
รีวิวตอนแรกเปิดตัว HeadWind “หัวใจปะทะลม” แบบขับไปบ่นไป.. ตั้งใจจั่วหัวตั้งชื่อตอนว่า สายหล่อแลดูเป็นผู้ดีอังกฤษขนาดนี้ ถ้าคิดว่าเราจะมาแต่งตัวเท่ห์ๆ ขับกินลมชมวิว แล้วมานั่งทางในจับยามสามตาเขียนรีวิวแบบผู้ดี๊ผู้ดี.. ที่นี่ไม่มีครับ!!!! เพราะถ้าคุณพลาดกดเข้ามาอ่านแล้วล่ะก็.. คุณต้องเข้าใจซะก่อนว่าเราจะพูดกันตรงๆ เข้าใจง่ายๆ อาจจะมีคำโบราณเมิงๆกรูๆบ้างก็คงไม่แปลก เพราะทีวีก็ออกจะมีให้ฟังกันเกลื่อนหู หรือจะว่าปากหมาก็ว่าไปตามสะดวกครับ เพราะนี่มันสไตล์เรา!!!! สไตล์หัวใจปะทะลม!!!!!! และถ้าคุณเข้าใจก็เรียนเชิญ ..อ่านไปด่าไป.. ได้เลยครับ ^^

ก็ถือว่าเป็นความโชคดีแล้วกันครับ เพราะหลังจากหยุดทำรายการทีวีไปนาน ก็ไม่ได้มีโอกาสได้ทดสอบรถกันอีกเลย หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ จริงๆเราก็ไม่เคยได้รับเชิญไปทดสอบอยู่แล้ว นอกจากเราหน้าด้านขอยืมหรือขอไปทดสอบเองซะมากกว่า 5555.. แต่ครั้งนี้ได้รับโอกาสดีดีจากบริษัท Triumph Motorcycle (Thailand) จำกัด โทรมาชวนไปขับทดสอบในเส้นทางพิษณุโลก-ภูทับเบิก-เขาค้อ.. กับรถรุ่นใหม่ถึงสองรุ่นเลย โห!! ถนนเส้นนี้โค้งอย่างเยอะ สวยก็สวย.. ไม่ไปก็บ้าแล้วดิวะ!!! ไอ้โง่!!!!!
แต่...ไอ้เรามันก็เน้นสายหมอบเป็นหลัก สายลุย สายเที่ยว เราก็พอเคยอยู่บ้างประปราย แต่ไอสายหล่อนี่มันไม่เคยจริงๆว่ะ!!! แล้วกรูจะเขียนรีวิวได้มั้ยวะ!!!! บอกตรงๆว่าโครตกังวล ไม่รู้ว่าจะทดสอบยังไงให้ได้ข้อมูลตัวรถมากที่สุดจริงๆ.. เอาเป็นว่าไปตายเอาดาบหน้าแล้วกัน!!!!

ก่อนจะไปพล่ามเรื่องรถแต่ละคัน ขออธิบายการทดสอบในทริปนี้กันก่อนนะครับ ใช้เส้นทาง พิษณุโลก-ภูทับเบิก-เขาค้อ ระยะทางรวมเกือบ 500 โล.. โดยเราจะได้รับรถหนึ่งรุ่นในขาไป ก็ถือว่าโชคเข้าข้างครับ!! เพราะผมได้ Street Cup สี Racing Yellow / Silver Ice ทรง Cafe Racer หมอบๆหน่อย เข้าทางสายหมอบอย่างเรา ก็ถือซะว่าได้ปรับตัวก่อนเลย ดีเหมือนกันครับ ^^.. เส้นทางเริ่มต้นออกจากศูนย์ Triumph จ.พิษณุโลก และไปสลับรุ่นรถกันที่ภูทับเบิก ซึ่งก็คือ Bonneville T100 สี Aegean Blue / Fusion White และรุ่งขึ้นอีกวันขากลับ จะได้คันไหนก็ค่อยมาว่ากันอีกที.. และแล้วฟ้าก็ส่ง Street Cup มาให้ซ้ำอีกรอบ!!! แต่เป็นสี Jet Black / Silver Ice.. หลังจากวันแรกมีเคืองๆกันอยู่เล็กน้อยกับคันเหลือง เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังทีหลังนะครับ เพราะฉะนั้นผมจะขอพูดถึงรุ่น Bonneville T100 ก่อนล่ะกันครับ เพราะไม่มีอะไรติดใจกันเหมือนตัวรุ่น Street Cup!!!
Triumph Bonneville T100 “ชายกลางสุดหล่อ..สุขุมนุ่มลึก”
ถ้าจะให้เล่าประวัติของหนึ่งในรุ่นที่เรียกว่าโครตจะคลาสสิครุ่นนึงในโลกอย่าง Bonneville ก็คงจะขี้เกียจอ่านกันล่ะครับ เพราะมันยาววววมากกกกกก .. เอาสั้นๆเผื่อใครยังไม่รู้ล่ะกัน ว่ารุ่น Bonneville เนี่ย มันเกิดมาตั้งแต่ปี 1959 ครับ ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่ดีที่สุดรุ่นนึงของ Triumph เลยก็ว่าได้ ยิ่งช่วงประมาณปี 65-69 เป็นช่วงที่ฮอตสุดๆ ขายดีเป็นเททิ้งเทขว้าง ไม่นับรวมสถิติที่รุ่นนี้เคยทำไว้ในสมัยนั้นอีกหลายอย่าง จึงถือได้ว่า Bonnevillle เป็นรุ่นนึงที่มีประวัติศาสตร์อันน่าจดจำที่สุดรุ่นนึงที่ Triumph เคยผลิตมาครับ นี่ก็อาจเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Wonna BE ขึ้นมา ด้วยการ Remake รุ่นนี้ออกมาใหม่อีกครั้งโดยยึดพื้นฐานรูปลักษณ์หน้าตาเช่นเดียวกับตัวดั้งเดิม จนออกมาเป็น Bonneville T120 เมื่อปีก่อนนั่นเองครับ
และก็อีกนั่นแหล่ะครับ ด้วยความที่พี่มันอย่าง T120 ถอดแบบมาจากรุ่นทวดของมันอย่างแทบจะ 100% แม้จะเพิ่มเติมเส้นสายการออกแบบให้ดูร่วมสมัยมากขึ้น แต่ก็ยังคงความอมตะแบบต้นฉบับไว้เกือบครบถ้วนทีเดียว (ไม่เชื่อไปถามอากู๋ดูนะครับ ว่ามันเหมือนกันขนาดไหน) และก็เป็นผลดีที่กระแส Vintage กำลังร้อนแรง การตอบรับจากแฟนพันธุ์แท้พันธุ์เทียมของ Triumph ก็เลยเทใจให้จนต้องมีรุ่นย่อมเยาว์ลงมาเอาใจแฟนๆมือใหม่กันด้วยรุ่นนี้แหล่ะฮะ Bonneville T100 และ T100 Black..

รูปร่างหน้าตาของ T100 ก็ไม่ต่างจาก T120 ซักเท่าไหร่ล่ะครับ หรือจะบอกว่าเหมือนแฝดก็คงไม่ผิดนัก เพียงแต่ปรับปรุงระบบบางอย่างให้เข้ากับ Concept ของมันที่เค้าว่า เท่แบบอมตะ แต่เน้นการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันครับ แปลตรงๆ ก็คือ หน้าตาเหมือนตัวเก่า เอาไว้วิ่งใช้ในเมืองเป็นหลักนั่นเองครับ (หรือใครจะวิ่งประจำวันไปตจว. อันนั้นก็แล้วแต่ฮะ เอาที่สบายใจล่ะกัน ^^) เพราะฉะนั้นมันจึงตามมาด้วยการใช้ง่ายที่ง่ายขึ้นและน้ำหนักที่เบาลงนั่นเองครับ

ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ดูความละเอียดของงานแบบ Remake ดูว่ามันใกล้เคียงรุ่นทวดรุ่นพี่มันแค่ไหน หน้าตาคลาสสิคแบบดั้งเดิมผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบไม่เคอะเขินเท่าไหร่ จะมีก็แต่ก้อนแผ่นชาร์จใต้ไฟหน้า ที่ดูกี่ทีก็รู้สึกว่า เอาไปเก็บทีอื่นดีกว่ามั้ย มันเด่นกระแทกลูกตาเกินไปจนเสียอรรถรสไปเท่านั้นเองครับ

รูปหน้าตรงกับไฟหน้าและไฟเลี้ยวทรงกลม รับกับกระจกและเรือนไมล์ทรงกลมสุดคลาสสิค

เรือนไมล์ทรงย้อนยุค แต่อัดแน่นด้วยสิ่งที่ควรรู้ทุกอย่าง ทั้งตำแหน่งเกียร์, ระยะทางทริป, ระยะทางที่วิ่งได้จนน้ำมันหมด, ระดับน้ำมัน, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน, เตือนระยะเวลาเข้าศูนย์ และเด็ดสุด คือ Traction Control หรือระบบควบคุมการยึดเกาะถนน ที่คุณจะเลือกได้ว่าจะลดแรงกระแทกจากคันเร่งลงล้อ ให้ปิดหรือเปิดครับ ง่ายๆก็คือ ออกโค้งกระแทกคันเร่ง อาการท้ายปัดจะน้อยลงนั่นเองครับ ย้ำนะครับ!! ว่าน้อยลง ไม่ใช่ไม่มี เดี๋ยวจะพาลกระแทกกันใหญ่ แต่เท่าที่ลองดูอยู่หลายรอบ ทั้งตอนลงเขาหรือออกโค้งแคบๆชันๆ มันช่วยลดได้เยอะอยู่นะครับ ซึ่งนั่นก็หมายถึงมือใหม่จะปลอดภัยมากขึ้นกับการ Control คันเร่งระดับ 900cc. ซึ่งรุ่นนี้มันเป็นคันเร่งไฟฟ้าครับ

ฝั่งซ้ายมาตรฐานครับ เพิ่มเติมคือปุ่ม i นี่แหล่ะฮะ .. ปุ่มที่มันจะสั่งให้บอกข้อมูลต่างๆบนหน้าปัดที่ผมได้บอกไปแล้ว และยังสั่งเปิดปิดระบบ Traction Control ที่ผมว่าเมื่อกี้อีกด้วยครับ .. เอาเข้าจริงๆ ผมว่าไม่ได้ใช้หรอกครับ ถ้าฝนไม่ตก หรืออยากเซฟจัดๆ หรือมือใหม่ปลอดภัยไว้ก่อน หรือมือบอนอยากลองกดเล่น .. ถ้าไม่ใช่คนประเภทที่ว่ามานี้ คุณจะลืมมันไปเองล่ะฮะ เพราะไม่ต้องกด มันก็ช่วยคุณตั้งแต่สตาร์ทเครื่องแล้วล่ะครับ

ฝั่งขวาก็มาตรฐานสากล เพิ่มเติมไฟฉุกเฉินให้มานิดหน่อยครับ จุดเด่นมันคือระบบคันเร่งไฟฟ้าครับ อารมณ์เหมือนรถยนต์รุ่นใหม่ๆอ่ะครับ เปิดแรงก็มาเร็ว เปิดเบาๆก็ค่อยๆไหลไป ซึ่งในแง่การควบคุมผ่านกล่อง ECU ข้อดีคือมันจะช่วยคุณในการประหยัดน้ำมัน และลดแรงบิดในมือให้เบาขึ้น รู้สึกเปิดนิดเดียวกำลังอัดมาเลย อะไรทำนองนี้อ่ะฮะ.. แต่ส่วนตัวผมเอง ซึ่งใช้แต่คันเร่งสายจนชิน เจอไฟฟ้าแบบนี้มันกลายเป็นขาดๆเกินๆนิดๆหน่อยๆ ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะเราไม่ชินด้วยล่ะมั้งครับ แต่ที่รู้สึกชัดๆก็คือ จะมีจังหวะชะลออยู่ชั่วอึดใจ ไม่ตามใจเราแบบทันทีเหมือนคันเร่งสาย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ก็ประมาณว่า เพื่อนวิ่งมาตบหัวคุณด้านหลังป๊าปใหญ่ แต่คุณหันไปหามันก่อนจะอุทานว่า เฮีย!!! แทนที่คุณจะด่ามันทันที ก่อนจะหันไปหามัน อะไรประมาณนี้ครับ.. แต่ถึงกระนั้นพอคุณขับซักพัก คุณจะชินกับมันไปเองล่ะครับ

บั้นท้ายทรงโค้งรับกับเบาะที่หนากว่าเดิม ให้ความรู้สึกนุ่มตูดเวลานั่งขับนานๆ สัมผัสนุ่มจริงครับ นุ่มตรงแก้มก้นทั้งสองข้างเลย นั่งสบายตูดจริงๆครับ.. แต่ผมดันปวดตรงกระดูกบริเวณช่องระหว่างแก้มก้นทั้งสองข้างนิดๆนี่ซิครับ หรือเรียกว่า ร่องตูด จะเข้าใจง่ายกว่ามั้ยฮะ.. ไม่รู้ว่าเพื่อนๆที่ไปด้วยเป็นเหมือนกันหรือเปล่านะครับ ไม่กล้าถามด้วยซิ กลัวเค้าคิดเป็นอื่น อยู่ๆมาถามเรื่องรูตูดกันแบบนี้ เอาเป็นว่าถ้าท่านอื่นที่เคยลองนั่งแล้วไม่เป็น ต้องขออภัยด้วย อาจจะเป็นเพราะร่องตูดผมอาจจะบกพร่องเองครัช ^^

เพลทยี่ห้อ Triumph แบบนูน สีโครเมี่ยม ซึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น บรรจงประทับองค์เหนือลายคาดสีทองที่ทำด้วยมือนะครัช.. สำหรับรุ่น T100 มี 3 โทนสี คือ Aegean Blue / Fusion White (ฟ้า-ขาว), สี Intense Orange / New England White (ส้ม-ขาว) และสี Jet Black (ดำเงา) ส่วนรุ่น T100 Black จะมี 2 โทนมี คือ Jet Black (ดำเงา) และ Matt Black (ดำด้าน) ราคา 430,000 สำหรับ T100 และ 436,500 สำหรับ T100 Black ครับ

ฝาถังยังคงแบบย้อนยุคไว้ไม่เสื่อมคลาย แต่ระบบล๊อคด้านในเป็นแบบใหม่ ไม่มีหกกระเด็น หรือน้ำมันซึมขึ้นคราบขอบฝาอย่างแน่นอน

เครื่องยนต์ตระกูล Bonneville ที่ถูกลดทอนมาจาก T120 เหลือแค่ 900cc. 2 สูบเรียง 8 วาล์ว พ่วงรหัส HT (High Torque) ซึ่งมาพร้อมกับม้า 55 ตัว รับกับเกียร์ยาวๆ เพื่อความนุ่มนวล 5 เกียร์เช่นเดิมครับ และด้วยขนาดเครื่องที่ลดลง การลดทอนน้ำหนักของมันในแต่ละส่วนของตัวรถ จึงทำให้น้ำหนักรวมของมันลดลงเหลือแค่ 213 กก. ซึ่งก็ถือว่าเบา ถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่นในระดับซีซีที่เท่ากันครับ

ฝาเครื่องชอบเป็นพิเศษสำหรับงานอลูมิเนียมปัดเงาแบบดิบนิดๆ พอให้เห็นรอยแปรง ดูเนี้ยบแต่ไม่เลี่ยนดีครับ

ระบายความร้อนด้วยน้ำครับ หม้อน้ำขนาดกะทัดรัด ไม่บดบังชิ้นส่วนที่ควรโชว์ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะระบายไม่ทัน หรือ ร้อนจนไข่สุกหรอกครับ ผมมีโอกาสแช่ยาวหลายกิโล ความร้อนก็ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตเหมือนฝั่งยุโรปบางสำนักอ่ะนะครับ

