ตัวเอง คนรอบข้าง และประสบการณ์รอบตัวจากสามข้อข้างบนจะถูกทำลายลง ลองคิดดูว่าชีวิตของเราจะสนุกมากขึ้นแค่ไหน ถ้าหนังสือที่เราอ่านได้ สังคมที่เราคุยด้วย ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ จะถูกขยายขึ้นไปเกินภาษาไทย การฝึกภาษาอังกฤษให้คล่องแคล่วนั้น ไม่ต่างจากภาษาคอมพิวเตอร์ตรงที่ว่าต้องใช้การหมั่นฝึกฝน ภาษาก็ไม่ต่างจากคณิตศาสตร์, กีฬา, หรือ ดนตรี ในแง่ที่ว่าต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างยาวนาน ถึงจะคล่องแคล่ว ลำพังแต่เพียงการเรียนในห้องเรียนจะไม่สามารถแตกฉานได้


หลายคนมักถามว่า โปรแกรมเมอร์ที่เก่ง ต้อง Born-to-Be หรือเปล่า?

ตอนผมเริ่มฝึกเขียนโปรแกรมปีแรก ผมก็สงสัยในคำถามนี้เหมือนกัน. เพราะโปรแกรมบางตัวผมใช้เวลาเขียนเป็นวัน แต่เพื่อนผมคนหนึ่งใช้เวลาเขียนแค่ครึ่งชั่วโมงเสร็จ. ผมจึงเดินไปถามรุ่นพี่ที่สอนเขียนโปรแกรมผมว่า การเขียนโปรแกรมให้เก่ง มันต้องจำเป็นต้องมีพรสวรรค์ด้วยหรือไม่? รุ่นพี่ผมตอบมาสั้นๆแค่ว่า พรสวรรค์สักวันหนึ่งมันต้องมีหมด แต่พรแสวงนั้น ไม่มี. ถ้าเขาเลือกผู้สืบทอดได้เพียงคนเดียว เขาไม่สามารถเลือกคนที่มีพรสวรรค์แต่ไม่มีพรแสวงได้ เขาจะสนใจเลือกคนที่ทุ่มเท รับปากและทำได้จริง เสียมากกว่า. หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องพรสวรรค์อะไรพวกนี้อีกเลย. ปัญหาที่ต้องแก้และพัฒนาตัวเองจากนั้นมีเป็นร้อยเป็นพัน ผมไม่รู้หรอกว่าการฝึกแก้ปัญหาเหล่านั้นมันต้องใช้พรสวรรค์สักสี่เปอร์เซ็นต์ ผมรู้เพียงแค่ว่า ถ้าเรามีโอกาสที่จะทำมันในชีวิตนี้ได้แค่ครั้งเดียว มีเท่าไหร่ก็ต้องใส่ไปให้หมด และไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้. พอมองย้อนกลับไปผมก็ดีใจทีเดียวที่ตอนนั้นคิดแบบนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะพอเริ่มเจอโลกเยอะขึ้น ยิ่งทำธุรกิจเยอะขึ้น ผมนึกไม่ออกเลยว่าคนเราจะมีพรสวรรค์ไปได้ครบทุกด้านได้อย่างไร

เส้นทางของเราฝึกฝนนักพัฒนาเทคโนโลยีในไทยนั้น ที่จริงแล้วไม่ต่างจากการสร้างนักพัฒนาของต่างประเทศสักเท่าไหร่ แต่ตัวขับเคลื่อน Ecosystem อีกตัวหนึ่งที่ดีน่าจะเป็นภาคธุรกิจครับหรือเรียกอีกมุมนึงว่าตลาด  เพราะข้อหนึ่งที่ทำให้ผู้ผลิตเทคโนโลยีในต่างประเทศมีข้อได้เปรียบคือ ขนาดความใหญ่ของตลาดเทคโนโลยีนอกประเทศไทยที่ใหญ่กว่าตลาดในประเทศไทยมาก และ การออกตัวนำหน้าเป็นผู้ผลิตของวงการ ทำให้บริษัทต่างประเทศสามารถเล่นใหญ่และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการลงเงิน กระตุ้นการพัฒนาของบุคลากรซึ่งเป็นมันสมองของการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ไว้จะมาเขียนต่อนะครับ ตอนต่อไป ผมยังไม่ได้เลือกหัวเรื่องของตอนต่อไปนะครับ.
ตั้งใจไว้ว่าถ้าไม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับการเริ่มทำธุรกิจจากเทคโนโลยี แต่ถ้ามีคนแนะนำเข้ามา ก็อาจจะเขียนแตกประเด็นตามคำถามที่ส่งเข้ามาแทนครับ.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่