เล่าประสบการณ์ การคลอดธรรมชาติ 3 ครั้ง ในประเทศเยอรมนี

วันนี้ขอส่งความรักวันวาเลนไทน์ในรูปแบบ รักแท้แม่ลูก สายใยผูกพัน ผ่านประสบการณ์ การคลอดลูกแบบธรรมชาติ ถึง 3 ครั้ง ในประเทศเยอรมนี นะคะ ยิ้ม
------------------------------------
- ประสบการณ์รักแท้แม่ลูก จากการคลอดลูกแบบธรรมชาติในประเทศเยอรมนี ตอนที่1: ลูกคนแรก และท่อนแขนอันทรงพลังของคุณหมอ -

เราคิดว่า คนที่เป็นแม่เกือบจะทุกคนนะที่อยากจะมีประสบการณ์การคลอดแบบธรรมชาติด้วยตัวเอง แต่อาจจะด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คุณแม่บางท่านต้องตัดสินใจใช้วิธีอื่นๆ ในการคลอดลูกออกมา ซึ่งวิธีการดังกล่าวนั้น ก็มิได้ทำให้ความรักของคนที่เป็นแม่ถูกลดคุณค่าลงเพียงแต่อย่างใดเลย

อย่างไรก็ตาม เรา ก็เป็นคนหนึ่งค่ะที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะคลอดลูกโดยวิธีธรรมชาติล้วนๆ ซึ่งระหว่างทาง อาจจะมีหวั่นไหวบ้างก็ตามตามประสามนุษย์ที่กลัวเจ็บค่า แต่จะหวั่นไหวอย่างไรก็ไม่ใช่ประเด็นเท่ากับว่า ค่านิยมของการทำคลอดในโรงพยาบาล ประเทศเยอรมนีนั้น มักนิยมให้คุณแม่ๆ คลอดแบบธรรมชาติล้วนๆ ก่อนเสมอค่ะ ซึ่งอาจจะมีข้อยกเว้นบางอย่าง เช่น คุณแม่ทนความเจ็บปวดไม่ไหว หรือ คุณแม่มีเชิงกรานที่เล็กและไม่สามารถเบ่งคลอดได้ตามปรกติ คุณแม่มีลูกแฝด ป็นต้น ดังนั้น ในกรณีปรกติอย่างเราจึงมีความเป็นไปที่ค่อนสูงที่จะต้องเผชิญกับการคลอดลูกแบบธรรมชาติสดๆ อย่างแน่นอน และงานนี้ก็ต้อง The show must go on กันอีกแล้ว  ;)


ประสบการณ์รักแบบคลอดธรรมชาติ ครั้งที่ 1 นั้น เกิดขึ้นในปี 2010 ค่ะ

แน่นอนว่ามันเป็นประสบการณ์ตั้งครรภ์และคลอดธรรมชาติครั้งแรก ซึ่งอยากบอกว่า ตื่นเต้นมากกกค่ะ เพราะแน่นอนว่าในครั้งนั้น เรายังไม่สามารถจินตนาการได้ว่า เอ ... การคลอดลูกเนี่ยมันเป็นยังงัยกัน อาการปวดท้องคลอดลูกมันเป็นอย่างไร หรือ แม้แต่จะคิดว่า แล้วทารกเขาออกมาจากร่างกายเราได้อย่างไรกันนะ พอคิดึงตอนนั้นแล้วรู้สึกขนลุกเลย 55

จำวันที่เกิดเหตุได้ว่า เป็นวันก่อนวันนัดหมายที่หมอบอกกับเราว่า อันนาน่าจะพร้อมที่ออกมาดูโลกแล้วเพียงแค่หนึ่งวัน เรา ซึ่งเฝ้าสังเกตดูอาการของตัวเองอย่างเต็มที่ก็ต้องตกใจแบบโอเวอร์ไว้ก่อนค่ะ เมื่อเพียงเห็นหยดเลือดหนึ่งหยดเล็กๆ สีน้ำตาลบนกางเกงชั้นใน ภายหลังจากที่เสร็จกิจธุระจากการเข้าห้องน้ำ พอได้เห็นเลือดหนึ่งหยดนี้เท่านั้น เราก็รีบบอกสามีค่ะว่า พวกเราควรจะไปโรงพยาบาลกัน สามีก็ลังเลนิดหน่อยตามประสาฝรั่งนักคิดวิเคราะห์ว่า อืมมม ดูเหมือนหลักฐานยังไม่มากพอนะ เราก็แบบเห็นด้วยตามประสาคนที่ชอบเห็นหลักฐานแบบจะๆ ก่อนเช่นกัน และก็คิดว่า อืมม มันก็จริงนะ มิฉะนั้น หากผลีผลามไปโรงพยาบาลตอนนี้ อาจจะถูกเชิญให้กลับมารออยู่บ้านแน่ๆ ดังนั้น เราจึงตัดสินใจยังไม่ไปโรงพยาบาลในเวลานั้นค้ะ ก็นั่งรอ นอนรอ จนกระทั่งในวันเดียวกัน แต่เป็นตอนบ่ายประมาณเกือบสี่โมงเย็น ในระหว่างที่เดินจะไปเข้าห้องน้ำนั้น เราก็ได้ยินเสียงแตกดังโพละ และมีน้ำใสๆ ไหลออกมาที่ในระหว่างขาทั้งสองข้าง โดยมีลักษณะคือ ไม่สามารถกลั้นไว้ได้เหมือนกลั้นฉี่ เพราะฉะนั้น เราจึงมีความมั่นใจมากว่า น้ำที่ไหลออกมา มันคือ น้ำคร่ำ!!! และได้บอกสามีให้ขับรถบึ่งไปที่โรงพยาบาลในทันที 55 เพราะหลักฐานพร้อม!


พอไปถึงโรงพยาบาล คุณพยาบาลก็มาตรวจวัดว่าช่องคลอดเปิดหรือยัง และกี่เซนติเมตรแล้ว พร้อมให้ยาฆ่าเชื้อโดยเร็วพลัน เนื่องจากน้ำคร่ำแตกไปแล้ว ทีนี้ปัญหาในเวลานั้นมีอยู่ว่า แม้น้ำคร่ำแตกไปแล้ว แต่ช่องคลอดกลับเปิดช้ามาก ดังนั้น คุณหมอจึงตัดสินใจให้ยาเร่งคลอดค่ะ ตอนที่ยังไม่ให้ยาเร่งคลอดนั้น แม้น้ำคร่ำจะแตก แต่ความเจ็บปวดคลอดลูกก็ยังมีไม่มากค่ะ เรียกว่า ชิว ชิว จนคิดว่า โอยยย เจ็บเท่านี้ ทนได้แน่นอนค่า แต่การณ์ไม่เป็นเช่นนั้นค่ะ เพราะหลังจากที่ได้รับยาเร่งให้ช่องคลอดเปิดนั้น ความเจ็บปวดคลอดลูกนั้นกลับถีบตัวขึ้นแบบทวีเป็นเท่าๆ ตัว จากที่เดินเล่นอยู่ในห้องพักที่โรงพยาบาลจัดให้อย่างสบายอารมณ์ กลับกลายเป็นเหงื่อแตกแบบพลั่ก ปวดหลังและปวดท้องแบบหาที่เปรียบไม่ได้ว่ามันเจ็บปวดแบบใด รู้แต่ว่า ต้องหาที่จับและจิกอะไรสักอย่าง แต่พอดีสามีบอกเราไว้ก่อนว่า ห้ามจิกเขานะ เราก็เลยหันมากอดเสาเตียงแทน และเริ่มร้องโหยหวนแล้วค่ะ สามีก็ถามว่า เป็นอะไรมากไหม เราก็บอกสามีว่า ไม่ไหวแล้ว เดินไปหาหมอกับพยาบาลด้วยกัน คิดว่านี่คงเป็นอาการใกล้คลอดแล้ว

พอเดินไปบอกหมอและพยาบาลแล้ว พวกเขาก็พาเราและสามีมาที่ห้องคลอดทันที เราและสามีตื่นเต้นมาก เพราะลูกคนแรกนี่เนอะ คือ ดีใจมาก เย้ อันนาใกล้จะออกมาให้พวกเราได้เห็นหน้าตาแล้ว ตื่นเต้น ตื่นเต้น เหลือเกิน แต่ความตื่นเต้นที่น่ายินดีนี้ก็กลับเปลี่ยนเป็นความกังวล ความกลัว และความเจ็บปวดแทน เพราะปากช่องคลอดนั้น เปิดช้าเหลือเกิน จนคุณหมอและพยาบาลต้องทิ้งเรากับสามีให้รออยู่ในห้องตามลำพัง โดยมาดูบ้างเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ดี ความเจ็บปวดนั้นก็มิได้ทุเลาลง มีแต่เจ็บปวดมากขึ้น ทวีขึ้น จนเราต้องร้องคร่ำครวญทุกครั้งที่เห็นกราฟของความเจ็บปวดคลอดค่อยๆ ถีบตัวสูงขึ้น เพราะนั่นหมายความว่า คลื่นความเจ็บปวดลูกใหญ่กำลังจะมา และนั่นก็จริงๆ ด้วยทุกครั้ง จนเรารู้สึกหมดเรี่ยวแรงไปแล้ว ดีวยเพราะความเจ็บปวดที่เหลือคณา และการกรีดเสียงร้องที่โรงพยาบาลแทบแตก คือ เรารู้ว่า ไม่ต้องร้องก็ได้ แต่เราทำไม่ได้นะ คือ การร้องคือ การระบายความเจ็บปวดที่ดีมากสำหรับเรา 555


จนกระทั่งเวลาผ่านไป 5 ชั่วโมงแล้วค่ะ อันนายังไม่มีวี่แววจะออกมาให้เห็นหน้าค่าตาเลย คุณหมอและพยาบาลเข้ามาตรวจเราอีกครั้งหลังจากนั้น แต่ครั้งนี้พบว่า ช่องคลอดของเราเปิดประมาณ 9 เซ็นติเมตรแล้วค่า พอได้ยินเราก็ดีใจมาก แต่เราแทบจะไม่มีแรงเบ่งคลอดอีกแล้วค่ะในเวลานั้น คือ คิดไปบ้างแล้วว่า เราจะตายเพราะการคลอดลูกไหมเนี่ย ไม่ไหวแล้ว พระเจ้าช่วยหนูด้วย!!!! แต่ด้วยความอึดและไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ เราก็เชื่อฟังคุณหมอค่ะ คือ ถ้าคุณหมอบอกให้เบ่งคลอด สูดหายใจลึกๆ ตอนไหน เราก็พยายามรวบรวมกำลังที่มีเหลืออยู่อย่างน้อยนิดทำตามที่คุณหมอสั่งอย่างแข็งขันค่ะ จนแล้วจนรอด อันนาก็ยังไม่ยอมออกมาสักที จนทีมคุณหมอต้องบอกเรากับสามีว่า ถ้าภายในครึ่งชั่วโมงนี้ อันนายังไม่ออกมาลืมตาดูโลกด้วยการคลอดธรรมชาติ คุณหมอมีความจำเป็นที่จะต้องหาทางออกอื่นๆ เพื่อช่วยชีวิตอันนาค่ะ เพราะเมื่อน้ำคร่ำแตกแล้ว อันนาก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปที่จะอาศัยอยู่ในท้องของมาม๊า โอยยย พอได้ยินจากที่ไม่มีแรงอยู่แล้ว เราก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก และรู้สึกโรยแรงมากขึ้นทันที

แต่เมื่อคิดถึงลูกแล้ว แม้ร่างกายจะอ่อนล้าสักเพียงใด เราก็ยังมีใจที่พร้อมจะสู้เสมอ และคุณหมอใหญ่ก็เดินเข้ามาและบอกว่า เนื่องจากอันนาไม่ยอมเคลื่อนตัวเองมาสู่ตำแหน่งของการคลอด ดังนั้น คุณหมอจะใช้ท่อนแขนอันทรงพลังของท่านรีดท้องของเราตรงตำแหน่งที่อันนานอนหลับตาพริ้มอยู่มาสู่ตำแหน่วตรงกลางทัองของเราค่ะ ท่านบอกว่า พอผมรีดตัวเด็กทารกเสร็จ และบอกให้คุณเบ่งหลังจากที่ลมคลอดมา ให้คุณเบ่งคลอดทันที โอเคไหม เราก็ไม่มีทางปฏิเสธค่ะ เต็มที่และเต็มใจที่จะทำตามแต่โดยดี และแล้ว หลังจากที่ท่อนแขนอันทรงพลังได้ทำการรีดบนท้องเรา ลมเบ่งมา เราก็ทำการเบ่งอย่างสุดกำลังในทันที ผลคือ ร่างน้อยๆ ของทารกอันนา ลูกคนโตที่แสนรักก็ดิ้นพรวดๆ ออกมาเลยค่ะ เธอร้องแค่แป๊บเดียว และก็สงบนิ่งหลับไหลต่อไป และลักษณะแบบนี้นั้นช่างสอดคล้องกับบุคลิกของเธอในเวลานี้เสียจริง คือ เงียบๆ เรียบร้อยค่ะ พอเห็นหน้าลูกเท่านั้น ความเจ็บปวดที่เกินบรรยาย ที่ทำให้คนอึดอย่างเราต้องยอมสยบและถึงกับคิดว่า ฉันจะมีชีวิตรอดต่อไปไหมเนี่ย ได้ยิ้มได้ และลืมความเจ็บปวดไปหมดสิ้น มีแต่ความยินดีอย่างเหลือล้นเข้ามาทดแทน

แล้วติดตามประสบการณ์การคลอดธรรมชาติ ตอนที่สอง ของน้องเลาร่า ในบทความต่อไปเร็วๆนี้นะคะ อยากบอกว่า ในกรณีเลาร่านั้น ระทึกกว่ากรณีอันนาอีกค่ะ  ;)


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่