ถังน้ำมันขนาด 14.5 ลิตร ขนาดกำลังหนีบหว่างขาพอดี ไม่ถ่างจนลมกรรโชกซะไข่กระพือ แถมไม่ต้องกลัวถังสีสวยๆจะเป็นรอย เพราะเค้ามียางกันเข่าไว้ให้ครับ และด้วยเครื่องยนต์ที่ถูกปรับใหม่ ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นถึง 29% (เค้าเคลมมาว่างั้น ไม่รู้จะวัดยังไงให้เป๊ะๆเหมือนกันครับ) รู้แต่ว่าเติมเต็มถังก่อนขึ้นภูทับเบิก วิ่งขึ้นไปภูทับเบิก วิ่งกลับลงมาทางอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เพื่อไปที่พักที่เขาค้อ ระยะทางประมาณ 150 กิโล มีลอง TopSpeed ขึ้นไปถึง 175 kmh.แบบชิวๆ ลองแช่ 140-150 ดูอาการอยู่หลายกิโล น้ำมันยังเหลือบาน พอให้ขับเล่นถ่ายรูปช่วงเช้าอีกเพียบ คำนวณกันเอาเองนะครับ เพราะผมก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องประหยัดเท่าไหร่หรอก อารมณ์มันอยากจะบิด มันก็ต้องแลกกับน้ำมันที่เสียป่ะวะ!!! อยากประหยัดจริงๆ แนะนำขับรถจ่ายตลาดครับ นี่มัน 900cc. อยากหล่อ แค่นี้จิ๊บๆว่ะเฮ้ย!!!
[SR] Ride & Review "ขับไป..บ่นไป" ตอนที่ 1.1 - Triumph Bonneville T100
แต่...ไอ้เรามันก็เน้นสายหมอบเป็นหลัก สายลุย สายเที่ยว เราก็พอเคยอยู่บ้างประปราย แต่ไอสายหล่อนี่มันไม่เคยจริงๆว่ะ!!! แล้วกรูจะเขียนรีวิวได้มั้ยวะ!!!! บอกตรงๆว่าโครตกังวล ไม่รู้ว่าจะทดสอบยังไงให้ได้ข้อมูลตัวรถมากที่สุดจริงๆ.. เอาเป็นว่าไปตายเอาดาบหน้าแล้วกัน!!!!
ถ้าจะให้เล่าประวัติของหนึ่งในรุ่นที่เรียกว่าโครตจะคลาสสิครุ่นนึงในโลกอย่าง Bonneville ก็คงจะขี้เกียจอ่านกันล่ะครับ เพราะมันยาววววมากกกกกก .. เอาสั้นๆเผื่อใครยังไม่รู้ล่ะกัน ว่ารุ่น Bonneville เนี่ย มันเกิดมาตั้งแต่ปี 1959 ครับ ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่ดีที่สุดรุ่นนึงของ Triumph เลยก็ว่าได้ ยิ่งช่วงประมาณปี 65-69 เป็นช่วงที่ฮอตสุดๆ ขายดีเป็นเททิ้งเทขว้าง ไม่นับรวมสถิติที่รุ่นนี้เคยทำไว้ในสมัยนั้นอีกหลายอย่าง จึงถือได้ว่า Bonnevillle เป็นรุ่นนึงที่มีประวัติศาสตร์อันน่าจดจำที่สุดรุ่นนึงที่ Triumph เคยผลิตมาครับ นี่ก็อาจเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Wonna BE ขึ้นมา ด้วยการ Remake รุ่นนี้ออกมาใหม่อีกครั้งโดยยึดพื้นฐานรูปลักษณ์หน้าตาเช่นเดียวกับตัวดั้งเดิม จนออกมาเป็น Bonneville T120 เมื่อปีก่อนนั่นเองครับ
และก็อีกนั่นแหล่ะครับ ด้วยความที่พี่มันอย่าง T120 ถอดแบบมาจากรุ่นทวดของมันอย่างแทบจะ 100% แม้จะเพิ่มเติมเส้นสายการออกแบบให้ดูร่วมสมัยมากขึ้น แต่ก็ยังคงความอมตะแบบต้นฉบับไว้เกือบครบถ้วนทีเดียว (ไม่เชื่อไปถามอากู๋ดูนะครับ ว่ามันเหมือนกันขนาดไหน) และก็เป็นผลดีที่กระแส Vintage กำลังร้อนแรง การตอบรับจากแฟนพันธุ์แท้พันธุ์เทียมของ Triumph ก็เลยเทใจให้จนต้องมีรุ่นย่อมเยาว์ลงมาเอาใจแฟนๆมือใหม่กันด้วยรุ่นนี้แหล่ะฮะ Bonneville T100 และ T100 Black..