จิตเป็นหนึ่งนะ จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน อันนั้นเกิดในสภาวะที่สิ้นตัณหาแล้ว แจ้งพระนิพพาน
จิตจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ ธรรมะก็เป็นความบริสุทธิ์ จิตก็เป็นความบริสุทธิ์ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็คือความบริสุทธิ์ เป็นความบริสุทธิ์อันเดียวกันแล้วเสมอกัน
ระหว่างสาวกกับพระพุทธเจ้านะมีสิ่งเดียวที่เสมอกันนะคือความบริสุทธิ์
แต่ว่าความบริสุทธิ์นั้นเป็นอันเดียวกัน เพราะงั้นจะกลืนเป็นอันเดียวกันนะ ไม่แบ่งแยกหรอก จะรู้สึกเป็นอันเดียว
ตรงที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กับจิตรวมเป็นอันเดียวกันนะ จะแจ้งพระนิพพานอยู่นะ จิตกับพระนิพพานรวมเข้ากับพระนิพพานเข้ากับความว่างของจักรวาล เป็นหนึ่ง เรียกว่านิพพาน
เพราะงั้นไอ้ที่ว่าน้อมใจให้ว่างโดยที่มีจิตเป็นคู่ ไม่ใช่หรอกนะ หลงทางแล้ว จะแจ้งพระนิพพานได้ต้องรู้รูปนามตามความเป็นจริง จนกระทั่งละความยึดถือในรูปนามได้ ก็จะละความอยากในรูปนาม หมดความอยากได้ก็จะแจ้งพระนิพพาน แจ้งพระนิพพานนะ
จิตกับพระนิพพาน จิตจะรวมเข้ากับพระนิพพานเป็นหนึ่ง รวมเข้ากับความว่าง ไม่ยึดถืออะไร
ภาวนาตัวนี้บางทีท่านเรียกว่าธรรมธาตุ ครูบาอาจารย์บางองค์นะ ท่านเรียกสภาวะที่จิตที่สัมผัสพระนิพพานเนี่ยว่าธรรมธาตุ อาจารย์มหาบัวเรียกธรรมธาตุ หลวงปู่ดูลย์เรียกว่าจิตหนึ่ง สมเด็จพระญาณสังวรฯท่านไม่ธรรมดานะ ถ้าฟังธรรมะเป็นจะรู้ว่าท่านสุดยอดเลย ท่านเรียกสภาวะอันนี้ว่าวิญญาณธาตุ อาจารย์พุทธทาสท่านเรียกสภาวะนี้ว่าจิตเดิมแท้ หลวงปู่เทสก์ท่านเรียกสภาวะนี้ว่าใจ หลวงปู่บุดดาท่านเรียกว่าจิตเดียวหรือใจเดียวจำไม่ได้แล้ว แต่ละองค์ๆเนี่ยท่านพูดถึงสภาวะอันเดียวกัน แต่โดยสมมติบัญญัติที่แตกต่างกัน
แต่ถ้าเราไม่ได้ภาวนาเราไม่เข้าใจเรา(จะ)รู้สึกแต่ละองค์พูดไม่เหมือนกัน ไปติดอยู่ที่คำพูด
"อย่าเลย วักกลิ
ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร?
ดูกรวักกลิ ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมเห็นธรรม.
วักกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม."
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือองค์เดียวกัน
จิตจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ ธรรมะก็เป็นความบริสุทธิ์ จิตก็เป็นความบริสุทธิ์ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็คือความบริสุทธิ์ เป็นความบริสุทธิ์อันเดียวกันแล้วเสมอกัน
ระหว่างสาวกกับพระพุทธเจ้านะมีสิ่งเดียวที่เสมอกันนะคือความบริสุทธิ์ แต่ว่าความบริสุทธิ์นั้นเป็นอันเดียวกัน เพราะงั้นจะกลืนเป็นอันเดียวกันนะ ไม่แบ่งแยกหรอก จะรู้สึกเป็นอันเดียว
ตรงที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กับจิตรวมเป็นอันเดียวกันนะ จะแจ้งพระนิพพานอยู่นะ จิตกับพระนิพพานรวมเข้ากับพระนิพพานเข้ากับความว่างของจักรวาล เป็นหนึ่ง เรียกว่านิพพาน
เพราะงั้นไอ้ที่ว่าน้อมใจให้ว่างโดยที่มีจิตเป็นคู่ ไม่ใช่หรอกนะ หลงทางแล้ว จะแจ้งพระนิพพานได้ต้องรู้รูปนามตามความเป็นจริง จนกระทั่งละความยึดถือในรูปนามได้ ก็จะละความอยากในรูปนาม หมดความอยากได้ก็จะแจ้งพระนิพพาน แจ้งพระนิพพานนะ จิตกับพระนิพพาน จิตจะรวมเข้ากับพระนิพพานเป็นหนึ่ง รวมเข้ากับความว่าง ไม่ยึดถืออะไร
ภาวนาตัวนี้บางทีท่านเรียกว่าธรรมธาตุ ครูบาอาจารย์บางองค์นะ ท่านเรียกสภาวะที่จิตที่สัมผัสพระนิพพานเนี่ยว่าธรรมธาตุ อาจารย์มหาบัวเรียกธรรมธาตุ หลวงปู่ดูลย์เรียกว่าจิตหนึ่ง สมเด็จพระญาณสังวรฯท่านไม่ธรรมดานะ ถ้าฟังธรรมะเป็นจะรู้ว่าท่านสุดยอดเลย ท่านเรียกสภาวะอันนี้ว่าวิญญาณธาตุ อาจารย์พุทธทาสท่านเรียกสภาวะนี้ว่าจิตเดิมแท้ หลวงปู่เทสก์ท่านเรียกสภาวะนี้ว่าใจ หลวงปู่บุดดาท่านเรียกว่าจิตเดียวหรือใจเดียวจำไม่ได้แล้ว แต่ละองค์ๆเนี่ยท่านพูดถึงสภาวะอันเดียวกัน แต่โดยสมมติบัญญัติที่แตกต่างกัน
แต่ถ้าเราไม่ได้ภาวนาเราไม่เข้าใจเรา(จะ)รู้สึกแต่ละองค์พูดไม่เหมือนกัน ไปติดอยู่ที่คำพูด
"อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร? ดูกรวักกลิ ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมเห็นธรรม. วักกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม."